ตั้งแต่ผมจำความได้ สิ่งที่รับรู้อยู่คู่กับครอบครัวเรามาตลอดคือพ่อไม่สบาย จนถึงเดี๋ยวนี้ผมอายุ29 ปีแล้ว คุณคิดดูว่านานขนาดไหนกับคนๆ หนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคภัยรุ้มเร้ามาตลอดในช่วง20 กว่าปีที่ผ่านมา จากจุดเล็กๆ เพียงนิดเดียวโดยแท้
เหตุที่พ่อได้ป่วย เพราะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทำงาน สมัยนั้นครอบครัวเราและคนอื่นๆ ตามบ้านนอกต่างก็ทำนาเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก แม่เล่าให้ผมฟังด้วยความชื่นชมว่าสมัยนั้นพ่อเป็นคนหนุ่มที่แข็งแรง ยอมทำงานโดยไม่รู้จักกับคำว่าเหน็ดเหนื่อยเพื่อครอบครัว เพื่อนบ้านบอกเสมอว่าไม่อย่างนั้นพ่อคงเลี้ยงพวกเราห้าคนพี่น้องไม่ได้หรอก
เมื่อยี่สิบปีที่แล้วควายเหล็กเริ่มเข้ามาแทนที่ควายสี่ขาตามท้องนา มันเป็นอุปกรณ์ทำนาที่ทันสมัย ใครที่มีฐานะหน่อยก็ซื้อไว้ใช้งาน พ่อผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนนี้เอง แม่บอกว่าเพราะพ่อเป็นคนเกรงใจคน มีญาติมาขอร้องให้ไปช่วยไถนาให้ หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ ก็มิได้ขัด ครั้งนี้ก็เช่นกัน พ่อไปทั้งที่ตัวพ่อเองไม่สบายอยู่ สมัยนั้นก็คงเป็นไข้หวัดอะไรประมาณนี้ล่ะ แต่หยูกยามันไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้ จะได้ทานยาแก้ปวดแล้วนอนพักสักประเดี๋ยวประด่าวแล้วหายทันควัน
พ่อฝืนตัวเองไปช่วยเขา แม่บอกว่าวันนั้นใกล้ค่ำเข้าไปทุกที บรรยากาศโพล้เพล้หลังจากตะวันรอนลับยอดเขา ความสว่างเริ่มมัวซัวเข้าไปทุกขณะ นกกาสยายปีกพรึบพรับกลับรังนอน แต่ผืนนายังอีกแปลงที่ยังไม่ได้ไถ พ่อเลยเร่งจะให้เสร็จ คิดว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาอีก และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อไม่สบายมาตั้งแต่นั้น
แม่บอกว่าระหว่างที่ไถนาอยู่นั้น ควายเหล็กเกิดไปตกหลุมลึกโดยที่พ่อไม่ทันระวังตัว อาจเป็นเพราะความมืดเป็นปัจจัยหลักด้วยส่วนหนึ่ง ด้ามคันบังคับที่พ่อถืออยู่เกิดกระตุกขึ้นเพราะล้อด้านซ้ายตกหลุมลึกกะทันหัน ทำให้รถเสียการทรงตัว ด้ามเหล็กหรือคันบังคับตีเสยเข้าปลายคางพ่ออย่างจัง
แม่บอกว่าพ่อล้มลงทั้งยืน จากนั้นก็สลบเหมือนมวยโดนน็อกกลางอากาศร่อนถลาลงไปนอนแผ่หลาหงายหน้ามองแผ่นฟ้าทั้งที่ตัวเองหมดสติไปตั้งนานแล้ว เป็นครั้งแรกที่แม่บอกว่าเห็นพ่อเสียท่าให้กับการทำงาน
เล่ามาถึงตอนนี้น้ำเสียงแม่ชักเครือ ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ทั้งหมดแต่ผมรู้ว่าแม่ร้องไห้ แต่พยายามไม่ไห้ลูกๆ เห็น
ตอนนั้นไม่มีใครคิดหรอกครับว่า จะเกิดผลต่อเนื่องมาอีกยี่สิบกว่าปีให้หลัง ต่างก็คิดว่า พอฟื้นขึ้นมาก็คงหายเป็นปกติ
จริงครับ ไม่นานหลังจากส่งโรงพยาบาลพ่อก็ฟื้นอย่างที่เพื่อนบ้านหลายคนที่ไปเยี่ยมว่าไว้จริงๆ
แต่อนิจจา คุณเชื่อไหมครับว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ มันเกิดผลข้างเคียงตามมาหลังจากนั้น ทั้งที่ไม่มีไข้ ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์นี่ล่ะ พ่อกลับบ้านได้ตามปกติ แต่ลักษณะการเดินของพ่อเปลี่ยนไป มันไม่คล่องตัวเหมือนเมื่อก่อน ตอนนั้นพ่อเองก็รู้ตัวเลยพยายามไปหาหมอเก่งๆ รักษาทั้งโรงพยาบาลใกล้ไกลไปหมด ที่ไหนเขาแนะว่าดีพ่อไปแทบทุกแห่ง แต่คุณครับ มันไม่หาย
ผมลืมบอกคุณไปว่า ผลข้างเคียงที่ว่าคือ เส้นประสาททางด้านซีกซ้ายไปทับกระดูก ผลคือทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก ตอนนั้นผมรู้เท่านี้จริงๆ อีกอย่างที่ผมลืมบอกคุณไปคือ ครอบครัวเราสมัยนั้นเรียกได้ว่าพอมีอันจะกิน เพราะความขยันของพ่อนั่นเอง พ่อเป็นนักเลงวัวชน พ่อมีวัวดีอยู่หลายตัว ชนชนะติดต่อกันหลายสิบหัว จนราคาค่าตัวเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ มีคนมาขอซื้อมากมาย แต่พ่อไม่ยอมขายเพราะใจรักเป็นทุนเดิม แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ต้องเสียวัวตัวรักไปอยู่ดี เพราะยิ่งพ่อไม่ขายเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนมาขอซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีคนแปลกหน้าแวะเวียนมาที่บ้านแทบทุกวัน จนพ่อต้องตัดสินใจขายเพื่อตัดปัญหา ก็สมัยนั้นน่ะ โจรชุมยิ่งกว่าอะไรดี ข่าวลักขโมยวัวควายชาวบ้านมีอยู่เป็นประจำ พ่อเลยไม่เสี่ยงเก็บของดีไว้กับตัว
ตั้งแต่นั้น พ่อเลยไม่เลี้ยงวัวชนอีก กลัวว่าหากเลี้ยงแล้วชนชนะ เกิดเสียดายเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องขายเหมือนที่ผ่านมา พ่อเลยยึดอาชีพเป็นพ่อค้าคนกลางแทน ซื้อมาขายไป ย่อมสร้างกำไรมากกว่า นี่ล่ะครับพ่อผม ทุกครั้งที่ได้ยินเพื่อนบ้านเล่าให้ฟังหรือแม่เล่าให้ฟังก็ดี ผมเป็นลูกมีหรือจะไม่ภูมิใจ
แต่นั่นมันก่อนที่พ่อจะป่วย !
เงินทองที่มีเหลือเก็บ ใช้จ่ายไม่ขัดสน เริ่มร่อยหรอลงไปกับค่ายา ค่าหมอ ในเมื่อยาแผนปัจจุบันพึ่งไม่ได้ ก็ตามประสาคนบ้านนอกที่เชื่อทางไสยศาตร์ อาจารย์ที่ไหนดี มีคนแนะนำมาไม่ได้ขาด แต่มันก็เหมือนเดิมล่ะครับ
สิบปีล่วงผ่าน จนพ่อเริ่มท้อ ทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวทำไม่ได้ เงินเก็บก็หมด แต่ลูกๆ ยังต้องกินต้องใช้ ต่างก็อยู่ในวันเรียนกันทั้งนั้น ช่วงนั้นครอบครัวเราลำบากมาก
แล้ววันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น พี่สาวออกจากโรงเรียนเพียงแค่มัธยมต้น เพื่อทำงานหาใช้จ่ายในครอบครัว แต่คุณครับคิดดู ผู้หญิงตัวคนเดียวต้องแบกภาระหนักเลี้ยงคนหลายชีวิตในครอบครัว มันหนักขนาดไหน สี่ปีหลังจากนั้น พี่ชายคนรองต้องหยุดเรียนด้วยอีกคน ทั้งที่พ่อหวังอย่างมากกับพี่ชายคนนี้ เพราะพี่เป็นคนเรียนหนังสือดี พ่ออยากให้เรียนสูงๆ แต่เมื่อมันไม่ได้อย่างที่ใจหวังพ่อก็ยอมทำใจ
เมื่อเป็นอย่างนั้น ความหวังทั้งหมดตกมาอยู่ที่ตัวผมอย่างไม่มีทางเลี่ยง เมื่อพี่ชายคนที่สามไม่ยอมเรียนหนังสือต่ออีกคน ตั้งแต่นั้นผมกับน้องชายคนสุดท้องจึงเป็นความหวังของครอบครัว รับภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่า มีความหวังของครอบครัวคอยจี้หลังอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าน้ำหนักจะมาทางผมมากกว่า
ระหว่างนั้นคำสอนของพ่อกับความลำบากของครอบครัว เป็นสิ่งที่อยู่ในใจผมมาตลอด มันเป็นคำย้ำเตือนให้ผมไม่ออกนอกลู่นอกทาง ทั้งที่ตอนนั้นผมย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว อาจเป็นเพราะผมมักคิดถึงพ่อที่ป่วย มีแม่คอยดูแลอยู่เสมอ คิดถึงพี่ทั้งสามที่ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อเสียสละให้ผมกับน้องได้เรียนหนังสือ มันเป็นแรงกระตุ้น แรงผลักดันให้ผมเรียนจบปริญญาตรีจนได้ ในขณะที่พ่อเริ่มเจ็บหนักขึ้นทุกวัน
ถึงแม้ว่าวันที่ผมสำเร็จการศึกษา พ่อไม่สามารถเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับผม แต่ผมก็เข้าใจดีว่าท่านคงรอดูภาพถ่ายอยู่ทางบ้าน พร้อมๆ กันนั้นท่านคงคุยให้เพื่อนบ้านฟังมิหยุดหย่อนกับใบประกาศนียบัตรมาแปะไว้ข้างฝาตามความเชื่อคนคนสมัยก่อน มันเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อและแม่
ตั้งแต่เรียนจบผมเองก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก เพราะต้องทำงาน แต่รู้มาตลอดว่าพ่อเจ็บหนักเข้าทุกวัน จากที่เคยเดินได้ถึงแม้จะไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อนแต่ยังไปไหนมาไหนได้สบาย ถึงตอนนี้พ่อเริ่มเดินไม่ได้แล้ว
ความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวเรามาเกิดขึ้นเอาเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง ตรงเท้าด้านขวาตรงตาตุ่มเริ่มเป็นแผล เพราะพ่อใช้เวลานั่งแล้วก็นอนมากขึ้น หลังจากเข้าห้องผ่าตัด แผลได้ขยายวงกว้างขึ้นจนมาถึงเข่า
วันปีใหม่เมื่อปีก่อน ผมกลับบ้านไปเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลเพราะหยุดงานหลายวัน ครั้งแรกที่ผมเห็นท่านนอนอยู่บนเตียง ขาด้านซ้ายมีผ้าพันแผลขาวโพลนไปทั้งขา ผมรู้สึกใจหายอย่างไรพิกล จากครั้งหนึ่งพ่อเป็นคนแข็งแรง ร่างกายบึกบึน เป็นไม้ใหญ่ให้พวกเราพี่น้องได้อาศัย ภาพที่พ่อเอาผมขึ้นขี้หลังพาไปเที่ยวไหนต่อไหน หรือกระเตงผมไปทำงานนั้นเป็นเพียงภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในความทรงจำผมมาจนทุกวันนี้
ครั้งหนึ่งพ่อเคยดุผม เป็นอีกเรื่องที่ผมจำได้ไม่เคยลืม วันนั้นพ่อใช้ให้ผมไปรับแม่ที่ไปหาผักริมคลอง คือแท้จริงแล้วให้ไปดูว่าทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน เพราะตอนนั้นก็มืดมากแล้ว ผมอิดออดหลังจากพ่อสั่ง จะปฏิเสธก็ไม่กล้า พวกเราต่างรู้ดีว่าพ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด เป็นคนเงียบขรึม จึงเป็นที่เกรงกลัวในพวกเราห้าคนพี่น้อง คำสั่งก็คือคำสั่งต้องทำตาม
ทำไมยังไม่ตามแม่อีก? พ่อถามเสียงดุ เมื่อเห็นว่าผมยังเดินวุ่นด้วยความอึดอัดใจ ไม่อยากจะขัดคำสั่งพ่อหรอกนะ แต่ว่ามัน
มันมืดแล้วนะครับพ่อ ผมบอกไปในที่สุด
เพียงเท่านี้พ่อก็อ่านความคิดของผมได้ตลอด เลยสอนแกมดุผมว่า คนเรานั้นกลัวไปเอง ผีไม่มีหรอก เราต้องฝึกใจให้เข้มแข็ง เป็นผู้ชายมากลัวอะไรกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ พ่อถามอีกว่าเคยเห็นไหม ผมสั่นหัวปฏิเสธ แล้วก็บอกเหมือนเป็นเรื่องง่ายว่าแล้วจะไปกลัวทำไม
ผมเดินท่องไปตลอดทางว่า อย่ากลัว เราคิดไปเองต่างหาก ถึงแม้จะเคยวิ่งหนีแบบไม่เหลียวหลังทุกครั้งที่เดินผ่านกอไผ่สีสุกที่รกครึ้มไปด้วยเถาวัลย์หลากชนิดระหว่างทางผ่านไปริมคลองมาแล้วก็ตาม ครั้งนี้อาจจะต่างกับครั้งก่อนๆ เพราะผมไม่ได้วิ่งอีก ทว่าคุณครับ แข้งขาผมสั่นเป็นลูกนกตกน้ำไปโดยปริยายเมื่อเดินมาถึงกอไผ่ เหลียวซ้ายขวาด้วยใจระทึก แต่ละก้าวที่ย่างไปข้างหน้ามันช้าเหมือนลูกเหล็กหนักเป็นตันมาถ่วงอยู่ข้างหลัง
ถ้อยคำกับคำบอกเล่าเข้ามาในสมองผมราวกับระลอกคลื่นซัดหาฝั่งว่าบริเวณแถบนี้เคยมีคนตาย บ่อยครั้งที่มีคนได้ยินเสียงแปลกประหลาดยามค่ำคืน
ผลกลัวจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก ใจเต้นระส่ำปากนั้นก็พร่ำท่อง นะโมตัสสะๆ อะระหังสัมมาฯ ไปตลอดทาง
อาจเป็นเพราะคำปลุกปลอบใจของพ่อหรือว่าความเข้มแข็งของตัวเองก็ไม่ทราบได้ นับตั้งแต่นั้นผมก็ไม่กลัวความมืดอีกเลย เพราะคืนนั้นมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่มีเสียงอะไรดังสักอย่างมาให้จิตไม่ว่างของผมได้สะดุ้ง ผมเลยมานั่งคิดว่า คนเรานั้น จิตใจ เป็นเรื่องสำคัญ ลองว่าใจไม่สู้เสียแล้ว อุปสรรคเท่าปลายเข็มมาขวางกั้นก็ผ่านไปไม่ได้อยู่ดี
อีกครั้งหนึ่งเมื่อสมัยผมเรียนมัธยมต้น ยาย หรือว่า แม่เฒ่า ตามคำเรียกของแถบบ้านผม จากไปอย่างสงบด้วยโรคชรา ตอนนั้นผมจำได้ว่าน้ำตาซึม ไม่ถึงกับร้องไห้สะอึกสะเอื้อนหรอกนะ เสียใจที่ท่านจากไป และตัวเองรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูแลท่านเมื่อตอนยังอยู่ แม่เฒ่ามักเรียกผมเสมอให้ไปหาหมาก หาพลูมาให้ส่วนผมนั้นก็มักเลี่ยงเสมอเช่นกัน คุณคิดดู หลังจากเลิกเรียนกลับมาบ้าน ผมก็อยากไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่มาคอยกันหน้าสลอน หรือไม่ก็ต้องคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำให้ ตอนนั้นผมทำไปเพราะขัดคำสั่งพ่อไม่ได้ ทำแบบไม่เต็มใจคุณคงคิดออกว่าคนแก่วัย70 กว่าจะเคี้ยวข้าวทันอย่างไรกับความรีบเร่งของผม
มันเป็นความรู้สึกว่า บาป หลังจากเสียท่านไป ผมซึมไปหลายวันจนพ่อต้องเรียกเข้าไปคุย เมื่อท่านรู้เรื่องทั้งหมดเลยสอนผมว่า ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก แต่เมื่อรู้แล้วอย่าทำอีก พ่อยังสอนผมอีกว่าไม่ต้องเศร้าไปหรอก ท่านไปสบายแล้ว คนเราก็เปรียบเหมือนใบไม้ หลังจากเติบโตแตกหน่อทำหน้าที่ปรุงอาหารให้กับต้นไม้แล้ว ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบแล้ว ถึงเวลามันก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา พ่อก็เป็นใบไม้ ลูกก็เป็นใบไม้ คนเราทุกคนต่างเป็นใบไม้ มีโลกอันกว้างใหญ่เหมือนต้นไม้ใหญ่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ก็แล้วกัน!
ผมต้องตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อมือใหญ่ของพ่อลูบลงบนศีรษะ ท่านพยายามเค้นเสียงออกมาเป็นคำพูดว่า ไม่ต้องนั่งเฝ้าพ่อหรอก ลงไปนอนได้แล้ว พ่อไม่ได้เป็นอะไร
ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ทำตามแต่โดยดี ลงไปนอนใต้เตียงคนไข้ คุณคงนึกออกว่าสภาพเป็นเช่นไรสำหรับห้องพักคนไข้รวม บรรดาญาติที่ไปเฝ้าจะนอนกันใต้เตียงแบบนี้เสมอ ปล่อยให้พี่ชายนั่งเฝ้าไข้แทน
เป็นอันว่าปีนั้น ผมนั่งมองคนอื่นเขาฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุข ในขณะที่ผมและพี่นั่งมองพ่อที่หลับไปด้วยฤทธิ์ยา แต่ผมคิดว่าพี่กับผมคงคิดเหมือนๆ กัน ในเวลานั้น ถึงจะไปร้องรำทำเพลงก็ใช่ว่าจะมีความสุข
จากคุณ :
อนงค์นาง
- [
27 ม.ค. 49 13:59:21
]