-1-
ล่วงเลยเข้าสัปดาห์ที่ 2 ของปี 2549 ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของผมยังเหมือนเดิม
เหมือนเดิมเพราะว่าผมไม่ได้ตั้งเป้า คิดวางแผนการใดๆเมื่อท้ายปีที่ผ่านมา แน่นอนละว่าทุกอย่างย่อมต้องเหมือนเดิม--แล้วผมจะพูดไปสำมะหาอะไร
ในความเหมือนเดิมในรูปแบบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในบางเรื่องสำหรับผมมันไม่ใช่สิ่งที่ดี เช่นนิสัยติดเข้าทำงานตอกบัตรสาย ที่เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น--สายอย่างสม่ำเสมอ มีผู้ร่วมงานเคยตั้งข้อสังเกตว่า หากวันไหนผมมาเช้า (หมายถึงก่อนเวลาเข้างาน) วันนั้น 'ผมผิดปรกติ' ซึ่งผมเองก็ยอมรับความเห็นนั้นปนความละอายใจตนเองรวมอยู่ด้วย
ผมมาเช้าตอกบัตรทันเวลาเข้างานเพราะว่าผมนอนไม่ดึก แต่มาในช่วงระยะปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะนอนเร็วอย่างไร รุ่งเช้ากลับไม่มีความรู้สึกตื่นนอนเอาเสียเลย-ผมเบื่อช่วงเวลาเช้าของวันอย่างที่สุด
ผมเฝ้าถามตนเองอยู่เสมอว่า ที่ว่า 'เบื่อ' นั้น แท้จริงแล้วเบื่ออะไร - งานประจำที่ทำหรือไม่? คำตอบที่ได้คือไม่ใช่ ผมไม่เคยเบื่องานด้านหนังสือ-งานสำนักพิมพ์ที่ผมขวนขวายแทรกกายเข้าไปทำ
คำตอบสุดท้ายของผม ผมรู้สึกเบื่อ และเหนื่อยหน่ายกับการเดินทางมากกว่าสิ่งอื่นใด
นับวันการเดินทางในเมืองใหญ่เมืองนี้ได้บั่นทอนจิตใจผมลงไปทุกวัน ปัญหาการจราจรติดขัดเคียงคู่อยู่กับเมืองนี้อย่างแนบสนิท--กลายเป็นปัญหาโลกแตก การเดินทางไปทำงานช่วงเช้าจากที่เคยใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงกลับเพิ่มขึ้น-เพิ่มขึ้นจนยากแก่การคาดเดาได้ว่า วันนั้นวันนี้จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่
เวลาที่เพิ่มขึ้น หมายถึง ผมต้องตื่นนอนเร็วขึ้นเพื่อเผื่อให้กับเวลาที่ต้องใช้เดินทางในแต่ละเช้า--แต่ละวัน
ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้คือ 'ข้ออ้าง' - 'ข้อแก้ตัว' ที่มาจาก 'เหตุผลส่วนตัว' เท่านั้น--เป็นเหตุผลที่ผมไม่สมควรนำไปใช้กล่าวอ้างกับผู้ใดได้เลย นอกจากตัวของผมเอง
-2-
4 ใน 9 วัน หลังกลับมาทำงานตามปรกติ ผมเสียเงินไปกับค่ารถแท็กซี่จำนวน 400 กว่าบาท
ผมอาจจะไม่ต้องเรียกใช้บริการรถรับจ้างนี้เลย หากว่าผมตื่นนอนให้เร็วกว่า หรือทันเวลาที่ได้กำหนด แน่ละ หมายถึงเงินจำนวนดังกล่าวอาจไม่ต้องจ่ายแลกซื้อเวลา--เวลาที่ผมเห็นแก่ความสุขเพียงน้อยนิด - ความสุขกับการยืดระยะเวลาตื่นนอนออกไปเพียงไม่ถึง 20 นาที
ผมไม่เคยคิดว่าการจ่ายเงินในการซื้อเวลาแบบนี้จะ 'คุ้ม' หรือไม่แต่อย่างใด จริงอยู่ผมอาจมีเวลานอนเพิ่มมากขึ้น แต่ผมก็ต้องจ่ายสตางค์ซื้อเวลามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว จากค่ารถโดยสารซึ่งในวันหนึ่งๆไม่เกินร้อย กลับต้องจ่ายค่ารถแท็กซี่เที่ยวเดียวครั้งละเป็นหลักร้อย เพียงเท่านี้ก็พอมองออกแล้วว่า 'คุ้ม' หรือไม่ นี่ยังมิพักต้องเอ่ยถึงความร้อนใจในระหว่างการเดินทางว่าจะทันเวลาเข้างานมั้ย หรือจะเลยเวลาไปไม่มากเท่าใด..ยิ่งออกจากบ้านสาย รถราบนท้องถนนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ยิ่งเบื่อการเดินทางมากขึ้นเท่าใด ผมก็ต้องผจญกับความเบื่อหน่าย 'ชีวิต' ของตนเองเพิ่มขึ้นไปอีก
เอาใหม่--ผมถามตัวเองใหม่ว่า จริงแล้วผมขี้เกียจตื่นนอนมากกว่าเบื่อการเดินทางหรือไม่?
บางทีทั้งสองสิ่งนี้อาจเป็นเหตุและผลของมันกลับไปกลับมาอยู่ในตัว
-3-
ทุกครั้งที่เข้างานตอกบัตรสาย วันนั้นทั้งวัน อารมณ์/ความรู้สึกของผมที่มีต่อเพื่อนร่วมงานมีแต่ความหม่นหมอง ผมไม่มีความกล้าพอที่จะสนทนาวิสาสะกับผู้ใดได้ ซึ่งความรู้สึกนี้มันเกิดจากความละอายใจของตนเองต่อพวกเขา ความรู้สึกส่วนตัวที่คิดว่า 'เหมือนเราเอาเปรียบ'-ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดแสดงทีท่าว่าผมเป็นเช่นนั้นก็ตาม
จากความรู้สึกดังกล่าวส่งผลให้ผมกลายเป็นบุคคลซึมเศร้าไปในแต่ละวัน แน่นอนละว่า งานเขียนต่างๆได้ถูกลูกหลงด้วยเข้าอย่างจัง
จิตไม่นิ่ง ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ทำให้คิดเขียนงานไม่ออก เพียงเพราะมีการเริ่มต้นที่ไม่ดีในแต่ละวัน
ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่า นี่ผมจะใส่ใจไปทำไมกัน มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องปากท้องเสียหน่อย หากจะมองข้ามไปเสียนั้นย่อมทำได้--หากแต่แต่สุดท้ายก็ทำอย่างใจคิดไม่ได้ มันยากกว่า...ยากกว่าเกินที่จะทำใจคิดเช่นนั้น เนื่องจากผมยังมีความรู้สึกว่าตนเองนั้นยังเป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่สัตว์โทนตัวเดียวในป่าคอนกรีต
สัตว์สังคมอย่างผมยังต้องการความรักจากบุคคลรอบข้างเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้กับชีวิต แน่นนอนละว่า หากผมไม่เริ่มต้นเป็นผู้ให้สิ่งๆนี้กับพวกเขาก่อน ผมจะได้รับตอบแทนมาได้อย่างไร?
เห็นทีผมจะต้อง 'รีบ' สลัดความเบื่อ - เหตุผลของผมที่ได้แต่กล่าวอ้างกับตนเองออกไปอย่างโดยเร็ว
-4-
วันแรกของสัปดาห์ที่ 3 ของปี 2549 ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของผมไม่เหมือนเดิม
ผมตื่นนอนเร็วขึ้น ออกจากบ้านเดินทางไปทำงานเร็วขึ้น-ถือเป็นการเริ่มต้นของความสำเร็จชิ้นแรกของวัน
ในระหว่างการเดินทางผมได้เห็นภาพชีวิตของผู้คนในยามเช้าอย่างที่เคยได้เห็น ทั้งชายชราที่มักมานั่งที่ม้านั่งริมน้ำเจ้าพระยาในทุกๆเช้า, หญิงสาวผู้ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายดาราสาวฮอลลีวู้ดคนโปรดของผม, วณิพก-ขอทานคนเดิมออกทำงานหาเงินแต่เช้าตรู่ ฯลฯ ผมมอง ผมคิดกับภาพต่างๆที่ได้เห็นเหล่านี้ไปอย่างเรื่อยเปื่อยด้วยอารมณ์จิตใจปลอดโปร่งโล่งกว่าวันที่ผ่าน--ไม่มีการเร่งรีบ ไม่มีความรีบร้อน และในความคิดเรื่อยเปื่อยของผมนี้ยังสามารถเก็บเกี่ยวบางเสี้ยวมาใช้ในงานเขียนต่างๆได้เป็นอย่างดี
เมื่อถึงสำนักงาน ผมตอกบัตรเข้างานก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง เพื่อนร่วมงานต่างแซวหยอกล้อกับผมว่า วันนี้ 'ผิดปรกติ' อีกแล้ว
ผมยิ้มรับอย่างยินดี--วันนั้นอารมณ์ดีไปทั้งวัน และผมสัญญากับตนเอง (โดยที่ไม่ต้องป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ) ว่า พรุ่งนี้ผมจะขอผิดปรกติอีกวัน และอีกวัน...
ด้วยมิตรภาพ
19 มกราคม 2549
จากคุณ :
อานันท์-โจนาธาน
- [
19 ม.ค. 49 23:34:32
]