CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    Life In a Week : พรุ่งนี้นั่งได้

    พรุ่งนี้นั่งได้


    ในระหว่างอยู่บนรถโดยสารประจำทาง  ผมนึกคิดติดความสงสัย (มานานแล้วแต่ยังไม่ได้ลงบันทึก) อยู่ว่า ข้อความ 'โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก  สตรี และคนชรา' นั้นยังมีอยู่หรือไม่
     
    โชคดี--ผมยังพบเห็นข้อความข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ (แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งสังเกตเห็นได้ยากอยู่สักนิด)

    เด็ก  สตรี และคนชรานั้นอาจทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความรู้สึกคลุมเครือในความหมาย (ได้ในบางครั้ง)  ถามว่า 'เด็ก' - ช่วงอายุระหว่างเท่าไร?  เด็กบางคนซึ่งมีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ว่าร่างกายเจริญเติบโตแตกต่างกัน  บางคนโต และสูงพอที่จะห้อยโหนยึดจับราวรถได้--สมควรที่จะลุกเสียสละเบาะนั่งให้กับเขาได้หรือยัง?

    สตรี - คำนี้ไม่ต้องเสียเวลาตีความด้วยหมายถึงผู้หญิงทั้งโลก--หนุ่มๆอย่างเราพร้อมสละเบาะนั่งให้กับพวกเธอได้ไหม?

    คนชรา - ยิ่งไม่ต้องเสียเวลาตีความและคาดเดาถึงช่วงอายุ  ด้วยสามัญสำนึกเราสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า ชาย-หญิงคนไหนคือคนแก่--ลุกเลย  เสียสละเบาะให้ทันทีทำได้หรือเปล่า?

    ด้วยความคลุมเครือและต้องการตีความหมายจากคนบางจำพวก  ข้อความวิงวอนขอร้องนี้จึงค่อยๆถูกลบหายออกไปจากตัวถังด้านในรถ  แต่กลับเป็นสิ่งที่น่าดีใจเสียยิ่งกว่าว่า  ข้อความนั้นได้ไปปรากฏประจำอยู่ที่เบาะนั่งพิเศษให้เห็นกันอย่างชัดเจน  โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดตีความหมายกันอีกต่อไป

    ระบุชี้ชัดเอาไว้เลยว่า นี่คือ 'เบาะนั่งสำรอง' สำหรับพระภิกษุ-สามเณร คนชรา สตรีมีครรภ์ และผู้ทุพลภาพทางร่างกาย

    *   *   *

    คนรู้จักบางคนได้แสดงทัศนคติเกี่ยวกับเบาะนั่งสำรองเหล่านี้กับผมว่า  ไม่ว่าเบาะนั่งนั้นจะว่างอย่างไรเขาจะไม่ขอเลือกนั่ง - มันควรว่างเว้นเอาไว้อย่างนั้น  บ้านเมืองใดที่คนในสังคมมีพัฒนาการทางด้านจิตใจมากกว่าย่อมไม่มีบุรุษ-สตรีคนใดเลือกใช้เบาะนั่งนี้

    แต่บ้านเรากลับไม่เป็นเช่นนั้น--นี่คือความแตกต่างของคนในสังคมของแต่ละสังคม

    สังคมบ้านเราอะลุ้มอล่วยให้กับปรัชญา 'การให้สิทธิ' กับผู้ที่ถูกจัดให้เป็นบุคคลพิเศษดังกล่าว  ไม่มีการต่อว่า หรือการดูหมิ่นหากบุคคลทั่วไปจะเลือกนั่งเบาะสำรองนี้  หากว่าจะรีบลุกขึ้นด้วยสามัญสำนึกในทันทีเมื่อบุคคลพิเศษนั้นปรากฏกายขึ้นมา

    แต่ปัจจุบันการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น

    หลายคนรู้และจงใจเพิกเมินเฉย  กระทั่งพนักงานเก็บค่าโดยสารต้องออกมาแสดงบทบาทกระทำหน้าที่กล่าววาจาให้ทราบ  เอ่ยคำพูดเหน็บแนมก็แล้ว  หากว่ายังไม่รู้สึกตัวเห็นทีต้องประกาศกล่าวประจานกันเสียหน่อย

    "อ่านหนังสือออกกันมั้ยคะว่าที่ตรงนี้นั้นสำรองไว้ให้กับใคร!"

    อายไหม?--บางคนอาจไม่  รวมถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากไปกว่า 'รำคาญ' ก็เท่านั้น

    *    *    *

    เป็นเรื่องจริงที่ว่าผู้ชายบางคนชอบเลือกนั่งเบาะสำรองสำหรับพระภิกษุ-สามเณร  เนื่องจากเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ว่าในช่วงระยะเวลานั้นๆจะไม่พบกับบุคคลผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเบาะนั่งตัวจริง  และหากแม้ว่าจะพบบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไรไป  หญิงสาวที่นั่งข้างกายต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายลุก เพราะคุณเธอนั้นไม่สามารถนั่งคู่เคียงข้างกับหลวงพี่ หลวงพ่อรูปใดได้

    ครั้งหนึ่งผมได้เห็นสุภาพสตรีนั่งที่เบาะสำรองพระภิกษุ  เธอไม่ยอมลุกเมื่อมีสมณะเพศขึ้นมา  ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งด้านข้างเธอกลับลุกสละเบาะนั่งให้ท่านด้วยสามัญสำนึก  หลวงพี่ได้แต่มองหน้าชายหนุ่มทำตาปริบๆเหมือนอยากจะกล่าวว่าขอบใจนะโยม แต่อาตมาก็นั่งไม่ได้อยู่ดี

    สุดท้ายร้อนถึงเจ้าหน้าที่ - พนักงานเก็บค่าโดยสารออกมาจัดระเบียบ (ตามระเบียบ)

    สุภาพสตรีท่านนั้นชักสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจ  ไม่พร้อมจะรับบุญใดๆ และเหมือนอยากจะบอกคน (ในรถ) ทั้งโลกว่า  'ชั้นเป็นสุภาพสตรีค่ะ' --โธ่ เจ๊!  กะเทยบางคนยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะนั่งเคียงข้างท่านเลย

    (อีก) ครั้งหนึ่ง (ก็ได้)  สตรีมีครรภ์แก่ก้าวขึ้นมา  ที่เบาะหน้ามีชายหนุ่มนั่งคู่กับพระภิกษุ  เบาะนั่งถัดมาสำรองสำหรับสตรีมีครรภ์มีหญิงสาววัยทำงานนั่งคู่  เบาะนั่งถัดมาสำรองสำหรับคนชรามีชายหนุ่ม-หญิงสาววัยทำงานนั่งคู่  เบาะนั่งสำรองสุดท้ายสำหรับผู้พิการมีหญิงสาววัยทำงานนั่งคู่กับสาวนักศึกษา

    ไม่มีใครสักคนไม่ว่าจะที่เบาะนั่งสำรอง และเบาะนั่งทั่วไปคิดจะหยิบยื่นความเอื้อเฟื้อมอบให้

    พระภิกษุซึ่งเห็นเหตุการณ์  เห็นว่าหญิงครรภ์แก่ยังไม่มีเบาะนั่ง  ท่านจึงทำท่าทำทางจะลุกสละเบาะนั่งให้เสียเอง  แต่ช้าก่อน  เหตุการณ์ยังไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น..ผู้จัดระเบียบปรากฏกายทำหน้าที่แทนทันที--นิมนต์หลวงพี่นั่งเถิดค่ะ..

    *    *    *

    ผมซึ่งเป็นผู้ยืนห้อยโหนเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มาโดยตลอด  นึกสงสัยว่าทำไม?  บุคคลผู้ซึ่งได้นั่งทั้งเบาะธรรมดาและพิเศษถึงได้มีใจคิดเกี่ยง ต่างโยนความเอื้อเฟื้อกันไปมา

    เป็นเพราะสภาพการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่--ระบบทุนนิยมที่สังคมเราเลือกรับมานั้นทำให้เราต่างมองเห็นแต่ตัวเอง  รีบเร่ง  แก่งแย่งแข่งขันกันในทุกๆด้านเพื่อตนเองนั้นจริงหรอกหรือ?

    สำหรับบางคนอาจมองและคิดเห็นเช่นนั้น  แต่ส่วนตัวผมเองกลับมองว่ามันไม่ใช่ต้นเหตุ  เพราะอย่างน้อยเท่าที่ได้รับรู้มองเห็นประเทศที่เป็นต้นแบบระบบทุนนิยม (ที่เรารับเอาอย่าง) นี้  แม้ว่าผู้คนในสังคมเขาจะแก่งแย่งแข่งขันมองเห็นตนเองก่อนผู้อื่นมากน้อยเพียงใดก็ตาม  แต่สำหรับปรัชญาแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเขาก็ยังแยกแยะออกจากความรู้สึกส่วนตัว
     
    - เด็ก สตรี คนชรา และผู้ทุพลภาพยังเป็นกลุ่มบุคคลพิเศษที่มีสิทธิในการเป็นผู้ได้รับโอกาสอยู่ในลำดับต้น  เหนือกว่าคนปรกติทั่วไปอยู่เสมอ.

    คนในสังคมบ้านเราจงใจที่จะตัดความเอื้อเฟื้อ  ความมีน้ำใจ - การให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเคยมีอยู่กันอย่างมากทิ้งไปเสียมากกว่า--มากกว่าการกล่าวอ้างเอาระบบมาเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป

    *    *    *

    วันนี้ผมนึกอยากเห็นภาพชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเสียสละเบาะนั่งให้กับบุคคลพิเศษ  ทั้งเด็ก สตรี (ไม่ว่าสาวหรือแก่) คนชรา และผู้ทุพลภาพอย่างยินดี

    "เชิญนั่งครับ" - "ขอบคุณค่ะ"

    คงไม่ต้องจำกัดว่าภาพเหล่านี้สามารถมีอยู่ได้เพียงแต่โลกแห่งอุดมคติเท่านั้น  เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงภาพเหล่านี้ไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้

    ผมไม่เชื่อ!  เพียงเพราะครั้งหนึ่งภาพเหตุการณ์เหล่านี้ผมเคยได้เห็นมันมาแล้ว - เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน



    ด้วยมิตรภาพ
    11 มกราคม 2549

    kopkop90@hotmail.com

    หมายเหตุท้ายเรื่อง : ที่ผมไม่ลุกเสียสละให้กับท่านชายนั้นเพียงเพราะผมต้องการเก็บเบาะนั่งไว้ให้กับเด็ก สตรี  และคนชรา  (รวมถึงผู้ทุพลภาพ)  และหากว่าผมจะต้องห้อยโหนโดยสารรถประจำทางไปตลอดสายก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสากรรจ์แต่ประการใด  เมื่อวานก็ยืน..วันนี้ยืนอีกวันก็ไม่เป็นไร--เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยนั่งก็ได้

    จากคุณ : อานันท์-โจนาธาน - [ 12 ม.ค. 49 22:43:11 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป