ปัญหาฟันเด็ก เป็นเรื่องที่คุณแม่แสนสวยไม่ถนัดนัก แม้ว่าเธอจะเป็นพยาบาล แต่ก็เป็น พยาบาลแผนกฉุกเฉิน เชี่ยวชาญงานที่ต้อง ถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงลูกถึงคนและอาจถึงตายได้... ประมาณนั้น
ปัญหาฟันเด็ก .. สำหรับผมแล้ว...ไม่มีปัญหา เอ้ย!! ไม่มีปัญญา เอ้า!! ไม่เคยคิดเลย... สาบานได้ จึงไม่มีข้อมูลเพียงพอจะคาดเดาอาการ และแนวทางแก้ไขให้คุณลูกชายได้เลย
หลังจากการประชุมสามฝ่ายดำเนินไปหลายรอบ จึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ถึงเวลาต้องเชิญ ฝ่ายที่สี่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น...เราต้องการหมอฟัน
ลูกชายวัยเพิ่งสละสายเอี้ยมสู่กางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบได้ไม่ถึงปี ย้ำกับที่ประชุมว่า คุณหมอต้องแสดงความคิดเห็นเท่านั้น ส่วนปฏิบัติการใดๆที่จะพึงเกิดขึ้น...ขอหารืออีกครั้ง ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
จากบันทึกเตือนความทรงจำ พบว่าคุณลูกชายกับคุณหมอฟัน มีสถิติเท่าเทียมกันคือ เก็บไปได้คนละสองซี่
ฟันน้ำนมซี่แรกที่ออกจากชีวิตเขาไป แลกมาด้วยรถเด็กเล่นคันละสองบาท และยาชารส สตรอเบอร์รี่ จากมือหมอ .... หมอฟันผู้หญิง นุ่มนวล ( หมายถึง...ฝีมือนะครับ) ไม่ทิ้งความ บาดหมางไว้ที่เหงือกมากนัก แต่สิว..สิวที่ใบหน้าคุณหมอเยอะจัง อันนี้เป็นข้อสังเกตของลูกชาย (ดูสิครับ ดูท่านจดจำผู้มีพระคุณ)
ซี่ที่สองจากไปด้วยความเจ็บปวดระดับที่... ผ้าก๊อสสำหรับคาบเพื่อซับเลือด หมดไปหลาย ก้อน จากน้ำมือหมอ...หมอฟันผู้ชาย
(แถลงการณ์ด่วน: ผมเล่าเรื่องนี้ด้วยความกังวลใจ สาเหตุ...เกิดจากคำที่จำเป็นต้องใช้บางคำ อาจจะสร้างความสับสนในความหมายได้ หวังว่าท่านผู้อ่านคงไม่คิด...อย่างที่ผมคิดนะครับ.. แฮ่ม!!.)
อีกสองซี่ถัดมา เป็นฝีมือคุณลูกชาย อันที่จริงต้องเรียกว่าเป็นฝีลิ้น
"ใช้ลิ้นดันเบาๆ ก็หลุดออกสองซี่เลยนะพ่อ " ลูกชายรายงานสดๆ ผ่านทางโทรศัพท์ให้รับรู้ ขณะที่ผมกำลังประชุมอยู่ที่ต่างจังหวัด รู้สึกได้ถึงความภูมิใจ ที่มีฝีมือเทียบเคียงกับหมอฟัน
ปัญหาเรื่องฟัน ลูกชายมั่นใจมากว่าเกิดจาก...ในปากเขามีฟันหลายกลุ่มเกินไป
กลุ่มแรก เป็นพวกฟันใจเสาะ...พวกนี้ไม่ค่อยจะก่อปัญหานัก จากไปโดยดี ไม่มีการประท้วง ไม่ทิ้งความบาดหมางไว้ที่เหงือก
กลุ่มที่สอง พวกนี้เรียกได้ว่าหน้าด้าน....เป็นฟันที่หน้าด้านมาก ถึงเวลาไปไม่ยอมไป ต้อง อาศัยมือหมอ ยาชา คีม ผ้าก๊อส และการสวดมนต์ (ลูกชายจะมีคาถาลดความเจ็บปวดที่ได้รับถ่ายทอดจากคุณย่า แต่... คาถาน่าจะไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญนัก เหตุที่ผมยังต้องจ่ายค่าทำขวัญมากกว่าค่าถอนฟัน )
กลุ่มที่สาม คือฟันใจลอย...ทั้งๆที่ฟันใจเสาะจากไปแล้ว แต่ฟันยังหลออยู่อีก ไม่มีวี่แววฟันใหม่แต่อย่างใด พวกนี้ไม่มาตามนัด เป็นไปได้ว่ายังลอยค้างอยู่ตามหลังคาบ้าน (อีกหนึ่งมหกรรมที่ได้รับการโปรโมตโดยคุณย่าผู้น่ารัก...ขว้างฟันขึ้นหลังคา)
แต่กลุ่มที่สร้างปัญหาระดับชาติ คือ กลุ่มใจร้อน .... ฟันใจร้อน
พวกนี้โผล่ขึ้นมาก่อนเวลาอันควร.. จำนวนสามซี่ เบียดขึ้นบริเวณด้านหลังของกลุ่มฟันหน้าด้าน ล่างสองบนหนึ่ง (...ฟัน นะครับ) ส่งผลให้คุณลูกชายมีฟันถึงสองชั้น....สวยงามเช่นเดียวกับตาสองชั้น...น่าอิจฉาเชียว
คลินิกหมอฟันที่เล็งไว้อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ใช้เวลาขับรถเพียงห้านาที แต่การนั่งรอหน้าห้องตรวจ ดูราวกับว่าจะยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...สำหรับคุณลูกชาย
ประตูบานเลื่อนเปิดออก เด็กผู้ชายอายุน่าจะมากกว่าคุณลูกชายประมาณ 2-3 ปี เดินออกมาพร้อมผู้หญิงวัยสักสี่สิบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเบาใจมากคือรอยยิ้มของเด็กคนนั้น แม้จะไม่ได้ยิ้ม ให้เรา แต่ทำให้ผมรู้สึกว่า เหตุการ์ณที่ผมจะพบในห้องที่กำลังจะก้าวเข้าไป คงไม่ถึงขั้นวิกฤต
คุณหมอฟัน...เป็นหมอฟันผู้หญิง ไม่มีสิว เกลี้ยง...ใบหน้าเกลี้ยงเกลา มากเกินกว่าจะคาดเดาอายุ อยู่ในชุดกราวน์สีขาว สวมรองเท้าผ้าใบหมอคงจะใช้การวิ่ง...มาที่คลินิกเพื่อช่วยชาติประหยัดน้ำมัน ...เป็นหมอที่มีอุดมการณ์มาก
คุณลูกชายก้าวเท้าเข้าห้องตรวจเป็นคนแรก ภายใต้การผลักดันของคุณแม่แสนสวย ผมเดินตามเป็นคนสุดท้าย...คอยระวังหลัง
ประตูบานเลื่อนทำงานอีกครั้ง ปิดกั้นเราจากโลกภายนอก
คุณหมอแนะนำให้จัดการกับกลุ่มหน้าด้านโดยเร็ว และไม่มีการละเว้น!! ภายหลังจากเข้าร่วมประชุมกับเราเพียง 2 -3 นาทีเท่านั้น
เหตุการณ์เริ่มจะเข้าขั้นวิกฤตเร็วกว่าที่คิด เพราะตามข้อตกลงเบื้องต้น ต้องการเพียงความคิดเห็นของหมอเท่านั้น ไม่ถึงขั้นต้องเสียเลือด เสียเนื้อ และเสียฟัน
ก่อนเหตุการณ์จะบานปลายถึงขั้นก่อม้อบสู้ เรารวบหัวรวบหาง (ขาและแขนด้วย) คุณลูกชายขึ้นเตียงทันที
เป็นเตียงสีเขียวอ่อนที่น่านอนมาก แยกส่วนสำหรับพนักศีรษะ ปรับเอนได้ มีไฟส่องสว่าง อ๊อปชั่นครบว่างั้นเถอะ แต่ลูกชายอยากลงมานั่งเก้าอี้มากกว่า
เราได้แต่บอกว่าเก้าอี้สี่ตัวเต็มแล้วทุกที่นั่ง พ่อ แม่ คุณหมอ และผู้ช่วยคุณหมอ ลูกชายบอกว่า "ตั๋วยืนก็ได้" พร้อมกับเอามือสองข้างปิดปากตัวเอง ยิ่งผู้ช่วยหมอพยายามเปิดไฟส่องหน้าเขาดูเหมือนจะยิ่งรับรู้ชะตากรรม มือที่ปิดปากอยู่ประสานกันแน่นขึ้น
คุณหมอคงกลัวเหตุการณ์จะลุกลาม จึงเริ่มปฏิบัติการ......
" ถ้าหนูไม่เปิดปาก คุณหมอคงต้องให้คุณพ่อคุณแม่ไปรอข้างนอกนะคะ"
ปฏิบัติการ...จับพ่อแม่เป็นตัวประกัน..ได้ผล ลูกชายคลายมือออก และเริ่มเปิดปาก อืม!!.. น่าภูมิใจมากที่เดียว รักพ่อแม่มากกว่ารักฟัน
" แต่ ไม่ถอนนะ ตรวจเฉยๆ " เริ่มมีการต่อรอง สงสัยจะยังไม่รู้ว่า ห้องนี้...ใครใหญ่
บนเตียง... ผมสังเกตเห็นมือที่เลื่อนมาประสานกันอยู่ที่หน้าท้องเกร็งแน่น เท้าลูกชายดูขาว กว่าทุกวัน (ก่อนมาที่นี่ คงล้างเท้ามาสะอาดทีเดียว) แต่...ใบหน้าไม่มีเลือดฝาดเลย เรียกได้ว่า.. ซีด...ซีดมาก
ไม่หรอกจ้า ถ้าหนูยังไม่พร้อม หมอก็จะยังไม่ทำอะไร " เป็นหมอที่มีอุดมการณ์จริงๆด้วย
"ทำตามหมอบอกนะจ๊ะ หายใจเข้า...ท้องป่อง หายใจออก...ท้องแฟบ เอ้า ลองดู ทำได้ไหม" คุณลูกชายพยายามหายใจ แต่ดูเป็นมือใหม่มาก เหมือนเพิ่งหายใจเป็นทั้งที่เกิดมากว่าเจ็ดปีแล้ว
"เอ้า หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ หายใจเข้า..ท้องป่อง หายใจออก...ท้องแฟบ " ลูกชายลดมือจากหน้าท้องลงมาวางข้างลำตัว แต่ยังกำแน่น
" หายใจด้วยลูก หายใจด้วย "
เสียงคุณหมอเริ่มมีอาการห่วงใย เมื่อเห็นคนไข้นิ่ง...นิ่งมาก มีสมาธิมากกว่าปกติ สักพักทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุม คุณหมอเริ่มใช้สำลีอุดระหว่างเหงือก และริมฝีปากด้านบน
"หนูจะรู้สึกว่า ปากหนาขึ้นนิดนึงนะจ๊ะ " หมอให้ข้อสังเกต เมื่อเริ่มให้ยาชา
" มุอะ มู้มาอะอะ อู๊อะ.." ผมเริ่มฟังลูกชายพูดไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนคน พยายามขอชีวิต
" หมอเล็งไว้ซี่เดียวนะ ซี่บนที่ขวางฟันแท้อยู่ เอาออกแล้วฟันหนูจะเข้าที่ สวยงามมาก" คุณหมอพยายามจะให้คนไข้เกิดจินตนาการทางบวก
"มุอะ มู้มาอะอะ อู๊อะ....." ตรงนี้แปลไม่ออกจริงๆ
"อุ๊ย ซี่ล่างติดมือหมอออกมาด้วย เพิ่งเห็นโยกเยกเมื่อกี้เอง" เสียงคุณหมอเริ่มเหมือนนักมายากล หลังจากใช้ฝ่ามือลูบผ่านปากลูกชาย แล้วหยิบซี่แรกออกมา
"อ้า อ้า อ้า อ้ากกกกก...." เสียงเจ้าของฟันซี่นั้นละครับ"
"เอ้า แล้วซี่บนนี่ก็หลุดมาได้ไงนี่ " คุณหมออุทาน หลังจากซี่ที่สองตามมาติดๆ
"อ้ากกกกกกกกกกกกกก...." เจ้าของฟันท่าทางจะกังวลมาก
"ยังลูก ยัง ซี่ที่หมอบอกยังอยู่ สองซี่นี่หมอแถมให้แล้วกันนะ" โอ...สมควรต้องกังวลเลยละ
ดูเหมือนว่ายาชาจะออกฤทธิ์ไปถึงตาด้วย เริ่มเกร็ง มีน้ำตาไหลออกมาพอชื้นๆ คาดว่าจะตื้นตันใจกับโปรโมชัน...ถอนหนึ่งแถมสอง
ซี่ที่สาม ติดมือหมอออกมาเมื่อไร ไม่ชัดแจ้ง หันไปอีกที ก็เห็นเจ้าลูกชายคาบผ้าก๊อสก้อนใหญ่ไว้ในปาก สมศักดิ์ศรีและราคาฟันสามซี่ ที่จากไป...
"มีฟันผุอีกหลายซี่นะคะ คงต้องนัดมาดูต่ออีกหน่อย" หมอหันไปคุยกับคุณแม่แสนสวย ส่วนผู้ถูกพาดพิงยังนอนกัดผ้าก๊อสอยู่ ดวงตาเหม่อลอย...
" ไหนพ่อบอกว่ามาตรวจเฉยๆ โหย...หายไปสามเลยนะพ่อ ซี่ล่างนี่ยังไม่โยกเลย หมอเอาออกทำไม" หลังจากคุณหมอให้ลงจากเตียงคุณลูกชาย หยิบผ้าก๊อสออก แล้วรัวเป็นชุดพร้อมกับตาแดงๆ ดูท่าจะเริ่มเป็นนักร้องแน่ๆ
"คาบก๊อสไว้ก่อนนะลูก" เสียงคุณหมอมาช่วยชีวิต
"ฟันแท้ที่ขึ้นอยู่ข้างใน ใช้ลิ้นดันบ่อยๆ หรือใช้ไม้ไอติมดันออกก็ได้ แล้วมาดูกันเป็นระยะๆ นะคะ" คุณหมอว่าต่อ ขณะที่ใช้มือลูปหัวเจ้าของฟัน ให้กำลังใจ...ได้ผลมาก
คนไข้กลับมามีประกายตาอีกครั้ง คาดว่าจะค้นพบวิธีเปลี่ยนวิกฤต...เป็นโอกาส
"ลูกจะใช้ลิ้น หรือไม้ไอติมดันฟันดีละ" คำถามจากคุณแม่แสนสวย ...ที่เข้าทางบอลมาก
"ไม้ไอติมซิแม่ ไม่น่าถามเลย" ลูกชายยิงเข้าประตูแบบ...ไม่ต้องลุ้น
ที่หน้าห้องตรวจ พบว่ามีเด็กๆ มารออยู่อีกหลายราย เป็นไปได้ว่า นอกจากคุณหมอฝีมือดี นุ่มนวล รวดเร็ว ไร้ร่องรอย แล้วก็น่าจะมีผลจากโปรโมชั่น...ถอนหนึ่งแถมสอง
คุณลูกชายไม่ลืมทวง พิธีไว้อาลัยแด่...ฟันสามซี่ ณ ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
พายุร้ายผ่านพ้น.... ลมสงบ....ท้องฟ้าแจ่มใส.......โอ!! ช่วยด้วยๆ
ยังเจ็บอยู่มั๊ยลูก " ผมถามเปิดทาง ลูกชายส่ายหน้า...แสดงว่าดีขึ้นมาก พิธีไว้อาลัยได้ผล เป็นที่น่าพอใจ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ เราควรต้องวิเคราะห์และสรุปสิ่งที่ได้รับ เพื่อเพิ่มรอยหยักในสมองลูก
"ลูกได้เรียนรู้หรือแง่คิดอะไรจากการถอนฟันบ้างมั๊ยครับ " ผมตั้งคำถามอย่างเป็นทางการ
"ได้เรียนรู้ ว่า ถ้าถอนฟันสามซี่พร้อมกัน เราจะได้อร่อยมื้อใหญ่ " ลูกชายตอบอย่างอารมณ์ดี น่าจะมีผลจากมีรอยหยักในสมองมากเกินไป หรืออาจจะถึงขั้นบิดเบี้ยวแล้ว
ส่วนผม...เริ่มรู้สึกว่า ความเครียดกำลังจะเข้ามาเยือน คงต้องรีบแก้ไขด่วน
ถอนฟันสักซี่ แล้วดันให้เข้าที่โดย.. ไม่ใช้ลิ้นตัวเอง.. ไม่ใช้ไม้ไอติม...ไม่ใช้สลิง เอ๊ย!! ใช้ลิ้น คนอื่นช่วยดัน แฮ่ม!!
แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 49 01:25:07
แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 49 01:15:29
จากคุณ :
ใบไม้ในทางช้างเผือก
- [
10 ม.ค. 49 01:13:52
]