สุดา...เก็บนิ้วก้อยของฉันให้ทีสิ รู้สึกว่ามันจะหล่นแล้วกลิ้งเข้าไปใต้เตียง
เสียงแหบโหยดังออกจากปากแห้งกรังดำคล้ำของชายอายุห้าสิบปีเศษซึ่งนอนนิ่งบนเตียงด้วยอาการคนป่วยหนักและร่างซูบผอมขาวซีดจนเหลือง หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ที่ถูกเรียกหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แค่พักหนึ่งต่อมาก็ก้มลงไปมองใต้เตียง ควานมือหาไปมาครู่หนึ่งแล้วหยิบนิ้วก้อยข้างหนึ่งออกมา
นิ้วนั้นเย็นชืดขาวซีดเหมือนปราศจากเลือดและชีวิต ข้อต่อมีรอยช้ำคล้ายขั้วผลไม้ซึ่งปลิดหล่นจากลำต้นเพราะโรคร้ายและมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ แต่ในความรู้สึกของสุดา รู้สึกเหมือนว่านิ้วนั้นยังขยับตัวไปมาเล็กน้อยราวปลิงตัวเขื่องที่เพิ่งตื่นนอนอย่างเกียจคร้าน ลมกรรโชกเข้ามาทางหน้าต่างทำให้กลิ่นสาบสางกระจายไปทั่วห้อง
มันคงต่อไม่ได้แล้วค่ะ
เธอบอกกับสามีเสียงเรียบๆ สามีกลอกตามามองด้วยแววตาซึ่งอ่านอารมณ์ใดๆไม่ได้ มันดูลึกล้ำยากจะหยั่งคิด แต่สุดาก็แน่ใจว่านั่นเป็นสามีจริงๆ ไม่ใช่โดนวิญญาณร้ายสิงสู่
ไม่ลองอีกสักครั้งเหรอ สุดา... ลองต่อมันดู เผื่อจะต่อได้....
จบประโยคแหบแห้งซึ่งมีแววเย้ยหยันอยู่ในที คนป่วยก็หัวเราะเสียงแหบต่ำในลำคอเหมือนไม่สนใจอะไรมากมายนักกับอวัยวะของร่างกายซึ่งเริ่มเน่าเปื่อยผุผังหลุดร่วงไปทีละชิ้นสองชิ้น ด้วยสาเหตุของโรคประหลาดที่ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร หมอประจำตัวซึ่งมาดูแลเป็นประจำก็ยังบอกรายละเอียดอะไรไม่ได้มากนัก
ตอนนี้นิ้วของเขาหลุดไปทั้งหมดหกนิ้วแล้ว ข้อศอกข้างขวาเวลาขยับก็ให้เสียงแปลกๆ บาดความรู้สึกเหมือนเครื่องจักรปราศจากน้ำมันหล่อลื่น ฝ่ามือส่วนที่เคยมีนิ้วอย่างคนปกติทั่วไป ตอนนี้เหลือเพียงจุดดำช้ำแห้งกรัง และมันคงแทบไม่ต้องตกใจแปลกใจอะไรเลยถ้านิ้วที่เหลือจะบิดหลุดออกมาอีกในวันข้างหน้า
สุดาพยายามต่อนิ้วก้อยข้างนั้นเข้ากับที่ พันด้วยผ้าพันแผลแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางต่อกับมือได้อย่างเก่าอีกแล้ว มือของเธอเริ่มสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
ถ้าจะใช้กาวมันคงทำให้ติดอย่างเก่าได้
เธอเปรยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าประชดประชันหรือจริงใจกันแน่ แต่คนฟังมุมปากกลับกระตุกเผยอรอยยิ้มออกมาราวกับขบขันอะไรสักอย่าง
เธอมีอารมณ์ขันดีนี่ สุดา.....สมกับที่เป็นเมียของฉันจริงๆ
ฉันจะโทรตามคุณหมอให้มาดูอาการนะคะ จะออกไปดูนอกบ้าน พายุทำท่าจะมา
หญิงสาวตัดบท และค่อยๆล่าถอยออกมาจากห้อง ปิดประตูอย่างเงียบงัน พอเดินออกจากหน้าห้องได้ไม่ถึงสามสี่ก้าว หญิงสาวก็โก่งตัวอาเจียนออกมานองพื้นอย่างหมดความอดกลั้น ความอดกลั้นที่ต้องหยิบนิ้วอันน่าขยะแขยงเย็นชืดราวนิ้วคนตาย อดกลั้นต่อกลิ่นเน่าแห้งๆ แปลกๆ ที่โชยออกมาจากร่างของสามี ซึ่งไม่ผิดกับผีตายซาก แห้งกรัง ไม่มีเค้าของหนุ่มใหญ่สูงอายุภูมิฐานอย่างสมัยก่อนเลยสักนิด
แต่สุดาเองก็ไม่เคยสงสัยว่าทำไม เธอจึงยอมอยู่กินกับสามีคนนี้ ไม่แปลกอะไรกับการที่นายจ้างซึ่งอยู่โดดเดี่ยวหลังจากเป็นหม้ายเมียตายมานาน จะมารักสาวใช้หน้าตาค่อนข้างดีอย่างเธอ และมันก็ไม่แปลกอะไรที่พ่อแม่ของเธอจะสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะมรดกมหาศาลของชายชราจะทำให้อยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชาติ
บ้านหลังใหญ่หลังนี้สร้างใหม่หลังจากภรรยาคนก่อนของชายชราเสียชีวิต เขาขายบ้านเก่าจากในเมืองมาปลูกบ้านหลังใหม่ห่างไกลจากผู้คน ราวกับต้องการปลีกตัวออกจากสังคมมนุษย์ แต่ด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมายทำให้ไม่เดือดร้อนอะไร จำนวนคนใช้ก็มากมายหลายคนดูแลบ้านช่องและความเป็นอยู่ จนกระทั่งสี่ปีที่แล้วสุดาคนรับใช้หน้าใหม่มาขอสมัครงาน
บางทีสุดามีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับภรรยาเก่าอย่างประหลาด ทำให้หนุ่มใหญ่ในขณะนั้นพลิกฟื้นจากความไร้ชีวิตชีวา กลับมาสนใจเรื่องของหัวใจของตนอีกครั้ง เขาทุ่มเทค่าสินสอดมหาศาลจนสุดา และพ่อตาแม่ยายไม่อาจปฏิเสธได้ และหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งก็ขยับฐานะจากคนใช้มาเป็นคุณนายประจำบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิ
สามปีเศษๆ ผ่านไป ก็เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ราวกับเมฆดำลางร้ายหลั่งไหลแผ่ซ่านออกมาจากนรกและโลกแห่งความมืดมาปกคลุมอย่างเงียบงันและมุ่งร้าย คนใช้เริ่มทยอยลาออกไปจนปัจจุบันเหลือเพียงสองสามคนกับบ้านกว้างใหญ่อ้างว้างอันเยือกเย็น
++++++++++
สุดาลงมาชั้นล่าง ตรงไปเก็บเสื้อผ้าซึ่งคนใช้ตากไว้หลังบ้าน เธอให้คนใช้ทุกคนพักงานเป็นเวลาสองสามวัน ดังนั้นบ้านจึงเหลือเพียงเธอกับสามีเพียงสองคน ทันใดนั้นหญิงสาวก็รู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปในความรู้สึกอย่างประหลาดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนอีกแล้ว
เธอมองไปทางทิศตะวันตก ท้องฟ้ายามเย็นแดงคล้ำอย่างน่ากลัว ก้อนเมฆสีดำทะมึนก่อตัวขึ้นเหนือแนวไม้อย่างรวดเร็ว และลมเริ่มพัดแรง
แบบนี้หมอคงมาไม่ได้......สุดาบอกกับตัวเอง และความคิดที่จะโทรศัพท์ไปหาหมอก็หายไปจากความคิดและความตั้งใจ
+++++
ลมฝนเริ่มกระหน่ำหลังจากความมืดมาเยือนได้ไม่นานนัก สุดาเตรียมเทียนไขและตะเกียงไว้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเพราะย่านนี้มักมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับเป็นประจำ หลังจากตรวจดูประตูหน้าต่างจนเรียบร้อยหญิงสาวก็กลับขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนสามีนั่นเอง นับตั้งแต่สามีป่วยหนัก เธอก็แยกห้องนอนโดยไม่สนใจต่อคำขอร้องของสามีซึ่งอ้อนวอนให้อยู่เป็นเพื่อน
เธอรับว่ากลัว
โรคร้ายไม่เพียงเปลี่ยนหนุ่มใหญ่ จากคนแข็งแรงกว่าอายุจริง ให้กลับกลายเป็นคนอ่อนแอจนลุกจากเตียงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนคนผู้หนึ่งให้ละม้ายคล้ายผีดิบเข้าไปทุกที
ทำไมถึงไม่ตายไปเสียทีนะ หล่อนเคยคิดอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วน วันคืนหมุนเวียนชำระล้างความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับหนุ่มใหญ่แสนดีที่คอยเอาใจภรรยาสาวจนเป็นที่อิจฉาของคนแถวนั้น ภาพถ่ายแห่งความทรงจำดีๆปลิดปลิวไปตามสายธารแห่งกาลเวลา ขณะที่กิ่งก้านแห่งความชิงชังรังเกียจเริ่มงอกงามขึ้นทีละน้อยและนับวันยิ่งเจริญเติบโตรวดเร็วจนน่ากลัว
ขณะเดินผ่านหน้าห้องสามี สุดาพยายามเดินไปบนพื้นอย่างแผ่วเบาทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากเสียงฝนสาดกระหน่ำจากภายนอกและเสียงลมหวีดหวิวมาตามช่องลมดังกลบเสียงฝีเท้าของเธออยู่แล้ว แต่จิตใต้สำนึกบางอย่างสอนให้ทำเช่นนั้น
ไฟฟ้าบนเพดานสั่นวูบวาบเป็นพักๆ ทำท่าเหมือนจะดับลงได้ทุกเมื่อ หญิงสาวนึกดีใจที่คว้าตะเกียงโบราณมาด้วย มันเป็นตะเกียงเก่าแต่สวยงาม บรรจุน้ำมันก๊าดพอที่จะจุดได้ถึงรุ่งเช้าถ้าจำเป็น
พอเข้าไปในห้องได้ หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก ห้องนอนที่อบอุ่นและปลอดภัย แสงไฟบนเพดานก็สว่างกระจ่าง ห้องนอนที่มีประตูแน่นหนาและหน้าต่างที่..
ปัง........!!!!
สุดาสะดุ้งสุดตัวจนตะเกียงแทบหล่นจากมือ หน้าต่างที่ปิดสนิทถูกลมกรรโชกเปิดออกกระแทกผนังเสียงดังสนั่น ละอองฝนพัดวูบเข้ามาพร้อมกับประกายสีขาวเจิดจ้าด้านนอกหน้าต่างจนตาพร่าและอึดใจต่อมาก็มีเสียงกึกก้องกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่น อสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงใกล้ๆนี้เอง บางทีอาจจะเป็นต้นมะขามริมรั้วหน้าบ้านนี่เอง
ฝนบ้าฝนบอ มันจะมาตกอะไรตอนนี้วะ...
หญิงสาวพอได้สติก็ร้องด่าลมฟ้าอากาศออกไปอย่างเดือดดาล มันทำให้หัวใจแทบจะวายตาย
พอวางตะเกียงบนโต๊ะข้างเตียง เธอก็ค่อยเดินไปยังหน้าต่าง ชะโงกดูหน้าบ้าน นั่นไง. ต้นมะขามมีประกายเหลือพอให้เห็น ฟ้าผ่าลงมาที่ต้นมะขามจริงๆ
อะไรบางอย่างเคลื่อนไหวด้านข้างหางตา หญิงสาวสะดุ้งและหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ เธอเพิ่งสังเกตว่าหน้าต่างห้องข้างๆ เปิดทิ้งไว้เช่นกัน หน้าต่างห้องนอนของสามี แสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ตลอดคืนส่องสว่างออกมาให้เห็นแม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อครู่เหมือนมีอะไรคือใครคนบางกำลังเคลื่อนไหวตัดแสงภายในห้องวูบหนึ่งจนทำให้แสงซึ่งสาดออกมาทางหน้าต่างสั่นไหว
เป็นไปไม่ได้.....สุดาคิดปลอบใจตัวเอง เป็นไปไม่ได้ซึ่งคนป่วยไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นนั่งจะเดินไปเดินมาในห้อง บางทีอาจเป็นเพราะแสงวูบวาบจากฟ้าแลบก็เป็นได้.. ใช่.....มันน่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
แม้จะพยายามนึกไปในทางที่ดี หญิงสาวก็ยังอดจะชะโงกผ่านลมฝนออกไปมองอีกครั้งไม่ได้ ห้องสองห้องหน้าต่างห่างกันแค่นี้เอง คงจะสังเกตเห็นอะไรได้ชัดเจน
ฉับพลัน หญิงสาวก็รู้สึกตัวเย็นเฉียบยิ่งกว่าถูกสายฝนกระหน่ำ เงาวูบวาบนรกเกิดขึ้นอีกแล้ว คราวนี้สังเกตเห็นชัดเจน มีใครหรืออะไรบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านแสงไฟจากหน้าต่างไปมาสองสามครั้ง
อาจเป็นแมลงบินผ่านหลอดไฟ.....นั่นน่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเท่าที่จะนึกได้ในตอนนี้....เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครบางคนเดินไปมาอยู่ในห้องข้างๆ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันคงเป็นยิ่งกว่าฝันร้าย
ในช่วงฝนซาสุดาเงี่ยหูฟังโดยไม่ตั้งใจ ทำใจจิตใจถึงต้องจดจ่ออยู่กับห้องข้างๆ นี่มากมายขนาดนี้....และพอนึกว่าตอนนี้บ้านหลังนี้เหลือเพียงหล่อนกับสามีสยอง ทำให้อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
ไม่...ต้องไม่กลัว เธอพยายามคิด บางอย่างกับลังรออยู่ อีกไม่นาน.........
ฉันเกลียด ....เกลียดบ้านหลังนี้..
สุดาทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรงบนเตียง กลั้นสะอื้นที่กำลังจะประทุออกมาจากภายในความรู้สึก ระยะหลังความรู้สึกเกลียดชังบ้านหลังนี้แบบไม่มีเหตุผลทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที เกลียดห้องนอนอันอับชื้นแม้ว่าจะเปิดหน้าต่างให้แสงแดดผ่านเข้าไปหรือทำความสะอาดอย่างไรก็ตาม เกลียดผนัง เกลียดเสียงแปลกๆ ที่ดังออกมาจากโครงสร้างของบ้านในยามดึก เกลียดคอนกรีตอันเยือกเย็นราวกับเป็นสุสาน เกลียดความทะมึนของบ้านใหญ่ที่ดูราวกับเป็นตึกหรือ ปราสาทของภูตผีปีศาจ เกลียดสภาพโดดเดี่ยวของบ้านซึ่งอยู่ห่างไกลชุนชนจนแทบไม่ได้พูดคุยกับคนภายนอก ทั้งที่ตอนแต่งงานใหม่ๆ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย
อะไรกันที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ทันใดนั้นหูของเธอเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบพื้นดังมาจากห้องข้างๆ ก่อนที่จะถูกกลบด้วยเสียงลมฝนที่เริ่มสาดกระหน่ำมาอีก บานหน้าต่างขยับไหวไปมาราวกับจะหลุดออกมาจากตะขอยึด มองเห็นท้องฟ้าสว่างจ้าจนแสบตาและเสียงครวญครางกระหึ่มอันทรงพลานุภาพของฝนฟ้าพายุ
+++++
แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 49 20:24:33
แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 49 18:34:04
จากคุณ :
Psycho man
- [
24 ม.ค. 49 18:23:54
]