CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    สับปะรดให้แม่ ตอนที่ 5

    5. หนึ่งพันกูไม่รับ เพิ่มอีกพันนึง !

    เดินตามที่อยู่ที่คุณปู่เฝ้าประตูบอก ผมได้มาถึงด้านหน้าประตูสีแดงชั้นล่างของอาคารสำนักงานขนส่ง
    ประตูปิดอยู่ บนประตูมีข้อความที่เขียนด้วยพู่กันจีนปิดเอาไว้ : กรุณาเปลี่ยนรองเท้าแตะก่อนเข้า
    ข้างประตูมีรองเท้าเตะอยู่หนึ่งตะกร้า แปลก—อากาศหนาว ๆ อย่างนี้ เปลี่ยนรองเท้าแตะทำไม ?
    —— ปังปัง
    ผมเคาะประตู ไม่มีคนเปิด
    คุณพ่อไม่อยู่บ้าน ? ในบ้านไม่มีใครอยู่เลย ?

    —— ปังปัง ปังปัง ปัง

    ผมออกแรงมากขึ้น
    ประตูเปิดออก ใบหน้าที่คุ้นเคยของคุณพ่อปรากฏให้เห็น เพียงแต่อ้วนขึ้น ขาวขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน ยืนขยี้ตา
    “เอ็งหรอกหรือ ?”
    คุณพ่อจ้องหน้าผม ในปากส่งกลิ่นเหล้าคลุ้ง
    “เอิ่ม...”
    “เอ็งมาคนเดียวหรือ ?” คุณพ่อมองข้ามหลังผมไป แล้วก้มมองเท้าของผม “เปลี่ยนรองเท้าแตะแล้วเข้ามา ปิดประตูด้วย”
    พูดจบก็เดินเข้าไป
    ถอดรองเท้าฝ้าย ใส่รองเท้าแตะ ผมเดินเข้าบ้านไปแล้วปิดประตู จึงพบว่า ที่แท้บนพื้นปูผ้าหนา ๆ สีแดงเอาไว้
    ผมรู้ว่า นี่คือพรม เคยเห็นในหนังมาก่อน มิน่าบนประตูจึงมีข้อความให้เปลี่ยนรองเท้า เพราะกลัวพรมเปื้อนนี่เอง
    คุณพ่อกำลังล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำ เสียงน้ำดังซู่ซู่
    ผมยืนอยู่กลางบ้าน ของในบ้านช่างมีมากมายเหลือเกิน มองจนตาลาย อย่างกับห้างสรรพสินค้า ข้างกำแพงมีตู้หนังสือใบใหญ่ตั้งพิงไว้ แต่บนตู้ไม่มีหนังสือแม้แต่เล่มเดียว มีเพียงขวดเหล้ามากมายหลายแบบหลายทรง วางอยู่เรียงราย พร้อมกับแก้วเหล้า ชั้นล่างของตู้หนังสือ มีโทรศัพท์สีขาววางอยู่เครื่องหนึ่ง

    คนผู้นี้คือพ่อของผมหรือ ?
    นี่คือบ้านของพ่อผม ?
    ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า ?
    คุณพ่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่มองผมแม้แต่น้อย ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา สองมือล้วงลงไปคลำหาในกระเป๋ากางเกง หยิบซองบุหรี่ออกมาซองหนึ่ง บีบดู เป็นซองเปล่า ขยำเป็นก้อนด้วยความรำคาญ แล้วโยนลงบนโต๊ะวางกาน้ำชา
    ผมหยิบบุหรี่ซองนั้นออกมา ยื่นให้คุณพ่อ :
    “พ่อครับ ผมให้”
    “อะไร นี่เอ็งหัดสูบบุหรี่แล้วหรือ ?”
    เขารับบุหรี่ไปจากผม จ้องมองด้วยความสงสัย
    “เปล่าครับ ผมซื้อมาให้พ่อ”
    “อะไรนะ ? เอ็งซื้อบุหรี่แพง ๆ อย่างนี้ ? ไม่ใช่ไปขโมยมาหรอกนะ ?”
    “เปล่านะครับ”
    ผมกระวนกระวายใจ คิดไม่ถึงว่า เพียงแค่พบกันก็กลายเป็นแบบนี้ คุณพ่อท่าทางเฉยเมย แม้แต่เรียกให้นั่งยังไม่เรียกสักคำ ในใจของผมรู้สึกเสียววาบ
    “ไม่ได้ขโมย ? ไหนเอ็งลองบอกซิ บุหรี่ซองนี้ราคาเท่าไหร่ ?”
    “สี่เหรียญห้าสิบ ผมซื้อจากร้านขายของชำด้านหน้า ไม่เชื่อพ่อก็ไปถามดู”
    “ฮึ” คุณพ่อทำเสียงฮึดฮัด แกะซองบุหรี่ หยิบมวนหนึ่งขึ้นมาจุด จ้องปลายบุหรี่สีแดงเพลิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า :
    “เงินตรุษจีน ข้าก็ส่งไปให้ย่าเอ็งแล้ว เอ็งมาอีกทำไม ?”
    คำพูดค้างเติ่งอยู่กับคอหอย กลับต้องกลืนกลับลงไป ผมไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปาก เรื่องราวไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด คุณพ่อช่างเฉยเมย เย็นชา เหมือนคนแปลกหน้า
    ผมค่อย ๆ หยิบใบประกาศเกียรติคุณ คะแนนข้อสอบ ยื่นให้คุณพ่ออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
    เขาสูดควันบุหรี่เข้าไปฟอดใหญ่ คลี่กระดาษสองสามแผ่นนั้นขลุกขลัก ท่าทางรำคาญเต็มทน
    จู่ ๆ ผมก็รู้สึกกลัว—ในข้อสอบวิชาการใช้ภาษา ถึงแม้ผมจะได้ 98 คะแนน แต่มีข้อหนึ่งให้แต่งประโยคคำว่า “อิดโรย” ผมแต่งประโยคว่า งานไร่นาและงานบ้านหนักมาก คุณแม่อิดโรยขึ้นทุกวัน หากคุณพ่อเห็นเข้าจะไม่พอใจไหม ?

    คุณพ่อดูเหมือนไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านจนจบ โยนแผ่นกระดาษลงบนโซฟา ถอนใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง ตามด้วยจุดบุหรี่ขึ้นอีกหนึ่งมวน หันหน้าไปอีกฟาก :
    “สอบได้ที่หนึ่งแล้วเป็นยังไง ? ได้เรียนมหาลัยแล้วจะทำไม ? มีค่าสักกี่เหรียญเชียว ?”
    คุณพ่อพูดอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ?
    พ่อไม่ได้ชมเชยผม กลับเป็นถากถาง ?
    ผมรู้สึกอึดอัด ยืนกัดริมฝีปากอย่างลำบากใจ เงยหน้าขึ้น เหม่อมองรูปถ่ายบนกำแพงอย่างใจลอย บนรูปถ่ายใบนั้นมีคนสองคน คนหนึ่งคือพ่อ อีกคนเป็นผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณแม่ ผมเห็นหน้าของเธอไม่ชัด แต่สามารถมองเห็นชัดเจนว่าเธอสวมกระโปรงสีขาวจรดพื้น ยืนอยู่ข้าง ๆ คุณพ่ออย่างสนิทสนม
    ความรู้สึกเดือดดาลโผขึ้นมา ผมขยับสองขาที่ยืนจนเมื่อย บอกกับเขาว่า :
    “คุณแม่กำลังป่วย ป่วยหนักมาก”
    “เอ็งจะมาบอกข้าทำไม ?”
    เขากระโดดผึงขึ้นมาจากโซฟา ตาทั้งสองข้างจ้องมองผมอย่างดุดัน
    “พ่อ ! แม่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว แม่อยากกินสับปะรด ผมมาหาซื้อให้แม่ เงินไม่พอ ผม ผมอยากขอยืมเงินพ่อนิดเดียว”
    ฟันของผมสั่นกระทบกัน แต่ไม่ได้เป็นเพราะตกใจกลัว
    คุณพ่อเหมือนกับถูกแมงป่องต่อย จี้บุหรี่ลงบนถาดรอง ชี้มือไปทางประตู ตาทั้งสองข้างแดงกล่ำ ตะโกนว่า :
    “มันอยากกินเนื้อมังกรข้าก็ไม่สน ! ไปซื้อเอาเองสิ ! เอ็งจะมาบอกข้าทำไม ?”
    “พ่อ—“
    “เอ็งไม่ต้องพูดแล้ว !”
    เขาล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อด้วยความรวดเร็ว หยิบธนบัตรออกมาใบหนึ่ง :
    “เอาเป็นว่าข้าจะทำเป็นเชื่อที่เอ็งพูดก็แล้วกัน พอใจไหม ? ความกตัญญูของเอ็งนะ ข้าไม่กล้ารับไว้หรอกนะ—เอ้านี่สิบเหรียญ คงพอค่าบุหรี่ซองนั้นนะ ? เอ็งไปได้แล้ว”
    ธนบัตรใบนั้นหล่นจากมือของเขา ร่วงลงบนพื้นพรมอย่างแผ่วเบา
    ผมต้องการเงิน แต่ผมไม่มีวันก้มลงไปเก็บธนบัตรขึ้นมา เหมือนขอทาน !
    ถึงแม้นว่ามันจะเป็นธนบัตรใหม่เอี่ยม นอนนิ่งอยู่บนพรมแดงอย่างราบเรียบ ไม่มีรอยย่นยับแม้แต่น้อย แต่บัดนี้ ในสายตาของผม มันเป็นเหมือนใบไม้เหลือง ๆ แก่ ๆ ใบหนึ่ง ที่บนนั้นสลักคำพูดเอาไว้ว่า : เหยียดหยาม

    พ่อครับ ทำไมพ่อต้องทำกับผมอย่างนี้ ?
    แม่จ๋า ระหว่างแม่กับพ่อ มีอะไรเกิดขึ้นหรือ ?
    พ่อครับ ระหว่างผมกับพ่อ เราโกรธแค้นอะไรกันหรือ ?
    น้ำตาเอ่อท่วมเบ้าตา ผมฝืนกลั้นไว้ ไม่ให้มันตกลงมา
    ——ตรู๊ดตรู๊ดตรู๊ด  ตรู๊ดตรู๊ดตรู๊ด
    เสียงโทรศัพท์
    คุณพ่อยกหูโทรศัพท์ขึ้น
    “หวังซินใช่ไหม ?”
    เสียงในโทรศัพท์ดังมาก เป็นเสียงห้าว ๆ ของผู้ชาย
    “เออ ข้าเอง! ไอ้ดำ มีอะไรก็ว่ามา!”
    “แนะแนะแนะ—อารมณ์บูดเชียวนะเอ็ง กินดินปืนมาเหรอ ?”
    “เอ็งมีธุระอะไรก็ว่ามาสิวะ”
    “ข้าสั่งแอปเปิ้ลฟูจิไว้สามตัน อยากส่งไปให้ถึงชินจุ่นก่อนตรุษจีน เอ็งต้องช่วยวิ่งรถให้ข้าสักรอบนะ”
    “จะตรุษจีนอยู่แล้ว ข้าไม่อยากออกรถ”
    “ไปเถอะน่า เฮียซิน ถือซะว่าช่วยข้าก็แล้วกัน ใบอนุญาตผ่านทางพิเศษของชินจุ่น ข้าเตรียมไว้ให้เอ็งแล้ว”
    “ให้เท่าไหร่ ?”
    “หนึ่งพันเหรียญ”
    “หนึ่งพันข้าไม่รับ เพิ่มอีกพันนึง!”
    “โถโถโถ—พ่อแก้วแม่แก้ว เอ็งอย่าใจดำขนาดนั้นสิวะ ข้าจะกำไรสักเท่าไหร่กัน?”
    “รับมาเหรียญห้าสิบ ขายสามเหรียญห้าสิบ สามตันฟันไปเท่าไหร่ ? เอ็งคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง ? ไม่เห็นแก่ลูกค้าเก่าแก่ เอ็งไม่เอาเสียด้วยซ้ำ”
    “...... ตกลง เพิ่มอีกพันนึง !”
    “เดินทางเมื่อไหร่ ?”
    “บ่าย...”
    คนในโทรศัพท์ยังพูดไม่จบ คุณพ่อ “โครม” วางหูลง หันหน้ามาทางผม :
    “อะไรกัน เอ็งยังไม่ไปอีก ?”
    “พ่อ คุณแม่เขา...”
    “แม่แม่แม่! เอ็งจะไปรู้ห่าอะไร! มันนะเหรออยากกินสับปะรด? มันอยากกินหัวใจของข้าต่างหากเล่า! เรื่องของข้ากับแม่ของเอ็ง เอ็งไม่ต้องยุ่ง”
    “พ่อ!”
    ผมแทบจะคุกเข่าลงไปด้วยซ้ำ แต่หัวเข่าของผมทำอย่างไรก็งอไม่ลง น้ำตากลับร่วงพรูลงมาแทน:
    “พ่อ แม่เป็นมะเร็งตับ หัวยังฟาดพื้นอีก หมอบอกว่าคุณแม่อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พ่อ พ่อกลับบ้านสักเที่ยวเถิดนะ!”
    “ข้าไม่กลับ” คุณพ่อกำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องเพดานห้อง “เอ็งกลับไปบอกแม่เอ็งว่า ข้ามันไม่ใช่คน! ข้ามันสัตว์เดรัจฉาน! ข้าไม่ยิ่งใหญ่เหมือนแม่เอ็ง! แม่เอ็งอยากกินสับปะรดเหรอ ? จะตายอยู่แล้วยังไม่วายจะทรมานข้า ? อย่าหวัง!”
    ผมอดกลั้นความปวดร้าวในใจ เก็บใบประกาศฯ และกระดาษข้อสอบขึ้นมาพับเรียบร้อย ใส่ลงกระเป๋าเสื้อ มือของผม คลำโดนสองเหรียญห้าสิบเซนต์ที่น่าสงสารข้างใน
    แม่จ๋า ลูกซื้อสับปะรดให้แม่ไม่สำเร็จแล้ว!
    แม้แต่เงินค่ารถกลับบ้าน ผมยังไม่มีแล้ว!
    ธนบัตรสิบเหรียญใบนั้น ยังคงแผ่หราอยู่บนพื้นพรม เหมือนกำลังหัวเราะเยาะผม :
    เก็บฉันขึ้นมาสิ ก้มเอวลงเก็บฉันขึ้นมาจากพื้นสิ แล้วเธอก็จะซื้อสับปะรดให้แม่ได้ ยังมีเงินพอสำหรับเป็นค่ารถกลับบ้านอีกด้วย ก้มลงมาสิ เก็บสิ

    ไม่

    ผมสบัดรองเท้าแตะที่เท้าทิ้ง ก้าวฉับฉับออกมาถึงหน้าประตู หันกลับไป ตะโกนใส่คุณพ่ออย่างดุดัน:
    “พ่อไปหาเงินของพ่อเลย พ่อออกรถเมื่อไหร่ ขอให้รถชนตาย!”

    เพี้ยะ!

    กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งโถมเข้ามา ใบหน้าของผมถูกตบอย่างงแรงหนึ่งที รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ร้อนผ่าว ๆ ร่างกายเสียศูนย์ เซไปพิงอยู่หลังประตู
    ผมนึกถึงเมื่อฤดูใบไม้ผลิ—วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมช่วยคุณแม่เก็บมูลสัตว์ในสวนข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวไปแล้ว ลาดำตัวนั้นบังเอิญไม่ต้องลากรถ ผมเดินเข้าไปตบหลังมัน มันสบัดเท้าหลังเตะเข้าที่ใบหน้าของผม ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างเดียวกันกับตอนนี้ : เจ็บแปลบ ๆ ร้อนผ่าว ๆ

    จากคุณ : beer87 - [ 24 ม.ค. 49 00:57:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป