พระจันทร์ในสายน้ำ
1
มานี่สิ จะแนะนำรู้จักกันนะ นี่คือหลินซาน และนี่คือเสิ่น
หลังจากการแนะนำด้วยประโยคสั้นๆ เราสองคนก็รู้จักกัน เธอก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ พร้อมกับเชิญให้เขานั่งบนโซฟา ปล่อยให้เขาและเธออยู่กันตามลำพังโดยไม่มีใครอยู่แถวนั้น ต่างคนก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุย---ความจริงแล้วเธอและเขาน่าจะรู้จักกันตั้งนานแล้ว ไม่ว่างานนิทรรศการที่จัดร่วมกันอยู่บ่อยๆ อีกทั้งในบริเวณสถานที่จัดงานนั้นแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย นี่คงเป็นความเป็นความบังเอิญจริงๆที่ได้มารู้จักในสถานที่ที่ไม่คิดว่าจะเจอ---
ตัวเธอเองก็มีเพื่อนมากมาย อีกทั้งเพื่อนเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเสิ่น ทั้งกินทั้งเที่ยวด้วยก็บ่อย แต่น่าแปลกที่เธอและเขาไม่เคยเจอกันเลย คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นแบบนี้กระมัง-----ฤดูหนาวปีที่แล้วเธอไปทิ่งหลง เผิงบอกเธอว่า เสิ่นเพิ่งจะออกไป
. เธอยิ้มกับตัวเองนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เธอคลาดกับเสิ่น เธอได้แต่บอกตัวเองว่า ต้องมีสักวัน ที่เราจะต้องได้เจอกับเขา
เสิ่นคนนั้น คนที่เรียนช่างกล แต่กลับวาดรูปได้เก่ง
มาวันนี้เขาและเธอก็ได้รู้จักกันแล้ว เขานั่งอยู่ข้างๆเธอเบื้องหน้านั่นเต็มไปด้วยผู้คนและแสงสีมากมาย ใช่แล้ว
วันนี้เป็นงานเลี้ยงเต้นรำในวันเกิดเพื่อนสาวของเธอ ก่อนหน้านี้เธอก็ได้รับเชิญมาเหมือนกัน แรกเริ่มเธอก็อยากปฏิเสธเพราะว่าไม่มีคู่เต้นรำ แต่ที่สุดแล้วเธอก็ตอบตกลงมาจนได้
คุณมานานแล้วหรือ? เสิ่นถามขึ้น
เพิ่งจะมา
บทเพลง Tender Is The Night ดังขึ้น หนุ่มสาวต่างก็ทยอยออกไปเต้นรำ แต่เขาไม่ได้เอ่ยปากชวนเธอเต้นรำ เธอรู้สึกเบื่อจึงใช้มือเขี่ยลูกไม้ที่ติดอยู่กับโคมไฟเล่นไปพลางๆ-----นึกเจ็บใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่เขามาอยู่ต่อหน้าเธอแท้ๆ แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะคุยกับเขา ก่อนหน้าที่เธอจะได้เจอเสิ่น เธอเคยบอกกับเผิงและอาเถาว่า ถ้าฉันได้เจอเสิ่นนะ ฉันจะเข้าไปคว้าเขาไว้ นั่งคุยกับเขาทั้งวัน คุยจนชิงหลงจะยุติลง เผิงได้ยินก็อดขำไม่ได้ยังบอกกับเธอว่า เมื่อคืนเสิ่นก็พูดแบบนี้ เธอสองคนคงไม่มีวาสนาต่อกันหรอก อย่าคิดอะไรอีกเลย
.. เมื่อนึกถึงก็อดยิ้มไม่ได้ จริงสินะเราสองคนคงไม่มีวาสนาจะได้เจอกัน---แต่คอยดูนะพรุ่งนี้เธอจะต้องลบล้างข้อครหาเหล่านี้ให้ได้
วันที่เธอได้เจอเสิ่น เขาสวมสูทสีเทาเข้ม ผูกเนคไทด์สีเทาจางมีลายเส้นทึบเป็นริ้ว เขาไม่ใช่คนสูง ท่าทางของเขาเก็บกดคล้ายกับมีอะไรอยู่ในใจ
มันช่างเหมือนกับรูปที่เขาวาดออกมาจริงๆ
บทเพลงบรรเลงด้วยเสียงแตรเป็นสี่จังหวะช้าๆ---เขาเอื้อมมือมาแตะเธอที่ไหล่เชิญเธอออกไปเต้นรำ เธอยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกไปเต้นรำกับเขา ชะตาลิขิตไว้แล้วกระมัง ทั้งที่เธอและเขาเพิ่งจะเจอกันแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาเขยิบเข้ามาใกล้และพูดคล้ายกระซิบว่า ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน เธอเงยหน้าสบตาเขา แววตาของเขาแฝงความสนิทชิดเชื้อที่ไม่เหมาะสมกับบรรยากาศแบบนี้เลย ทันใดนั้นเหมือนมีบางอย่างจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาและเธอหัวเราะไม่ออก มีอะไรบางอย่างแปลกออกไป ! ทำได้แต่ยืนนิ่งตะลังงัน จ้องมองกันด้วยความหวาดผวา เธออ่านความคิดของตัวเองจากดวงตาของเขา และได้ยินเขาพูดว่า ผมเข้าใจคุณดี เราสองคนไม่เหมือนคนอื่นๆ ถึงแม้เราจะเที่ยวเล่นอย่างมีความสุข---แต่ว่าคนเราก็รู้สึกถึงความเหงาว้าเหว่อยู่เสมอ นี่คือธรรมชาติที่คุณปฏิเสธไม่ได้
ความสุขเราหาเจอได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ดี
.
เธอเหมือนถูกทำร้ายด้วยคำพูดอันปวดร้าว จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเจ็บปวดกันแน่ เธอรับไม่ได้กับความรู้สึกเหล่านั้น
เขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ฉันแค่รู้สึกอยากใกล้ชิดเขา
.. เธอรำพันกับตัวเอง ทั้งเขาและเธอได้แต่จ้องมองกัน เขาต่างหากที่ใช้สายตาโอบกอดเธอไว้ เธอทนไม่ได้ที่เขามองเธอแบบนั้น บอกด้วยเสียงแหบพร่าว่า ได้โปรดอย่างมองฉันแบบนี้
ได้โปรด
เธอรู้ว่าเขาและเธอมีบางอย่างคล้ายกัน ขณะที่ก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเวลามีทั้งความรู้สึกขมขื่นปวดร้าวและปิติสุขในเวลาเดียวกัน เกินกว่าที่คนทั่วไปจะรู้ได้ นอกจากเขาและเธอเท่านั้น เธอและเขาก็เต้นรำกันจนจบเพลง แสงไฟสว่างขึ้นทันทีที่เพลงจบลง ผู้คนมากมายต่างห้อมล้อมเข้ามาเพื่อร้องเพลงอวยพรแก่เจ้าของวันเกิด หลายคนต่างก็คุยโวให้กับเสียงหัวเราะที่ไม่ค่อยถูกใจนักของพวกเขา พร้อมกับช่วยกันเป่าเทียนบนเค้ก หลังจากนั้นหนุ่มๆก็จะคอยบริการขนมเค้กและกาแฟแก่สาวๆ----ส่วนเธอกลับค่อยๆหลับตาลง รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับเสียงอึกทึกครึกโครมเท่าไรนัก อาจวนและเฉินซิ่ว เพื่อนสาวที่มาพร้อมกับเธอต่างก็พูดคุยสนุกสนานอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง เธอเริ่มเบื่อ ขณะเดียวกับที่เสิ่นเดินมาหาพร้อมกับพูดว่า คุณต้องการกาแฟสักแก้วไหม?
ก็ดี คุณก็ไปเอามาสิ น้ำตาลก้อนเดียวนะ!
เธอตอบออกไปอย่างไม่เคอะเขิน ลืมไปว่าเธอและเขาเพิ่งจะรู้จักกัน เขาอาจจะไม่ใช่คู้เต้นรำของเธอ และเธอเองก็อาจจะไม่ใช่คู้เต้นรำของเขา ชายหนุ่มยกกาแฟมาให้ เธอรับมาอย่างเงียบๆ คนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง ฉางกันพี่ชายคนรองของเฉินซิ่วอุตส่าห์วิ่งร้อยเมตรเพื่อมาชิงขอเธอเต้นรำตัดหน้าเสิ่น เธอหันไปยิ้มกับเสิ่นเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต แล้วก็เดินออกเต้นรำกับฉางกัน
หลินซาน เธอเต้นรำเก่งจัง ฉางกันเอ่ยชม
ก็ไม่มีอะไรนี่ ฉันเพียงแต่ชอบจังหวะแรมบ้าเท่านั้น
แต่ทว่าในใจเธอนั้นไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเต้นรำหรือการสนทนาทั้งสิ้น เธอสนุกสนานจนงานเลิกเฉินซิ่วไปส่งเธอที่บ้าน รถวิ่งออกไปแล้วเหลือไว้แค่ฝุ่นคลุ้งตลบ เธอรู้ดีว่าเสิ่นนั่งอยู่บนรถนั้นด้วย แต่เธอไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย ระลึกไว้ว่าระหว่างเธอและเขา ได้แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว---
จากคุณ :
zhanghuili
- [
17 ม.ค. 49 16:19:27
]