กล้วยหวีที่ 1 ของใหม่ดีกว่าของเก่าจริงหรือ ?
ตีสามของคืนหนึ่งในเดือนมกราคม ฉันข่มตานอนเท่าไหร่ ก็หลับไม่ลง ได้แต่คิดวนไปวนมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
...ระยะหลัง ที่แยกกันอยู่กับแฟน เพราะความไม่ลงรอยกัน มีแต่เรื่องระหองระแหงมาตลอด หลังกลับจากเชียงใหม่ ฉันก็ใจอ่อนรีบโทรง้อเขาให้มารับที่สนามบิน
แต่เมื่อเขาขับรถมาถึง กลับพบรูปภาพสาวสวยน่ารักติดโชว์หราอยู่บนมุมกระจกรถยนต์ของเขา เมื่อฉันถามว่านี่ใคร เขาก็บอกว่าแฟนใหม่ผม นาทีนั้น มันเหมือนโลกทั้งโลกแตกสลาย ...ฉันได้แต่นั่งนิ่ง แต่ภายในเหมือนภูเขาไฟระเบิด ไม่ทันจะไต่สวนเรื่องราว สาวน้อยตัวปัญหาก็โทรเข้ามือถือ อ้อยอิ่งพูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัย หวานจ๋าเอาใจ และไม่กี่อาทิตย์ถัดมา เขาก็จากไป...แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
คืนนั้น ฉันลืมตาโพลงมองดูเพดานเก่าๆ ในห้องนอนอย่างเลื่อนลอย นึกถึงนาทีเจ็บปวด เหมือนฉายภาพซ้ำๆ กลางอากาศ ได้แต่ภาวนา...อยากให้มันเป็นเพียงฝันร้าย ที่พอฉันตื่น ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหลือบตามองไปที่นอนข้างๆ ว่างเปล่า ก็ใจหาย น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยคนที่เคยรักใคร่กันดี อยู่ด้วยกันมาหลายปี พอมาวันนี้ ก็มาตีจาก โดยให้เหตุผลทิ้งไว้เพียงว่า...ฉันไม่เคยเข้าใจเขาเลย... เมื่อต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เขาทิ้งไปจริงๆ แล้ว ยิ่งทำให้ฉันไม่มีเรี่ยวแรง หมดพลังจะต่อสู้ชีวิต
ไม่ใช่ว่าจะมาพร่ำพรรณาถึงความเศร้าสลดเสียใจอะไรอีก มาถึงวันนี้ ผ่านไปเกือบปีแล้ว เลิกแล้ว หายแล้ว ความเจ็บปวดในคืนนั้น มันได้รับการเยียวยาไปแล้ว แผลสดในใจวันนั้น ค่อยๆ แห้ง กลายเป็นแผลเป็นที่ไม่เจ็บอีกต่อไป แม้ว่าจะยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น ร่องรอยที่ฝังใจมาตลอดว่าฉันเองไม่ ดี พอสำหรับเขา และไม่เคยเข้าใจเขาอย่าง ดีพอ ซึ่งเมื่อมองในแง่ดี การสูญเสียครั้งนี้ ก็ได้เรียนรู้อะไรๆ หลายอย่าง ไว้คอยเตือนใจตัวเอง
ต้องยอมรับว่าเมื่อมีความทุกข์ สิ่งที่รักษาได้ดีที่สุดคือกาลเวลา...ดูเหมือนใครๆ ก็รู้ความจริงข้อดีนี้ แต่ใช่ว่าจะผ่านพ้นกันไปได้ง่ายๆ ชั่วโมงหนึ่งๆ นานเหมือนเป็นปีๆ
ในเดือนแรกที่รู้ว่าเขามีหญิงอื่น เหมือนใครเอามีดมากรีดลงที่หัวใจ ทุรนทุราย ฟูมฟาย พร้อมที่จะทำร้ายและลงโทษตัวเองอยู่ทุกนาที คิดแต่ว่าเพราะเราไม่ดี ไม่สวย ไม่รวย
แต่รอดมาได้ เพราะเตือนสติไว้ว่าการทำร้ายตนเองไม่ใช่ทางออก แต่เป็นทาง หนี ของผู้แพ้ คนที่อ่อนแอจะเลือกหนทางที่ ง่าย ที่สุด เพื่อ หนี ไม่ได้ แก้ ปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น ฉันก็ยังจมอยู่ในทะเลแห่งความเศร้า เดือนที่สอง กลายเป็นคนเอ๋อๆ จู่ๆ ก็ร้องไห้อย่างไร้เหตุผล นั่งประชุมในที่ทำงาน เมื่อแว่บนึกถึงคำพูดเขาเมื่อไหร่ ต้องใช้พลังสะกดกลั้นน้ำตาไว้จนตาแดงก่ำ ไม่มีกะจิตกะใจ จะรับรู้อะไร
เมื่อฟุ้งซ่านมากๆ เข้า ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา อยากแต่จะโทรหา รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ เพราะยิ่งกลับจะทำให้ตัวเองด้อยค่าลง และตกเป็นเบี้ยล่างในเกมของเขามากขึ้น ได้แต่นั่งจ้องมองเบอร์โทรเขา แต่แล้วก็ต้องตัดใจ กดลบเขาทิ้งไปจากเมมโมรี่ในมือถือ แต่ก็ไม่สามารถลบออกไปจากเมมโมรี่ของตนเองได้เลย
เดือนที่สาม คือการเริ่มต้นใหม่ สนใจสิ่งที่ตนมีอยู่ เอาใจใส่กับรายละเอียดต่างๆ รอบตัวมากขึ้น เดือนต่อๆ มา จึงได้ตระหนักถึง ของดี ที่ตนเองมีอยู่ และค้นพบ สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตมากมาย
ช่วงทรมานได้ผ่านไปแล้ว...
ยิ้มได้เต็มหน้า ไม่มีคราบคนขี้แพ้แบบเดิมอีกแล้ว หลายคนชมว่าฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อความเศร้าเสียใจผ่านไป ชีวิตก็กลับมาเป็นปกติ ทำงานได้ กินได้ นอนได้ หัวเราะได้ ที่สำคัญ กลับมามีเหตุผล และเย็นลงกว่าเก่า มีเวลามากขึ้นที่จะทบทวนกับสิ่งที่ผ่านมา เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้น คนเราต่างก็มีช่วงเวลาแห่งความทุกข์กันทั้งนั้น แต่หลังม่านน้ำตา ต้องกำเนิด ปัญญา ถึงจะช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์นั้นได้อย่างถาวร
แล้ว ปัญญา ของฉัน ก็เกิดขึ้นจากเรื่องง่ายๆ...
วันหนึ่ง บนถนนที่จอแจติดขัด ขณะขับรถฝ่าการจราจรกลับบ้าน ความเครียดและสภาพอากาศ ทำให้รู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก เมื่อรถติดได้ที่ ผ่านไปเกือบชั่วโมง ก็รู้สึกปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว
แม่เป็นอะไรครับ ลูกชายตัวน้อยวัยเจ็ดขวบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
ปวดหัวน่ะลูก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใช้สายตามากไปมั้งวันนี้
ลูกชายมองด้วยความเป็นห่วง (หรือง่วง ก็ไม่ทราบได้) แต่ฉันก็ปลอบใจเขา
ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นเพราะแว่นตาแม่มันเก่าแล้ว หรือไม่สายตาแม่คงจะสั้นลงอีก
แม่ก็ตัดแว่นใหม่สิครับ ลูกชายทำหน้าตาใสซื่อ
โอเค พรุ่งนี้ แม่ไปตัดแว่นใหม่ ฉันยิ้มและลูบหัวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
ดีๆ ขอผมไปเที่ยวสวนสนุกที่ห้างด้วยนะครับ นั่นไง ดูท่าทางเจ้าตัวเล็กสดชื่นสดใสขึ้นมาทันที
ก็เลยต้องฉลองศรัทธาเขาซะหน่อย นอกจากจะพาเขาไปสวนสนุกอย่างที่หวังแล้ว ฉันก็ถือโอกาสแวะเช็คสายตาที่ร้านแว่นในห้างชื่อดังนั้นด้วย
คุณพี่ครับ สายตาคุณพี่สั้นขึ้นอีกนะครับเนี่ย ตัดเลนส์ใหม่ไปเลยมั้ยครับ
นั่นไง ฉันว่าแล้ว ถึงว่าทำไมหมู่นี้ ปวดหัวบ่อย
ตัดเลยค่ะ หลังจากที่ตกปากรับคำแล้ว บรรดาพนักงานสาวสวยก็รีบกุลีกุจอเข้ามาประเคนแบบแว่นตาสารพัดดีไซน์
ยิ่งเมื่อได้เห็นแว่นตาใหม่ๆ หลากหลายลวดลายและสีสันตระการตา ก็ยิ่งตื่นเต้นที่จะได้ใช้ของใหม่ เมื่อลองใส่แล้ว ก็ไม่รอช้า รีบเข้าข้างตัวเองทันทีว่าใบหน้าเราช่างสดสวยเก๋ไก๋กว่าหน้าเก่าเป็นไหนๆ
...รู้อย่างนี้ เปลี่ยนแว่นใหม่ไปตั้งนานแล้ว
และเมื่อถึงเวลาพนักงานสาวสวยคิดคำนวณเสร็จสรรพ บอกราคาให้ชำระ ก็ต้องผงะหงาย อูยย..ย แว่นอะไรปาเข้าไปเกือบหมื่นบาท
อย่างว่าล่ะ เมื่อถูกใจแล้ว ก็ไร้เหตุผล รูดการ์ดไปง่ายๆ ได้แว่นสวยใสไร้กรอบมาสวมใส่ด้วยความภาคภูมิใจ มั่นใจมากขึ้น วันถัดมาไปที่ทำงานก็ได้รับคำชมกันใหญ่ หลายคนทักว่าสวยขึ้น หน้าสว่างขึ้น ทำให้อดภูมิใจไปกับลุคใหม่ของตัวเองไม่ได้ อาการปวดหัวปวดท้ายทอยที่เคยเป็นก็หายไป เลยคิดว่าตัดสินใจถูกแล้ว แม้ว่าแว่นใหม่จะแพงอย่างไร ก็คุ้มค่า
สมใจแล้ว ได้แว่นใหม่อย่างที่เคยใฝ่ฝันมาตลอด ทิ้งแว่นเก่าขอบดำหนาเตอะไว้ที่ไหนก็ไม่รู้...ไม่ใช่ว่าจะเห่อของใหม่หรอกนะ ก็เลนส์แว่นเก่าน่ะมันไม่พอดีกับสายตาตอนนี้แล้วต่างหาก นั่น...ยังคงคอยย้ำหาเหตุผลให้ตนเองตลอด
ซื้อมายังไม่ทันจะครบอาทิตย์ ขณะขับรถไปบางแสน ระหว่างทาง จอดติดไฟแดงอยู่ รู้สึกว่าตัวเองกำลังหยีตาอีกแล้ว คงจะแดดแรงไป หรือไม่ก็เลนส์ไม่พอดีสายตาอีก จึงลองถอดแว่นออกมาเช็ดมาดัด แต่งโน่นแต่งนี่เหมือนเคย แต่ยังไม่ทันได้ออกแรงอะไร กระจกแว่นสวยสง่าก็หักกลางดังเป๊าะ! ...โอ๊ะ! หัวใจสลาย...ช็อคคาสี่แยกไฟแดงอยู่อย่างนั้น
และแล้วไฟแดงก็ดันได้จังหวะขยับเขียวขึ้นมาพอดิบพอดี ไม่ใส่แว่นสายตาก็ขับรถไม่ได้ ปัทโธ่ แล้วจะทำไงดีล่ะ รถหลังก็บีบแตรไล่แป๊นๆ บอกตัวเองตั้งสติดีๆ ลองคุ้ยหาของในเก๊ะรถยนต์ เผื่อว่าจะโชคดี...แล้วก็โชคดีจริงๆ เพราะดันซุกแว่นเก่ากรอบดำไว้ในนี้นี่เอง ในที่สุด วันนั้นก็ขับรถต่อไปได้และกลับมากรุงเทพฯ อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ความเซ็งก็เข้ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย ของใหม่ได้มา ใช้ไม่ทันคุ้ม ก็มีอันเสียหายก่อนเวลาอันควร จะให้กลับไปใช้ของเก่า มันก็ไม่ตรงกับสายตาที่สั้นขึ้นอีก ก็จะทำให้ปวดหัวได้ง่ายอีก
(มีต่อ...)
จากคุณ :
นักเขียนมือใหม่ "MadameG"
- [
12 ม.ค. 49 21:55:30
A:58.136.226.139 X:
]