พรุ่งนี้นั่งได้
ในระหว่างอยู่บนรถโดยสารประจำทาง ผมนึกคิดติดความสงสัย (มานานแล้วแต่ยังไม่ได้ลงบันทึก) อยู่ว่า ข้อความ 'โปรดเอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรี และคนชรา' นั้นยังมีอยู่หรือไม่
โชคดี--ผมยังพบเห็นข้อความข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ (แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งสังเกตเห็นได้ยากอยู่สักนิด)
เด็ก สตรี และคนชรานั้นอาจทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความรู้สึกคลุมเครือในความหมาย (ได้ในบางครั้ง) ถามว่า 'เด็ก' - ช่วงอายุระหว่างเท่าไร? เด็กบางคนซึ่งมีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ว่าร่างกายเจริญเติบโตแตกต่างกัน บางคนโต และสูงพอที่จะห้อยโหนยึดจับราวรถได้--สมควรที่จะลุกเสียสละเบาะนั่งให้กับเขาได้หรือยัง?
สตรี - คำนี้ไม่ต้องเสียเวลาตีความด้วยหมายถึงผู้หญิงทั้งโลก--หนุ่มๆอย่างเราพร้อมสละเบาะนั่งให้กับพวกเธอได้ไหม?
คนชรา - ยิ่งไม่ต้องเสียเวลาตีความและคาดเดาถึงช่วงอายุ ด้วยสามัญสำนึกเราสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า ชาย-หญิงคนไหนคือคนแก่--ลุกเลย เสียสละเบาะให้ทันทีทำได้หรือเปล่า?
ด้วยความคลุมเครือและต้องการตีความหมายจากคนบางจำพวก ข้อความวิงวอนขอร้องนี้จึงค่อยๆถูกลบหายออกไปจากตัวถังด้านในรถ แต่กลับเป็นสิ่งที่น่าดีใจเสียยิ่งกว่าว่า ข้อความนั้นได้ไปปรากฏประจำอยู่ที่เบาะนั่งพิเศษให้เห็นกันอย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดตีความหมายกันอีกต่อไป
ระบุชี้ชัดเอาไว้เลยว่า นี่คือ 'เบาะนั่งสำรอง' สำหรับพระภิกษุ-สามเณร คนชรา สตรีมีครรภ์ และผู้ทุพลภาพทางร่างกาย
* * *
คนรู้จักบางคนได้แสดงทัศนคติเกี่ยวกับเบาะนั่งสำรองเหล่านี้กับผมว่า ไม่ว่าเบาะนั่งนั้นจะว่างอย่างไรเขาจะไม่ขอเลือกนั่ง - มันควรว่างเว้นเอาไว้อย่างนั้น บ้านเมืองใดที่คนในสังคมมีพัฒนาการทางด้านจิตใจมากกว่าย่อมไม่มีบุรุษ-สตรีคนใดเลือกใช้เบาะนั่งนี้
แต่บ้านเรากลับไม่เป็นเช่นนั้น--นี่คือความแตกต่างของคนในสังคมของแต่ละสังคม
สังคมบ้านเราอะลุ้มอล่วยให้กับปรัชญา 'การให้สิทธิ' กับผู้ที่ถูกจัดให้เป็นบุคคลพิเศษดังกล่าว ไม่มีการต่อว่า หรือการดูหมิ่นหากบุคคลทั่วไปจะเลือกนั่งเบาะสำรองนี้ หากว่าจะรีบลุกขึ้นด้วยสามัญสำนึกในทันทีเมื่อบุคคลพิเศษนั้นปรากฏกายขึ้นมา
แต่ปัจจุบันการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น
หลายคนรู้และจงใจเพิกเมินเฉย กระทั่งพนักงานเก็บค่าโดยสารต้องออกมาแสดงบทบาทกระทำหน้าที่กล่าววาจาให้ทราบ เอ่ยคำพูดเหน็บแนมก็แล้ว หากว่ายังไม่รู้สึกตัวเห็นทีต้องประกาศกล่าวประจานกันเสียหน่อย
"อ่านหนังสือออกกันมั้ยคะว่าที่ตรงนี้นั้นสำรองไว้ให้กับใคร!"
อายไหม?--บางคนอาจไม่ รวมถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากไปกว่า 'รำคาญ' ก็เท่านั้น
* * *
เป็นเรื่องจริงที่ว่าผู้ชายบางคนชอบเลือกนั่งเบาะสำรองสำหรับพระภิกษุ-สามเณร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ว่าในช่วงระยะเวลานั้นๆจะไม่พบกับบุคคลผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเบาะนั่งตัวจริง และหากแม้ว่าจะพบบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไรไป หญิงสาวที่นั่งข้างกายต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายลุก เพราะคุณเธอนั้นไม่สามารถนั่งคู่เคียงข้างกับหลวงพี่ หลวงพ่อรูปใดได้
ครั้งหนึ่งผมได้เห็นสุภาพสตรีนั่งที่เบาะสำรองพระภิกษุ เธอไม่ยอมลุกเมื่อมีสมณะเพศขึ้นมา ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งด้านข้างเธอกลับลุกสละเบาะนั่งให้ท่านด้วยสามัญสำนึก หลวงพี่ได้แต่มองหน้าชายหนุ่มทำตาปริบๆเหมือนอยากจะกล่าวว่าขอบใจนะโยม แต่อาตมาก็นั่งไม่ได้อยู่ดี
สุดท้ายร้อนถึงเจ้าหน้าที่ - พนักงานเก็บค่าโดยสารออกมาจัดระเบียบ (ตามระเบียบ)
สุภาพสตรีท่านนั้นชักสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจ ไม่พร้อมจะรับบุญใดๆ และเหมือนอยากจะบอกคน (ในรถ) ทั้งโลกว่า 'ชั้นเป็นสุภาพสตรีค่ะ' --โธ่ เจ๊! กะเทยบางคนยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะนั่งเคียงข้างท่านเลย
(อีก) ครั้งหนึ่ง (ก็ได้) สตรีมีครรภ์แก่ก้าวขึ้นมา ที่เบาะหน้ามีชายหนุ่มนั่งคู่กับพระภิกษุ เบาะนั่งถัดมาสำรองสำหรับสตรีมีครรภ์มีหญิงสาววัยทำงานนั่งคู่ เบาะนั่งถัดมาสำรองสำหรับคนชรามีชายหนุ่ม-หญิงสาววัยทำงานนั่งคู่ เบาะนั่งสำรองสุดท้ายสำหรับผู้พิการมีหญิงสาววัยทำงานนั่งคู่กับสาวนักศึกษา
ไม่มีใครสักคนไม่ว่าจะที่เบาะนั่งสำรอง และเบาะนั่งทั่วไปคิดจะหยิบยื่นความเอื้อเฟื้อมอบให้
พระภิกษุซึ่งเห็นเหตุการณ์ เห็นว่าหญิงครรภ์แก่ยังไม่มีเบาะนั่ง ท่านจึงทำท่าทำทางจะลุกสละเบาะนั่งให้เสียเอง แต่ช้าก่อน เหตุการณ์ยังไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น..ผู้จัดระเบียบปรากฏกายทำหน้าที่แทนทันที--นิมนต์หลวงพี่นั่งเถิดค่ะ..
* * *
ผมซึ่งเป็นผู้ยืนห้อยโหนเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มาโดยตลอด นึกสงสัยว่าทำไม? บุคคลผู้ซึ่งได้นั่งทั้งเบาะธรรมดาและพิเศษถึงได้มีใจคิดเกี่ยง ต่างโยนความเอื้อเฟื้อกันไปมา
เป็นเพราะสภาพการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่--ระบบทุนนิยมที่สังคมเราเลือกรับมานั้นทำให้เราต่างมองเห็นแต่ตัวเอง รีบเร่ง แก่งแย่งแข่งขันกันในทุกๆด้านเพื่อตนเองนั้นจริงหรอกหรือ?
สำหรับบางคนอาจมองและคิดเห็นเช่นนั้น แต่ส่วนตัวผมเองกลับมองว่ามันไม่ใช่ต้นเหตุ เพราะอย่างน้อยเท่าที่ได้รับรู้มองเห็นประเทศที่เป็นต้นแบบระบบทุนนิยม (ที่เรารับเอาอย่าง) นี้ แม้ว่าผู้คนในสังคมเขาจะแก่งแย่งแข่งขันมองเห็นตนเองก่อนผู้อื่นมากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่สำหรับปรัชญาแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นเขาก็ยังแยกแยะออกจากความรู้สึกส่วนตัว
- เด็ก สตรี คนชรา และผู้ทุพลภาพยังเป็นกลุ่มบุคคลพิเศษที่มีสิทธิในการเป็นผู้ได้รับโอกาสอยู่ในลำดับต้น เหนือกว่าคนปรกติทั่วไปอยู่เสมอ.
คนในสังคมบ้านเราจงใจที่จะตัดความเอื้อเฟื้อ ความมีน้ำใจ - การให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเคยมีอยู่กันอย่างมากทิ้งไปเสียมากกว่า--มากกว่าการกล่าวอ้างเอาระบบมาเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป
* * *
วันนี้ผมนึกอยากเห็นภาพชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเสียสละเบาะนั่งให้กับบุคคลพิเศษ ทั้งเด็ก สตรี (ไม่ว่าสาวหรือแก่) คนชรา และผู้ทุพลภาพอย่างยินดี
"เชิญนั่งครับ" - "ขอบคุณค่ะ"
คงไม่ต้องจำกัดว่าภาพเหล่านี้สามารถมีอยู่ได้เพียงแต่โลกแห่งอุดมคติเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงภาพเหล่านี้ไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้
ผมไม่เชื่อ! เพียงเพราะครั้งหนึ่งภาพเหตุการณ์เหล่านี้ผมเคยได้เห็นมันมาแล้ว - เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
ด้วยมิตรภาพ
11 มกราคม 2549
kopkop90@hotmail.com
หมายเหตุท้ายเรื่อง : ที่ผมไม่ลุกเสียสละให้กับท่านชายนั้นเพียงเพราะผมต้องการเก็บเบาะนั่งไว้ให้กับเด็ก สตรี และคนชรา (รวมถึงผู้ทุพลภาพ) และหากว่าผมจะต้องห้อยโหนโดยสารรถประจำทางไปตลอดสายก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสากรรจ์แต่ประการใด เมื่อวานก็ยืน..วันนี้ยืนอีกวันก็ไม่เป็นไร--เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยนั่งก็ได้
จากคุณ :
อานันท์-โจนาธาน
- [
12 ม.ค. 49 22:43:11
]