พอดีว่าเพิ่งกลับมาจากcommed (community medicine = เวชศาสตร์ชุมชน) เลยมีเรื่องเล่าเยอะแยะที่อยากจะถ่ายทอดให้หลายๆคนได้ฟังกัน
ตอนแรกที่รู้ว่าจะต้องไปคอมเมดที่ระยอง เด็กเพี้ยน (จากฉบับที่แล้ว) ก็จินตนาการต่างๆนานาเกี่ยวกับบ้านที่ต้องไปอาศัยอยู่กับชาวบ้าน (ไปอยู่กับfamily แบบให้สัมผัสถึงชาวบ้าน) ว่าคงเป็นบ้านไม้ที่อยู่ติดๆกันในชุมชนแน่ๆเลย หากทว่าพอไปถึงก็ถึงกับอึ้ง ตกใจช็อคแทบสิ้นสติ ก็บ้านในชุมชนที่ว่าเล่นอยู่กันกลางป่าเลยทีเดียว (ในมุมมองของเด็กเพี้ยน) มีบ้านไม้แบบยกใต้ถุน ซึ่งอาณาบริเวณรอบๆเป็นต้นไม้คล้ายๆกับป่า บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างไกลกันมากๆ ประมาณว่ามองไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นไม้ (เด็กเพี้ยนคิดว่านี่มันป่าชัดๆ) แล้วเด็กเพี้ยนคนนี้ที่เป็นคนเมืองแต่กำเนิด อยู่ดีกินดี ไม่เคยตกระกำลำบาก ก็ต้องมาอาศัยอยู่ในละแวกชุมชนนี้เป็นเวลา 4 คืนด้วยกัน
อาหารมื้อแรกนั้นจำได้ว่าเป็นผักกับน้ำพริก และแกงจืดหมูสับ เด็กเพี้ยนคนนี้ก็เป็นกินเผ็ดเก่งซะที่ไหน แถมหมูสับก็ประมาณว่าหมูปนมัน ซึ่งอีกแล้ว เด็กเพี้ยนคนนี้ก็ไม่ชอบกินมันๆ แล้วอาหารมื้อนั้นเด็กเพี้ยนจะกินอะไรหล่ะเนี่ย (กินผักกับข้าวเท่านั้น T^T) ตอนนั้นคิดว่ากลับบ้านผอมแน่ๆ กินแต่ข้าวกับผัก เด็กเพี้ยนจะมีชีวิตรอดถึงกลับบ้านมั้ยเนี่ย แต่พอ family รู้ว่าเด็กเพี้ยนกินเผ็ดไม่ได้ family เลยหาอาหารที่ไม่เผ็ดมาให้แทนหลังจากมื้อนั้น ( ตอนนั้นประทับใจชาวบ้านมากๆ เพราะว่าปกติคนที่นี่จะกินเผ็ดมากๆ แต่ดันมาเจอเด็กเรื่องมาก เลยต้องหาอาหารพิเศษมาให้ ) เด็กเพี้ยนคนนี้เลยอดลดความอ้วนอย่างที่คาดการณ์ไว้แต่แรก
พอวันที่ต้องลงพื้นที่สำรวจชุมชน ชาวบ้านก็หาจักรยานมาให้กลุ่มนักศึกษาแพทย์ได้ใช้ในการเดินทางไปสำรวจตามบ้าน ซึ่งเด็กเพี้ยนก็เป็นคนที่มากความสามารถอีกแล้ว ขี่จักรยานเป็นซะไหนกัน แต่ว่าด้วยความเกรงใจเพื่อนที่แสนน่ารัก ที่ให้เด็กเพี้ยนซ้อนหลังได้ หากทว่าถนนขรุขระ ขี่จักรยานยากมากๆ เด็กเพี้ยนเลยเกรงใจ พยายามขี่จักรยานที่ถนัดมากๆ (ซะที่ไหน) ไปให้ทันเพื่อนๆ จนได้หลายแผลอยู่ ตอนแรกก็ขี่ไม่ค่อยเป็น ขี่ไปอย่างช้าๆไปตามบ้าน แต่แล้วบ้านในละแวกนั้นล้วนเลี้ยงสุนัขไม่ต่ำกว่า 2 ตัว แถมขึ้นชื่อว่าดุสุดๆ (อันนี้คอนเฟริ์ม) ตอนที่ขี่ผ่านไปแต่ละบ้าน คุณสุนัขที่น่ารักของเราก็วิ่งตะเพิดเห่าไล่ แถมแยกเขี้ยวโชว์สุขภาพฟันให้ดูอีกต่างหาก ด้วยเหตุฉะนี้ เด็กเพี้ยนจึงค้นพบพรสวรรค์อีกอย่างว่า เวลาเจอสุนัขนับฝูงวิ่งไล่ปุ๊บ เด็กเพี้ยนก็ขี่จักรยานเป็นแทบจะทันที ปั่นโกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิต <<< และแล้วเด็กเพี้ยนก็ขี่จักรยานเป็นจนได้ (ควรดีใจดีมั้ยเนี่ย)
หนึ่งในโปรมแกรมของการมาคอมเมดที่นี่บรรดานักศึกษาแพทย์ต้องมาตรวจความดัน เบาหวาน screen หามะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกให้ชาวบ้านที่สถานีอนามัยด้วย ซึ่งหน้าที่ที่เด็กเพี้ยนได้รับมอบหมายก็คือ screen หามะเร็งเต้านม เด็กเพี้ยนจะต้องสอนชาวบ้านให้ตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และในฐานะที่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็ต้องตรวจให้ชาวบ้านด้วย เพราะว่าชาวบ้านเชื่อและมั่นใจในหมอ (ในที่นี่คือนักศึกษาแพทย์ เพราะว่าคนในชนบทมักเรียกทุกคนที่ทำงานในสถานีอนามัยว่าหมอ) พวกเขาเชื่อว่าถ้าหมอตรวจให้แล้วจะถูกต้องกว่าการที่พวกเขาตรวจตัวเอง เด็กเพี้ยนในฐานะที่เป็นหมอในสายตาของชาวบ้านเลยต้องตรวจให้ชาวบ้านด้วย ตอนแรกเขินมากๆ แม้ว่าชาวบ้านจะเต็มใจ เปิดเต้านมให้หมอได้คลำหาความผิดปกติ แต่ด้วยความที่หมอคนนี้เคยคลำเต้านมใครซะที่ไหนก็เลยเขินมากๆ เขินจนหน้าแดง ไม่กล้าสัมผัส จนชาวบ้านที่เป็นคนไข้บอกว่าหมอเลิกเขิน แล้วรีบๆตรวจได้แล้ว หมอคนนี้ก็เลยต้องระงับความเขินไว้ชั่วคราว (ตอนนั้นเขินเกือบตาย ยืนบิดไปบิดมา อยู่นานเหมือนกันกว่าจะเลิกเขินได้ จนคิวข้างนอกจากไม่กี่คน เพิ่มจำนวนเป็นคิวยาวมากๆ น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ ต้องมารอนานเพราะหมอติงต๊องมัวแต่เขินอยู่ได้)
ในการไปสำรวจชุมชนและลงไปใกล้ชิดชาวบ้านครั้งนี้ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน คนในเมืองคงไม่มีใครเสียดายเงิน 30 บาท หากทว่าชาวบ้านที่นั่นมีอาชีพทำสวนเป็นส่วนใหญ่ มีรายได้ไม่มั่นคง เวลาไม่สบายทีหนึ่ง ไปหาหมอแต่ละครั้งต้องเสียเงินเดินทาง 15 บาท พวกเขาก็ไม่มีเงินแล้ว เงินจำนวน 15 บาทสำหรับพวกเขามีค่ามหาศาลเพราะว่านั่นคือเงินที่จะต้องใช้กินอยู่ประทังชีวิตในแต่ละวัน แล้วชาวบ้านที่ไหนเขาจะมาหาหมอกัน เลยกลายเป็นว่าชาวบ้านที่นี่สาธารณสุขเข้าไปไม่ทั่วถึง ชาวบ้านไม่นิยมไปหาหมอเพราะว่าแค่ค่าเดินทาง เงินก็หมดแล้ว แล้วค่า 30 บาทรักษาทุกโรคหล่ะจะหาที่ไหนมาจ่าย จึงไม่แปลกอะไรที่ชาวบ้านจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่เป็นหรือจะต้องกู้หนี้ยืมหนี้สินมาหาหมอเพื่อบรรเทาความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ
ใครที่ไม่เคยสัมผัสรากหญ้าคงไม่เคยรู้ว่า คำว่า รากหญ้า นี่เป็นยังไง มันไม่เหมือนกับบทคนจนในนิยาย หรือละครทีวีที่เราๆเคยดูกันหรอก (ตอนแรกเคยคิดว่า ฉากบ้านเรือนคงคล้ายๆในทีวี) มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมาก ความลำบากของเขาคือว่า แม้แต่เงิน 15 บาทก็มากมายพอประทังชีวิตได้ทั้งครอบครัว แล้วชีวิตคนเมืองเช่นเราๆท่านๆเล่า ที่ใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือย ไม่เห็นค่าความยากลำบากของเงินที่ได้มา (สารภาพตามตรงว่าเด็กเพี้ยนคนนี้ก็คือหนึ่งในนั้น) เคยมีใครคิดบ้างมั้ยว่า เราเสียค่าแต่งตัว ค่าดำรงชีวิตเท่าไหร่ ชาวบ้านสามารถใช้เงินก้อนนี้อยู่ได้นานเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะตำหนิใคร เพียงแต่ว่าเวลาที่ใครก็ตามได้อ่านเรื่องนี้ แล้วผ่านไปเห็นคนยากจน จงสำนึกไว้เถิดว่าเงิน 20 บาทของท่านมีค่ามากมายเพียงใดที่จะต่ออายุคนทั้งครอบครัวของเขาเลยทีเดียว
มีอาจารย์หมอท่านหนึ่งสอนเด็กเพี้ยนไว้ว่า ตอนนี้ในขณะที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ จงเขียนบันทึกไว้ว่าเราจะเป็นหมอเช่นไรในอนาคต แล้วเก็บบันทึกฉบับนี้ไว้ พอถึงเวลาจงอ่านบันทึกฉบับนี้แล้วประเมินตัวเองว่าเราเป็นหมอที่ดีอย่างที่เราเคยอยากเป็นหรือไม่ บอกตรงๆว่ารู้สึกประทับใจข้อความนี้มากๆ และคิดว่านั่นไม่ควรจะเป็นบันทึกสำหรับหมอเท่านั้น หากแต่ทุกสาขาอาชีพน่าจะพึงได้มีโอกาสเขียนบันทึกบอกตัวเองว่าเราจะเป็นคนดี ทำงานดีได้อย่างไร แล้วเมื่อเรามาเปิดอ่านในภายหลังจะได้เป็นการประเมินตัวเองไปในตัวว่าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
ขอบคุณที่ทุกคนอ่านบันทึกฉบับนี้จนจบ ตอนต้นๆอาจดูขำๆในความติงต๊องของเด็กเพี้ยนคนนี้ แต่ทว่าบันทึกฉบับนี้ได้แฝงอะไรหลายอย่างๆโดยผ่านมุมมองและสายตาของคนเมืองที่ไม่เคยกินกับดินกินกับทรายมาก่อน จึงหวังว่าทุกคนคงได้อะไรในบันทึกฉบับนี้บ้าง
ปล. เหมือนเคย..... แล้วหากว่าใครรู้สึกว่าคุ้นๆกับเจ้าของบันทึกลับนี้แล้วอยากทายล่ะก็ เราไม่มีบ้าน รถ หรือทองให้ชิงโชค ไม่ต้องส่ง SMS มาทายหรอกนะจ๊ะ ^o^
ส่วนตอบกระทู้ของ บันทึกลับ..เบื้องหลังนักศึกษาแพทย์ ฉบับ 1 อยู่ในกระทู้ที่แล้วนะคะ
บันทึกลับ..เบื้องหลังนักศึกษาแพทย์ ฉบับ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4032274/W4032274.html
จากคุณ :
antibiotic
- [
27 ม.ค. 49 21:16:21
A:10.90.4.234 X:202.28.181.7
]