ครึ่งตอนก่อน แล้วลงต่อวันเสาร์
ตะวันยามเช้าที่เคยสุกใส เวลานี้ถูกบดบังด้วยเมฆหมอก จนบังเกิดเป็นสีเหลืองซีดๆ ดูหม่นหมอง และหดหู่ ฉงซิ่งในยามนี้ก็เช่นเดียวกัน เมืองที่เคยคับคั่งไปด้วยผู้คนแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสกัด ผู้คนต่างหวาดกลัวโจรร้าย หากมิใช่อพยพไปต่างเมือง ก็หลบหนีเข้าป่า มีเพียงชาวบ้านส่วนน้อยเพียงสามส่วนที่มิทันได้หลบหนี ถูกกักอยู่ภายในเมือง
ซึ่งพวกโจรปิดประตูเมืองเตรียมใช้คนเหล่านี้เป็นตัวประกันต่อรองกับทางการ หากมีเหตุจะต้องต่อสู้กัน ซ่งปังแสดงออกถึงความสามารถในการบัญชาการกองกำลังอันยอดเยี่ยม โดยแบ่งกองกำลังภายใต้การนำของมันเป็นสองส่วน กองกำลังจำนวนหนึ่งร้อยเฝ้าคุมตัวเมืองฉงซิ่งดำเนินการปิดล้อม เฝ้าประตูเมืองทั้งหมด และอาศัยกองกำลังส่วนหนึ่งเฝ้าคมชาวบ้านภายใน รวมถึงอาศัยคนจำนวนสิบกว่าคนคอยลาดตระเวณภายในเมือง
ส่วนกำลังส่วนใหญ่อีกจำนวนเกือบสามร้อยคนกลับมุ่งหน้ากลับรังเก่าที่หูเป่ย พวกมันนำกำลังกลับไปเพื่อการใด?
นั่นก็เพราะซ่งปังคาดเดาว่าวันที่สถาปนาฉิกจับอิดนั้น ต้องมีการสอดมือเข้ามาเกี่ยวข้องของหอห้ากระบี่ และทางการ ซ่งปังเมื่อเชี่ยวชาญทางน้ำ และพวกมันเมื่อขนานนามว่า "มัจฉาแห่งแยงซี" ยังจะมีสถานที่ใดที่ทำให้กองกำลังของคนผู้นี้เปล่งแสนยานุภาพได้เท่ากับ แม่น้ำแยงซีเกียง ดังนั้นมันตั้งใจว่าจะจัดงานสถาปนาฮั่นตงขึ้นเป็นหัวหน้าฉิกจับอิดบนลำน้ำแยงซีนั่นเอง!!!!
อาศัยเรือรบขนาดใหญ่นับสิบลำ เรือขนาดกลางและเล็กอีกร่วมร้อย ต่อให้หอห้ากระบี่ และทางการยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน ก็ยังมิอาจต่อกรกับกองเรือของพวกมัน วิธีการนี้เยี่ยมยอดนัก กลับมิกลัวว่าผู้ใดจะมาก่อกวน เพราะแขกที่จะมาร่วมงานต่างต้องถูกนำตัวลงอยู่บนเรือเหล่านั้น ถึงตอนนั้นหากพวกมันเพลี่ยงพล้ำยังสามารถจมเรือ เมื่อนั้นนอกจากพวกมันที่เชี่ยวชาญทางน้ำแล้ว กลางลำน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ยากนักที่จะมีผู้ใดรอดชีวิต!!!! ส่วนพวกมันเพียงสูญเสียกองเรืออันยิ่งใหญ่ กำลังคนยังสามารถหนีรอดไปได้ วิธีนี้แม้จะกระทบกับฐานกำลังหลักของมัน แต่หากสามารถกำจัดพวกเสี้ยนหนาม และทางการ ยังนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
.................
.................................
เขาคุนหลุนซาน ยังทอดตัวราวกับมังกรที่หลับใหล โอบล้อมด้วยดินแดนโขดหินแห้งแล้ง และทะเลทรายเวิ้งว้าง รอบข้างมีแต่ไอร้อนระอุคุกรุ่น แมงป่องตัวหนึ่งหยุดนิ่งอยู่กลางเปลวแดด จริงอยู่ที่มันเป็นสัตว์ที่มีเปลือกแข็ง เพื่อช่วยให้รักษาการสูญเสียน้ำ ทว่ามันก็ไม่นิยมออกมายืนอยู่กลางเปลวแดดร้อนแรงเฉกเช่นนี้ เพราะอย่างไรก็ไม่ผลดีต่อมัน แมงป่องขยับเคลื่อนไหวโลดแล่นไปยังโขดหินใหญ่ อาศัยร่มเงาของโขดหินเป็นที่พักพิง จะมนุษย์หรือสัตว์ก็ล้วนแล้วแต่รักชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น ทว่าคนผู้หนึ่งแตกต่างออกไป
หวงอี้เฟยเมื่อถูกหลี่เทียนเล้งทำลายก็เดินทางร่อนเร่อยู่บริเวณป่าละเมาะริมเชิงเขา สภาพของชายหนุ่มเวลานี้ เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง กายเจ็บ ใจช้ำ ไม่ทราบจะไปที่แห่งใด มันในเวลานี้ กระทั่งเป้าหมายในชีวิตก็มิหลงเหลือ ดังนั้นทอดร่างอยู่บนพื้นดิน ให้เปลวแดดอันร้อนลวกราวกับเตาถ่านเผาไหม้ร่างกาย
หวงอี้เฟยนั้นแม้ร่างของมันยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทว่าจิตใจของมันกำลังล่องลอยไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มันกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด มันกำลังนึกถึงคราที่มันเป็นเด็กน้อย สิบกว่าปีก่อนได้พบกับตั๋วล่ายสุกเป็นคราแรก มันยังจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์วัยประมาณสามสิบกว่าปี ร่างสูงใหญ่กำยำ คนผู้นี้มีพลังฝีมือสูงส่งมาแต่ดั้งเดิม ตามกฎของสำนักทั่วไปแล้ว ผู้ที่เข้าสังกัดสำนักต้องถูกทำลายพลังฝีมือที่ติดตัวมาจนหมดสิ้น แล้วจึงเริ่มฝึกขั้นพื้นฐานของสำนักแต่แรกเริ่ม
ทว่าสำหรับคุนหลุนในเวลานั้นซึ่งต้องตกเป็นเบี้ยล่างของบู๊ตึ๊งมาโดยตลอด ท่านเจ้าสำนักกลับมิถือสาข้อปฏิบัติบู๊ลิ้มที่สำนักทั่วไปยึดถือ กลับรับตั๋วล่ายสุกเข้าสู่สำนักโดยที่ยังมีพลังฝีมือดั้งเดิมติดตัวมา ทั้งยังแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสในพรรค ถ่ายทอดวิชาของคุนหลุนให้แก่อีกฝ่าย
เวลานั้นหวงอี้เฟยพึ่งอายุได้สิบสองปี ได้ถูกมอบหมายให้ดูแลผู้อาวุโสตั๋ว และมันก็เป็นลูกศิษย์คนแรกของอีกฝ่าย!!! ตั้งแต่นั้นมันก็ติดตามคนผู้นั้น และร่ำเรียนวิชาฝีมือกับอีกฝ่าย ตั๋วล่ายสุกเมื่อร่ำเรียนวิชาฝีมือมาก่อน หรือเพราะว่าเป็นอัจฉริยะบุรุษมาแต่กาลก่อน ดังนั้นฝึกฝนวิชาคุนหลุนเพียงไม่นานก็แตกฉานถึงชั้นสูง หนำซ้ำยังสามารถคิดค้นวิชาฝีมือร้ายกาจอันได้แก่ สิบเจ็ดฝ่ามือใจเปลี่ยนแปลงมิสิ้นสูญ
ตั้งแต่นั้นตั๋วล่ายสุกก็ถ่ายทอดวิชาฝีมือดังกล่าวให้แก่มัน หวงอี้เฟยเฝ้าฝึกฝนวิชาดังกล่าว ทั้งยังร่ำเรียนจนถึงขั้นแยกจิตใจเป็นสองฝั่ง มือซ้ายใช้ออกด้วยวิชากระบี มือขวาสามารถใช้พลังฝีมือ ในที่สุดฝึกฝนสิบกว่าปีจนเชี่ยวชาญแตกฉาน บางคราก็เปลี่ยนเป็นมือขวาใช้กระบี่ มือซ้ายก็ใช้ฝ่ามือทดแทนกัน
ชายหนุ่มใช้ชีวิตกับอาจารย์อยู่สิบกว่าปีทำให้ซาบซึ้งถึงนิสัย และความนึกคิดของอีกฝ่ายอย่างเด่นชัด
ดังนั้นแต่แรกเริ่มเขาก็ทราบดีว่าตั๋วล่ายสุกเป็นฝ่ายอธรรม เพียงแต่ตนเองในเวลานั้นกลับรู้สึกแต่เพียงว่า ขอให้ได้เห็นสำนักคุนหลุน ซึ่งแต่อดีตมามิเคยมีชื่อเสียงบารมีปรากฏชื่อเสียงทัดเทียมเส้าหลิน บู๊ตึ้ง คล้ายรากฐานคัมภีร์กำลังภายในนั้นลึกตื้นผิดกันแต่ปฐม
ในสายตาเขาแต่สำนักชั้นเลวเยี่ยงพรรคกระยาจกในยามนี้ ก็ยังเคยมีวันเวลาอันรุ่งเรืองเป็นถึงเจ้ายุทธจักร หวงอี้เฟยคิดด้วยความริษยา ตัวมันเฝ้ายอยากให้คุนหลุนมีเวลาที่เจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นนั้นบ้าง ...มันมีความคิดว่า "แมวสีใดก็มิสำคัญ ขอให้จับหนูได้เหมือนกันก็เพียงพอแล้ว!"
สิบกว่าปีผ่านไป หวงอี้เฟยเริ่มเห็นสภาพความรุ่งเรืองของคุนหลุนเป็นรูปเป็นร่าง นับวันบู๊ตึ๊ง เส้าหลินเทียนซานจะเสื่อมโทรมลง เวลาของคุนหลุนภายใต้การนำของตั๋วล่ายสุก ซึ่งกลายเป็นเจ้าสำนักในเวลาต่อมาเพียงแค่ผ่านมาห้าปีเศษเท่านั้น แต่แล้วการกำเนิดมาของฉิกจับอิดซึ่งก็มีเพียงอายุสิบกว่าปีเฉกเช่นช่วงเวลาการปรากฎตัวของตั๋วล่ายสุกนั้น ก็พลันกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ขวางทางยิ่งใหญ่ของคุนหลุน!!!
และสุดท้ายหวงอี้เฟยก็รับทราบว่า สำนักคุนหลุน และตัวมันเป็นเพียงหมากที่ถูกปล่อยทิ้งให้ตาย เพื่อเซ่นสังเวยเส้นทางการล้างแค้นของหลี่เทียนเล้ง!!!! ซึ่งคนผู้นี้มิใช่ใครอื่นก็คือเจ้าสำนักคุนหลุน ตั๋วล่ายสุก ผู้เป็นอาจารย์ที่มันเคารพนับถือนั่นเอง! แต่กว่าจะรู้คุนหลุนทั้งสำนักก็ถูกทรยศหักหลัง ศิษย์พี่น้องตกตายเกือบหมดสิ้น จนอยู่ในสภาพเดียวกับ หันซาน บู๊ตึ้ง ส่วนเส้าหลินแม้ยังพอเหลือรากฐานเพราะอยู่ไกล และมิได้เป็นสนามรบระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่การสูญเสียเจ้าอาวาสย่อมทำให้วิชาโดยรวมถอยหลังลงอย่างน้อยยี่สิบปีแน่นอน!!!
ยังมีสำนักใหญ่น้อยอื่นๆ ในยุทธจักรที่ล่มสลายไปในศึกฉิกจับอิดก็มาก ที่ถูกเฮียงเน้ยทำลายกลืนกินก็เยอะ กล่าวได้ว่าไม่เคยมีหายนะใหญ่หลวงระดับนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาวบู๊ลิ้มมาก่อน
ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแผนการของหลิวหยงเคอและหลี่เทียนเล้งที่จัดตั้งคนอย่างจื่ออิงขึ้นรั้งผู้นำหอห้ากระบี่ และปลุกปั่นให้ฆ่าฟันกับฉิกจับอิด หวงอี้เฟยแค้นใจที่ตัวเองยอมร่วมทำแผนนั้นด้วย เพราะหวังว่าจะอาศัยโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายสูญเสีย ฉวยโอกาสนำพาคุนหลุน ทะยานขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพ แต่นั่นก็เป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง และเป็นตราบาปที่มันไม่อาจไถ่ถอนจนวันตาย!!!
ข้างหน้ายุทธภพคงเหลือแต่เฮียงเน้ย... คิดเช่นนี้ก็น่าสลดสมเพชนัก
จากคุณ :
มันตั้ม(น้องมันตรัย)
- [
26 ม.ค. 49 21:44:20
]