ตอนแรกนะคะ ^^
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4069041/W4069041.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภัทรเงียบหายไป.. อย่างที่พราวคิดว่าภัทรจะต้องทำ ก็เหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ถ้าภัทรเป็นฝ่ายโกรธ พราวก็ต้องเป็นคนง้อ หรือไม่ก็ต้องรอให้ภัทรหายโกรธไปเอง เพราะรู้ดีว่าง้อไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเมื่อพราวเป็นฝ่ายโกรธบ้าง ภัทรก็มักจะรอให้พราวไปง้อ หรือหายโกรธเองโดยที่ภัทรไม่มาง้อพราวอยู่ดีนั่นแหละ..
สรุปแล้วยังไงๆ พราวก็ต้องเป็นฝ่ายง้อภัทรอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นฝ่ายโกรธ..
และในเมื่อครั้งนี้ พราวตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปง้อ กลับไปทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร้สติกับภัทรอีกแล้ว ภัทรกับพราวจึงขาดการติดต่อกันไป นาน.. เสียจนพราวเกือบจะลืมภัทรได้อยู่แล้ว หากว่าซองยาวสีขาวซองหนึ่งจะไม่มาวางอยู่บนโต๊ะทำงานพราว ในบ่ายวันหนึ่งที่ฟ้าครึ้มฝน..
อะไรบางอย่างในใจพราววาบขึ้น เมื่อพบว่าลายมือเรียบ กระจ่างตา เขียนด้วยตัวอักษรตวัดหางสวยนั้นเป็นของภัทร มีเพียงชื่อพราว โดยไม่ระบุที่อยู่หรือตำแหน่งอื่นใด ไม่มีแม้กระทั่งแสตมป์หรือรอยประทับใดๆ พราวหยิบมันขึ้นพลิกดูอย่างประหลาดใจ ว่ามันเข้ามาอยู่บนโต๊ะทำงานพราวได้อย่างไร เพราะเมื่อพราวกลับมาจากไปกินข้าวกลางวันข้างนอก ก็พบมันวางรออยู่แล้วอย่างสงบ ภัทรคงจะฝากใครมากระมัง..
พราวแกะซองออกอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นการ์ดแข็งสีขาว ประดับด้วยช่อดอกไม้แห้งช่อเล็กๆ อย่างมีศิลป์ ไม่มีข้อความอื่นใด นอกจากลายมือภัทร เขียนด้วยลายเส้นหนักๆ สีดำไว้เพียงว่า
"คำว่ารักคงยังไม่พอ"
ไม่มีคำขึ้นต้น ไม่มีคำลงท้าย หากเป็นประโยคลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไปเหมือนอย่างที่ภัทรเคยเป็น พราวเกือบจะยิ้ม เมื่อนึกถึงหนุ่มน้อยที่แสนเอาแต่ใจคนนั้น..
หัวใจพราวเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง เมื่อบอกตัวเองว่า.. นี่คงเป็นคำขอโทษของภัทร พราววางการ์ดลงกับโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนจะนั่งลง จ้องมองช่อดอกไม้และลายมืออันคุ้นตานั้นนิ่ง ราวกับจะให้มองเห็นทะลุไปถึงผู้ที่ส่งมันมา
เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกัน ภัทรทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกแล้วสำหรับพราว และพราวเองก็ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้วสำหรับเขา ภัทรไม่ติดต่อมา และพราวเองก็ไม่ติดต่อไป คล้ายกับทั้งพราวและภัทรเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนสายที่เดินมาด้วยกันเสียแล้ว จึงแยกกันเดินไปสู่ถนนสายใหม่ของตนเองได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ทางเส้นเดิมอีก..
แน่ใจหรือ.. แวบหนึ่งที่พราวถามตัวเอง
แม้ว่าพราวจะเป็นสุขกับชีวิตใหม่ที่ไม่มีภัทร ชีวิตที่พราวทำทุกอย่างได้อย่างเป็นอิสระขึ้น ชีวิตที่พราวสามารถเฮไหนเฮนั่นกับเพื่อนได้ทุกงาน ไม่ว่าจะงานเลี้ยงหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยไม่ต้องพะวังกับภัทร สามารถกลับไปค้างที่บ้าน ไปเล่นกับมะเหมี่ยวได้เมื่ออยากกลับ โดยไม่มีภัทรมาคอยตื๊อให้พราวอยู่คอยภัทรที่อพาร์ทเมนต์ ไม่มีเสียงโทรศัพท์ "จิก" หรือใช้งานต่างๆ นานาอย่างที่พราวเคยโดน
แต่ก็นั่นแหละ.. เมื่อพราวได้สนุกกับชีวิตเต็มที่ อย่างที่พราวอยากจะทำมาตลอด ทำไมหนอพราวจึงกลับรู้สึกเหงา.. เหงาอย่างไม่เคยเป็น เป็นความอ้างว้างอย่างประหลาด ละม้ายอยู่ตัวคนเดียวในโลก แม้จะอยู่ในงานรื่นเริง มีผู้คนมากมายให้พราวได้พบปะพูดคุย สนุกสนานไปกับแสงสีของชีวิตที่โลดแล่น หากบางครั้งเมื่อกลับถึงบ้านในตอนดึก ความเคยชินก็ยังทำให้พราวหยิบโทรศัพท์ขึ้นกด เพื่อที่จะโทร.ไป "เมาท์" กับภัทรอย่างที่เคยทำ ก่อนจะระลึกได้ว่า พราวไม่มีภัทรให้ "เมาท์" อะไรก็ได้อย่างเคยอีกต่อไป
หลายครั้งที่พราววางโทรศัพท์ลงอย่างลังเล รู้ว่าถ้าพราวโทร.ไป ภัทรก็คงจะทำกระบิดกระบวนแง่งอนอยู่พักหนึ่ง กล่าวโทษพราวจนพอใจ ก่อนจะยอมคุยด้วยแต่โดยดี อาจจะมีกระแนะกระแหนพราวบ้าง แต่พราวก็รู้.. แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า ภัทรจะไม่มีวันปฏิเสธพราว..
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า.. พราวส่ายหน้ากับตัวเอง ในเมื่อถ้ากลับไปคืนดีกัน ภัทรก็จะเป็นอย่างวันเก่าก่อน คือเป็นภัทรที่เอาแต่ใจ ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่กลัวว่าพราวจะโกรธ ก็ภัทรทำขนาดนี้แล้วพราวยังกลับไปง้อภัทรนี่นะ..
คิดได้อย่างนี้พราวจึงบังคับตัวเองให้นิ่งเฉยกับความเหงาที่เกิดขึ้น บอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงความเคยชิน.. ในเมื่อพราวเคยมีภัทรเป็นทุกอย่างมาร่วมสี่ปี ไม่แปลกเลยที่ชีวิตประจำวันของพราวจะถูกบรรจุด้วยภัทรจนเต็มแน่น จนไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นอย่างในวันนี้ ภัทรยังคงเป็นคนที่พราวนึกถึงเป็นคนแรก ยามได้พบเรื่องราวสนุกๆ ที่อยากจะเล่าให้ใครสักคนฟัง หรือแม้ในยามเจอเรื่องแย่ๆ จนอยากจะบ่นกับใครสักคน ภัทรก็ยังคงเป็นคนคนนั้นอยู่เสมอ..
หากพราวก็เชื่อ.. ว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป ความเคยชินนั้นย่อมเปลี่ยนไปได้ ถ้าเพียงแต่พราวเข้มแข็งพอ..
ใช่.. ถ้าเพียงแต่พราวเข้มแข็งพอ พราวจึงพยายามไม่ใส่ใจกับหยดน้ำอุ่นๆ ที่หยดรินที่ปลายตา หลายครั้งหลายคราวยามที่พราวหลับตาลง บอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย ที่อีกไม่นานก็จะลบเลือนไป พร้อมกับความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับภัทร..
แต่แล้วการ์ดสีขาวใบนี้ก็ทำให้พราวลืมทุกอย่างที่เคยเพียรบอก เพียรย้ำกับตัวเองในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พราวยังคงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น กว่าจะรู้ตัว ภาพการ์ดตรงหน้าก็พร่าเลือนไปด้วยละอองน้ำใสๆ ในดวงตา..
พราวไม่ได้ลังเลอีกเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้น กดตัวเลขเก้าตัวที่แม้ว่าพราวจะลบมันออกจากเมมโมรี่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่จนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่อาจลบออกจากความทรงจำของตัวเองได้จนแล้วจนรอด
"หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ.." นั่นคือคำตอบที่พราวได้รับ ไม่ว่าจะโทร.อีกกี่ครั้ง
เนิ่นนาน กว่าพราวจะค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง ปาดน้ำตาทิ้งไปก่อนจะยิ้มหยันตัวเอง ภัทรคงไม่ได้อยากขอโทษหรอก การ์ดใบนี้อาจจะแทนคำบอกเล่าว่า ภัทรพร้อมจะจากไปจริงๆ แล้ว ขอให้พราวเข้าใจตรงกันด้วย..
พราวช่างเข้าใจไปได้ว่า "คำว่ารักคงยังไม่พอ" ของภัทร จะแปลว่าภัทรยังอยากจะแก้ตัวในสิ่งที่ผ่านๆ มา เพราะภัทรยังให้คำว่ารักแก่พราวไม่พอ..
หากในความเป็นจริง ภัทรคงแค่อยากจะบอกกับพราวว่า เพราะตัวภัทรเองไม่อาจให้คำว่ารักกับพราวได้มากไปกว่านี้ ภัทรจึงเลือกที่จะจากไป..
พราววางการ์ดใบนั้นลงมุมที่ลึกที่สุด ในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะทำงาน ก่อนจะปิดมันลง บอกตัวเองว่าจะไม่หวั่นไหวไปกับอะไรง่ายๆ อย่างนี้อีกแล้ว เกราะอันแข็งแกร่งที่พราวเพียรสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากอดีต พังทลายลงในพริบตาเพียงเพราะการ์ดใบเล็กๆ ใบเดียว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนพราวสะดุ้ง ก่อนที่นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งในแผนกของพราวเยี่ยมหน้าเข้ามาอย่างเกรงใจ เพราะประตูที่กั้นห้อง หรือ "คอก" ของพราวกับภายนอก เป็นเพียงกระจกใส คนภายนอกจึงมองเห็นอากัปกิริยาของผู้อยู่ภายในห้องได้ดี จนพราวนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่ปิดมูลี่ให้เรียบร้อยก่อน
"พี่พราวคะ มีแขกมาขอพบ รออยู่ที่ฟรอนท์ข้างล่างค่ะ" ฝ่ายนั้นบอกเบาๆ มองพราวอย่างเห็นใจ ในเมื่อเรื่องของพราวและภัทรไม่ใช่ความลับ จึงไม่มีใครแปลกใจที่เห็นพราวนั่งเหม่อลอย หรือทำกิริยาคล้ายแตะเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียวในยามเผลอตัว
"ใครเหรอ เค้าบอกชื่อรึเปล่า" พราวพลิกดูสมุดนัด ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายโฆษณาในบริษัทเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้ทำให้พราวมีนัดกับลูกค้าภายนอกมากนัก แต่ก็มีในบางครั้งที่มีนัด หากพราวก็ลืมเอาจริงๆ คล้ายคนไม่อยู่กับร่องกับรอยนักในช่วงนี้
"เปล่าค่ะ แต่บอกว่าเป็นเพื่อน"
"ผู้หญิงหรือผู้ชาย" พราวถาม หยิบตลับแป้งจากกระเป๋าเครื่องสำอางขึ้นมาเพื่อสำรวจดูความเรียบร้อยของตัวเอง
"ผู้ชายค่ะ ผอมๆ สูงๆ ผมสั้นๆ" อีกฝ่ายให้คำอธิบาย
"อ๋อ" พราวอุทานอย่างเข้าใจ สงสัยจะเป็นวินไธย ประธานรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยของพราวนั่นแหละ เพราะฝ่ายนั้นบอกว่าจะแวะมาหาพราวในวันนี้ เพื่อปรึกษาเรื่องงานคืนสู่เหย้า ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
"กิ่งช่วยไปบอกให้เค้านั่งรอที่คอฟฟี่ช็อปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะตามไป" พราวบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ฟังดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น เมื่อนึกถึงงานรื่นเริงที่จะต้องรับผิดชอบต่อไป ซึ่งเป็นงานอย่างที่พราวชอบ.. แม้ว่ามันจะเคยสวนทางกับความชอบของภัทรอย่างสิ้นเชิง
แล้วพราวจะมานั่งคิดถึงภัทรทำไมกันนะ พราวสะบัดศีรษะแรงๆ อย่างจะไล่ความคิดที่มีอยู่ออกไปให้หมด หากก่อนจะก้าวออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น
"คุณพราวครับ ช่วยมาหาผมหน่อย มีเรื่องอยากจะถาม เรื่องงานโฆษณาไตรมาสหน้า" เป็นเสียงผู้จัดการใหญ่ หนุ่มโสดวัยสามสิบหก ที่กำลังเป็นที่ซุบซิบกันว่า "เล็ง" พราวเอาไว้
"พี่ปุ้มทำเรื่องเข้าไปแล้วนี่คะ คุณฉัตรยังไม่เห็นหรือคะ" พราวหมายถึงผู้จัดการฝ่ายของพราว
"ครับ คุณปุ้มนำมาเสนอผมแล้ว แต่ผมอยากจะถามอะไรนิดหน่อย บังเอิญวันนี้คุณปุ้มออกไปพบลูกค้าข้างนอกน่ะครับ" อีกฝ่ายรีบบอกก่อนที่พราวจะทันถาม
พราวมองนาฬิกา แล้วก็ต้องถอนใจ ลงมารูปนี้ พราวก็คงต้องนั่งตอบคำถามจุกจิกของ "ท่านผู้จัดการใหญ่" ต่อไปอีกนาน อาจจะถึงเย็นเลยด้วยซ้ำ คงไม่ดีแน่ถ้าพราวจะปล่อยให้วินไธยรอ
"ค่ะ เดี๋ยวพราวจะเข้าไป ขอเวลาสั่งงานน้องๆ สักนิดนะคะ" พราวตอบอย่างที่ควรจะตอบ ก่อนจะหันไปบอกรุ่นน้องอีกคนในแผนก ให้ช่วยลงไปบอก "เพื่อน" ของพราวว่าพราวมีงานด่วน และจะเป็นฝ่ายไปพบเขาเองที่บริษัทในวันพรุ่งนี้
พราวหันกลับมารีบร้อนค้นหาแฟ้มงาน และสั่งงานรุ่นน้องในแผนกอีกสองสามอย่าง จึงไม่ทันได้เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ชะงักอยู่เพียงหน้าประตูแผนก มองดูพราววุ่นวายอยู่กับงานด้วยแววตาที่ยากจะบอกความรู้สึก ก่อนจะหันหลังกลับ เดินจากไปเงียบๆ
ไม่เห็นกระทั่งรถคันหนึ่งที่แสนคุ้นตา เลี้ยวออกไปจากประตูบริษัทอย่างช้าๆ ราวกับผู้ขับสิ้นเรี่ยวแรงจะขับขี่มันอีกต่อไป
และแน่นอนว่าไม่เห็นแววตาหมองจัดของคนขับ อันเป็นดวงตาคู่เดียวกับดวงตาคู่หนึ่ง.. ที่แจ่มชัดในความทรงจำของพราวเสมอมา..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 49 05:52:59
จากคุณ :
โยษิตา
- [
3 ก.พ. 49 05:46:23
]