๑
เพียงรูปไหวในม่านตาคราครั้งหนึ่ง
สัมผัสรู้อย่างลึกซึ้งจึงโหยหา
หลงใหลรูปจึงใฝ่เฝ้าเงามายา
ปรารถนารูปกายนี้อยู่นิรันดร์
เกิดร่างเงาความคิดพิศมัย
ยึดติดในกายสังขารวิญญาณกระสัน
บำเรอรูปผ่านม่านตาดุจค่าอนันต์
ผ่านเพื่อบั่นทอนสัจจะอนิจจัง
มองเห็นเปลือกคือรูปกายเพียงภายนอก
เงาหลอนหลอกเร้ารุกให้ทุกขัง
ดุจหมอกม่านผืนหนามาบดบัง
ขณะยังอยู่ในท่ามความมือมน
๒
เพียงแค่เห็นในม่านตาถ้ารู้เห็น
ย่อมรู้เป็นภาพมายาพาสับสน
เมื่อมองลึกผ่านลงไปเนื้อในตน
ย่อมขุดค้นพบสัจจะ ณ ความจริง
เพ่งลึกกว่าที่ตาสัมผัสได้
แล้วใช้ใจสัมผัสในทุกทุกสิ่ง
เห็นจริงแท้จริงลวงทักท้วงติง
เมื่อจิตนิ่งแล้วมองผ่านด้วยปัญญา
รูปกายคือธาตุสี่ที่ก่อเกิด
ถือกำเนิดรูปร่างอย่างปริศนา
หลงมัวเมาย่อมงมงายในมายา
หากแปรค่าย่อมเห็นซึ้งถึงสัจธรรม
เพ่งพินิจลึกซึ้งถึงแก่นสาร
วิจารณะญาณเลอเลิศประเสริฐล้ำ
รู้รูปรสกลิ่นเสียงเพียงม่านดำ
แค่ครอบงำขณะเราเฝ้างมงาย
หากเพ่งทิพย์ญาณอยู่ย่อมรู้เห็น
สิ่งใดเป็นค่าล้ำเลิศความหมาย
มิใช่รูปเงามายาอันพร่าพราย
แต่คือภายใจพิสุทธิ์ดุจแก้วมณี
๓
วิถีแห่งรูปสร้าง.............ร่างเงา
ดุจม่านหมอกหม่นเทา............ทึบกั้น
แสวงหาค่าใดเรา..................มองลึก-......ซึ้งเนอ
มองผ่านมายานั้น.................จึ่งรู้สัจธรรม
เกรียงไกร หัวบุญศาล
ปลายมิถุนายน ๒๕๔๑
สายใต้ใหม่ ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 49 16:58:28
จากคุณ :
huaboonsan
- [
31 ม.ค. 49 16:56:56
]