CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ช่วยติ และแนะนำด้วยครับ

    ตำนานสุนัขสายเลือดไทย “บางแก้ว”
    "มิตรภาพที่สวยสดงดงามระหว่างคุณกับสัตว์เลี้ยงนั้นมีค่ามากมาย มันคือความสัมพันธ์ที่ดีและมีค่าตลอดชีวิต"
    เรื่องราวของสุนัขบางแก้ว เป็นตำนานอีกหน้าในประวัติศาสตร์สัตว์เลี้ยงของไทย ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานหลายทศวรรษ ไม่แพ้สุนัขหลังอานอันมีชื่อเสียงของจังหวัดตราดหรือแม้กระทั้งแมวไทยซึ่งเป็นสัตว์ที่รู้จักกันทั่วโลก ในฐานะสุนัขพันธ์ไทยแท้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาติญาณของนักสู้ มีความซื่อสัตย์รักและภักดีต่อเจ้าของเป็นเยี่ยม คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนเป็นคุณลักษณ์อันพึงแสวงหา นักเล่นสุนัขหรือ บรรดาคนรักหมาทั้งหลายต่างปรารถนาให้มีอยู่ในตัวสุนัขของตน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่สุนัขบางแก้วจะเป็นอีกนามหนึ่งที่ปรากฏในทำเนียบสุนัขราคาแพง เช่นเดียวกับสุนัขต่างประเทศหลากเผ่าพันธุ์ที่เราท่านคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี น่าจะดีนะครับถ้าเราได้เพื่อนที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเรานานๆ
    สุนัขบางแก้วเป็นสุนัขสายพันธุ์ไทย ถือกำเนิด ณ วัดบางแก้ว บ้านบางแก้วตำบลท่านางงาม (เดิม "ตำบลบางแก้ว")อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อประมาณ 100 ปีล่วงมาแล้วขณะนั้น ท่านหลวงปู่มาก เมธารี เป็นเจ้า อาวาสองค์ที่ 3 โดยมีตานิ่มซึ่งเป็นชาวบ้านบางแก้วได้นำสุนัขพันธุ์ไทย พื้นบ้านเพศเมียสีดำ ขนาดค่อนข้างใหญ่ถวายให้แก่ท่านหลวงปู่มากเลี้ยง อยู่ในวัด เมื่อสุนัขเติบโตขึ้นถึงวัยผสมพันธุ์ ได้ผสมพันธุ์สุนัขป่าซึ่งอาศัย อยู่ในป่าทึบบริเวณใกล้ๆกับวัดบางแก้ว    
    อันเป็นจุดกำเนิด"สุนัขพันธุ์ไทยบางแก้ว" คอกแรกของเมืองไทย และได้สืบทอดสายพันธุ์ มาจนถึงทุกวันนี้สำหรับสุนัขพันธุ์ไทยบางแก้วถือได้ว่าเป็นสุนัขพื้นบ้านที่ นิยมเลี้ยงกันมากในจังหวัดพิษณุโลก และเป็นมรดกล้ำค่าของชาวพิษณุโลก ที่สร้างชื่อเสียง และรายได้ให้แก่จังหวัดพิษณุโลกมาโดยตลอด สันนิษฐานกันว่าหมาบางแก้วมาจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าสุนัขจิ้งจอกและหมาใน เนื่องจากลักษณะเด่นที่หมาบางแก้วได้รับการถ่ายทอดจะมาจาก 3 สายพันธุ์นี้เป็นหลัก กล่าวคือ
    1. หมาจิ้งจอก (Canis Aureus) มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด
    1.1 หมาจิ้งจอกทองหรือหมาทอง มีขนาดเล็กมีอยู่อย่างกระจัดกระจายตั้งแต่อัฟริกาใต้ไปจนถึงอัฟริกาเหนือ มีขนสีน้ำตาลปนเหลือง ส่วนหลังและหางจะแซมด้วยสีดำ
    1.2  หมาจิ้งจอกหลังดำ (Black-backed) พบในแอฟริกาตอนกลาง อัฟริกาใต้ ที่หลังมีขนยาวสีดำปนขาวแผ่กระจายเต็มหลังไปจนถึงบริเวณหางคล้ายกับอานม้าและใบหูใหญ่
    1.3  หมาจิ้งจอกหางลาย (Canis Adustus)
    หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้มีขนสีเทาและมีขนสีดำพาดเป็นทางด้านข้างลำตัว ที่ปลายหางจะมีสีขาว พบใน
    แอฟริกาเขตร้อน
    1.4   หมาจิ้งจอกไซเมี่ยน แจ็คกัล (Simian jackal)  พบ ในเขตที่ราบสูงเอธิโอเปีย มีรูปร่างและขนาดอยู่ระหว่างหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) และหมาป่าวูล์ฟ (Wolf) แต่ดูแล้วจะเหมือนหมาจิ้งจอกฟ๊อกซ์ (Fox) มากกว่า ลักษณะที่เด่นๆ คือ หูตั้ง ใบหูใหญ่ ปลายหูแหลม ลำตัวค่อนข้างยาว ขนตามลำตัวค่อนข้างแดง ส่วนขนที่คอสีขาวและมีแนวขนสีแดงแก่พาดรอบคอ ขายาวขนที่บริเวณปลายขาจะมีสีขาว หางเป็นพวง โคนหางขาวปลายโคนหางปรพมาณ 100 ซม. (40 นิ้ว) หรือ 1 เมตร หางยาว 30 ซม. (10 นิ้ว) น้ำหนัก 10 ก.ก. (22 ปอนด์) ตามธรรมชาติจะชอบอยู่เป็นคู่หรืออยู่ลำพังตัวเดียว
    หมาจิ้งจอกพันธุ์นี้นับว่าเป็นหมาที่มีขนาดใหญ่
       ลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมที่หมาบ้างแก้วได้รับจากหมาจิ้งจอกที่เห็นได้ชัดคือ
    ข้อเท้า เอนเข้าหาตัวเพียงเล็กน้อย
    เขี้ยว ที่เล็กและแหลมคม
    สีขน มีลักษณะจุดประหรือแต้มด่าง ซึ่งในหมาไทยทั่วไปไม่มี
    เส้นขน หยาบเป็นมันส่องประกายแวววาว ส่วนมากจะเหยียดตรงหรือหยิกฟูนุ่มมือน้อยกว่าหมาไทยลูกผสมอื่นๆ ลูกหมาบางแก้วอายุ 1-2 เดือน ขนจะหยาบกระด้างกว่าขนของหมาจู
    ขน เป็นขนยาวสองชั้น โดยขนชั้นในสั้นเป็นปุยและละเอียดอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย ขนชั้นนอกยาวฟู บริเวณกกหู คอ ใต้คาง และแผงอกแผ่กระจายดูคล้ายคอสิงห์โต ขนที่สีข้างจะค่อนข้างยาว
    หู คล้ายหมาจิ้งจอก มีขนปุกปุยในรูหูและโคนกกหูด้านนอก
    2.     หมาไน (Asian Wild Dog) บางครั้งก็เรียกว่า"หมาแดง" (Red dog) มีลักษณะแตกต่างกว่าหมาจิ้งจอกคือ มีสีแดงสนิม (Red red) ตลอดทั้งตัว ไม่มีแผงคอเหมือนหมาจิ้งจอก หางสีดำ ความยาวของหาง 40-50 ซม. (16-20 นิ้ว) น้ำหนักตัว 14-21 ก.ก. จึงมีลำตัวยาวเพรียวกว่าหมาจิ้งจอกและท้องไม่คอดกิ่วเช่นหมาไทยพื้นบ้าน หมาไนตัวใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก มีสีเดียวกันตลอดทั้งตัว (มากกว่าหมาจิ้งจอก) หางยาวและมีสีเข้มกว่า จมูกเข้มกว่าและสั้นกว่า ภายในหูมีขนขาวละเอียดอ่อนปกคลุม ปลายหูกลมมน ไม่แหละเหมือนหมาจิ้งจอก มีขนตามลำตัวสีแดงสนิม ขนยาวกว่าหมาจิ้งจอก ขนทีแผงคอไม่มี (หมาจิ้งจอกมี) เท้าและขนที่หางสีดำ ช่วงฤดูหนาวขนจะหนาขึ้น ลูกที่เกิดใหม่จะสีดำคล้ำ เมื่อโตจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิม
            กระโหลกศรีษะคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก แต่ใหญ่กว่า จมูกกว้างและหน้าแบนกว่า เบ้าตาต่ำกว่า รูปร่างฐานเบ้าตาสั้นกว่าและทื่อค่อนไปทางข้างหน้าลักษณะฟันไม่เหมือนกัน ไม่มีกรามที่สามด้านล่าง กรามล่างอันแรกมีเพียงเพียงเขี้ยวเดียว (แต่ในหมาจิ้งจอกมีสองเขี้ยว) ปากมอมสีน้ำตาลเข้มหรืออาจมีสีขาวปน หางเป็นพวงห้อยลงพื้น ส่วนมากจะหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ร่มหรือโพลงดินตื้นๆ เห่าเสียงธรรมดาถี่ๆ แต่เมื่อตกใจจะร้องเสียงแหลม
    หมาไนสามารถกระโดดได้ไกล 3-3.5 เมตรเลยทีเดียว เวลาวิ่งกระโดดไกลถึง 5-6 เมตร และสูง 3-3.5 เมตร เวลาล่าเหยื่อที่เป็นสัตว์ใหญ่กว่าจะรวมตัวกันเป็นฝูง 6-8 ตัว จนถึง 20 ตัว หายเหยื่อได้โดยการดมกลิ่น และสะกดรอยตามไปจนเห็นเหยื่อ จากนั้นจะไล่เหยื่อไปจนเหนื่อยอ่อนและจนมุม
    พันธุกรรมที่หมาไนถ่ายทอดมาสู่หมาบางแก้วที่สังเกตได้คือ
    ขน หมาบางแก้วบางตัวมีขนสีน้ำตาลแดงหรือสีสนิมแต้มอยู่บริเวณแก้ว ลำตัว อุ้งเท้า ถ้าเป็นเพศเมียจะมีบริเวณอวัยวะเพศอย่างเห็นได้ชัด
    หู เล็กสั้นและตั้ง
    ลำตัว ลำตัวจะยาวและท้องไม่กิ่วเหมือนหมาไทยพื้นบ้าน
    หาง อาจมีขนสีดำที่โคนและปลายหาง
    ขา ใหญ่กว่าหมาไทยทั่วไป
    ปาก บางตัวปากมอม ซึ่งในหมาจิ้งจอกจะไม่มีปากมอม
    3. หมาพื้นบ้านไทย (Thai Dog)
    ขนตามลำตัวสั้นเกรียน ละเอียดเป็นเงา หูตั้ง ปลายหูแหลม แข้งขาเล็กเรียวคล้ายขาเก้ง อุ้งเท้าเล็ก ลำตัวค่อนข้างยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหางมีหลายรูปแบบคือหางกระรอก หางงอม้วนเป็นก้นหอย
    พันธุกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่กล่าวมา หมาบ้างแก้วได้รับการถ่ายทอดจากหมาไทยพื้นบ้าน โดยเฉพาะหางที่โค้งงอขึ้นบน
    แบบหน้า 3 ลักษณะ
    ซึ่งแบบหน้าหมาบางแก้วแบ่งได้ 3 ลักษณะด้วยกันคือ
    3.1  ลักษณะหน้าเสือ
    ลักษณะใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตา เซื่องซึม และดูดุร้าย เป็นลักษณะของหมาพันธุ์บางแก้วที่ใหญ่ที่สุด บางตัวที่เคยเห็นมาแล้วมีขนาดเท่ากับ สุนักพันธุ์อัลเซเชี่ยนของต่างประเทศ มีขนที่คอเป็นแผง แต่ไม่รอบคอ ไม่มีเคราใต้คาง รูปร่างอาจใหญ่ หรือขนาดกลางก็ได้ มีหางเป็นพวงและมีเป็นพวง ทั้งหางงอและหางม้วน ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีแผงคอแต่ไม่รอบคอ
    ลักษณะหน้าเสือถือว่าเป็นเอกลักษณะของหมาบางแก้วอย่างแท้จริง
    ลักษณะหน้าสิงโต
    ถ้าหากได้เลือดสุนัขจิ้งจอกมากจะมีลักษณะหน้าแหลม ขนบริเวณแก้มจะพองออกมาเป็นแผงหรือกระบังหน้าคล้ายคลึงกับหน้าสิงห์โต ลักษณะจะมีแผงใหญ่รอบคอ และมีเคราใต้คางยาวลามไปจรดแผงคอตอนล่าง กะโหลกศีรษะเล็ก หูเล็กตั้งตรงรับกับใบหน้าอย่างสวยงาม เมื่อเรามองจากด้านหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงห์โต ปากไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและ ท่าทางจะเซื่องซึม แต่เมื่อเห็นศัตรูหรือคนแปลกหน้า แววตาและท่าทางจะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้านิดหน่อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางยาวเป็นพวงและไม่เป็นพวง มีทั้งหางม้วนสูงและม้วนต่ำ ลักษณะนี้นับว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิม ถ้ามีแผงคอใหญ่ หูสั้นและหางพวง และมีสีที่ประน้อยมากแล้ว ก็นับว่ามีสายเลือดที่ยังเข้มข้น น่าเก็บเอาไว้ทำพันธุ์ แต่ก็หายากมาก หลายปีจึงจะมีออกมาสักครั้ง มีการซื้อขายกันในราคาที่แพงพอดู
    ลักษณะหน้าจิ้งจอก
    มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าทั้งสองชนิดแรก ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลาง และเล็ก นิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก ซึ่งถือว่าหน้าจิ้งจอกเป็นข้อด้อยกว่า 2 พวกแรก
    อย่างไรก็ตาม ลักษณะเด่นของหน้าหมาบางแก้วคือที่ปลายปากจะมีสีขาวรอบปาก และสีขาวจากปลายปากมากลางแสกหน้าถึงกะโหลกศีรษะที่เรียกกันว่า "หน้าแบ่ง" หรือ "หน้าแด่น" "ปากคาบแก้ว"

    ช่วยติด้วยครับ ถ้ามีไรก็ช่วยแนนำด้วยครับ

    ขอบคุณครับ

    จากคุณ : photomoo472 - [ 2 ก.พ. 49 22:09:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป