ผมลอยละล่องในเมืองกรุง ทำงานในบริษัทเคมีภัณฑ์ของต่างประเทศที่มาบุกเบิกการเกษตรในเมืองไทย ล่องลอยนั่งรถไฟฟ้าไปกลับ วันต่อวัน ปีเดียวก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากลอยห่างจากสิ่งที่คิดฝัน
ความฝันที่เธอไม่เคยสนใจ ในแววตาเธอไม่มีประกายบ่งบอกว่าเธอใส่ใจกับความฝันที่ผมมี เหมือนคนในเมืองใหญ่ทั่วไปที่ถ้ามีใครสักคน มากระซิบบอกว่าขณะนี้ คนปลูกสับปะรดขายได้เพียงกิโลละ 2 บาท เป็นอะไรแบบนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับรู้เลยว่าคนปลูกสับปะรดขายได้กิโลละกี่สตังค์ บอกแล้วก็ผ่านหูเพียงแค่นั้น
ฉะนั้นความฝันที่ผมพร่ำบอกแก่เธอ จึงไม่มีค่าอะไรให้เธอมาสนใจ และเธอก็เริ่มเบื่อทุกครั้งเวลาที่ผมพูดถึงความฝันที่มี อย่างกับอาชีพนี้มันไม่มีอยู่จริงในสามัญสำนึกของเธอ
อาชีพ นักเขียน
ในวันหยุด ขณะที่ผมกำลังเต้นแอโรบิกเหงื่อโทรม ส่วนเธอกำลังร้องคาราโอเกะ เพลง ผ้าเช็ดหน้า ของวงไทรอัมพ์ คิงก์ดอม อย่างหน้าชื่น เมื่อเนื้อเพลงหมดลง เธอก็บอกเลิกกับผมผ่านไมค์ที่ถือในมือ
ผมเหนื่อยหอบจนพูดไม่ออก จากหายใจไม่ทันเกือบกลายเป็นหายใจไม่ออกไปในบัดดล ช่างเลือกเวลาบอกเลิกได้เหมาะเจาะ
ทุกวันที่นั่งเคลื่อนไปกับรถไฟฟ้า วิญญาณของผมคงลอยล่องออกจากร่างไปทีละนิดๆ แต่เมื่อคำบอกลาของเธอโพล่งขึ้น ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณส่วนที่ยังขังค้างอยู่ในร่าง นั้นกระเจิงแยกกันขึ้นรถไฟฟ้าทุกขบวนที่กำลังเคลื่อน ณ วินาทีนั้นในทันที
หลังยื้อเธอได้ 2 วัน กับอีก 12 ชั่วโมง เธอก็นั่งรถออกไปกับหนุ่มตี๋แก้มยุ้ย ที่ชอบแวะเวียนมาหาแฟนสาวนักศึกษาปี2 ที่อยู่ข้างห้อง
ความฝันคั่งค้างบั่นทอนกำลังชีพ ค่ำคืนดึกดื่น ผมลุกขึ้นมาเขียนเรื่องสั้น เมื่อรู้สึกล้า ผมจะหันไปมองเธอที่หลับพริ้มบนเตียง แล้วก็เขียนต่อไปลุล่วงตามคิดหมาย
หมดแล้ว
ผมเดินทางกลับบ้าน ลาออกจากงาน อยากหมกตัวอยู่บ้านจนกว่าจะฟื้น พ่อผมเป็นกำนัน เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาล เขาไม่ได้ว่าอะไรหากผมต้องการกลับมาอยู่บ้านเฉยๆสักพักใหญ่
หลังบ้านผมเป็นทุ่งนา ตามคันนามีต้นตาลสูงโย่ง ทุกเย็นผมเดินเล่น เดินเหลาดินสอ ผมซื้อดินสอมา 3 โหล เหลาทุกด้ามจนแหลม เมื่อเหลาครบผมจะเวียนมาเหลาใหม่ เหลาไปเรื่อยๆ เวียนมาๆ จนสั้นกุดไม่สามารถเหลาต่อไปได้อีก แล้วผมจะโยนมันทิ้งไป
ทุ่งนาหลังบ้านผม บ้านที่อยู่ใกล้สุดคือบ้านของลุงชุ่ม แกทำงานเป็นหัวหน้ายามในโรงงานน้ำตาลของพ่อผม แกเลี้ยงวัวอยู่ฝูงหนึ่ง ทุกวันแกจะปล่อยออกมาเล็มหญ้า แกเป็นคนเจ้าชู้ ผมมักเห็นสาวรุ่นๆแวะเวียนมาหาแกทุกวัน วันนึงก็คนนึง 7วันก็7คน
แกเป็นคนอายุ 59 ที่ดูเหมือนคนอายุ 40 ฟันขาวเรียงสวย ยามยิ้มเหมือนนายแบบที่อยู่บนกล่องยาสีฟัน
ทุกเย็นผมจะนั่งใต้ต้นตาล มองเหม่อ ทุกสิ่งในครรลองสายตาเป็นไปแบบที่ควรเป็น เป็นไปตามทาง ไม่มีอะไรสะดุดโดดโดนใจ ผู้คนผ่านไปมา วัวเล็มหญ้า เมฆลอยไปเมื่อต้องลม ต้นสะเดาแตกช่อยืนใหญ่ลำพัง ต้นข้าวให้รวงกลายสภาพเป็นฟาง คนสับสนสูญสิ้นความรักกระวนกระวายในความฝันนั่งใต้ต้นตาลโย่ง ยาวเสียดฟ้า สักวันผมคงดีกว่านี้
ดินสอแท่งสุดท้ายถูกเหลาและโดนเหวี่ยงทิ้งไปแล้ว ดินสอ 3 โหลไม่มีสักแท่งที่ถูกใช้เขียน ไม่มีเลยสักคำ แม้เพียงพยัญชนะเดียวก็ไม่มี ไม่เคยถูกใช้เขียน
ดวงอาทิตย์จ้าๆนั่นเริ่มคลายแสงเปลี่ยนสี ผมนั่งจูบเข่า ใช้ฟันขบหัวเข่าตัวเองเบาๆ ช่วงเวลากำลังเคลื่อนสู่ความโพล้เพล้ อาการกระอักกระอ่วนในช่องท้องค่อยๆคืบขึ้นป่วนช่วงอก เอิบอาบสร้านเคล้าแฝงสู่ลมหายใจ รดออกสัมผัสอากาศทางจมูก
พื้นที่สีเทาไร้จุดสิ้นสุด
ความกระอักกระอ่วนภายในอึดอัดยากอธิบายจนน้ำตาเล็ด ไม่ได้ ไม่สามารถบอกใครได้ ยิ้มไม่ออก ไม่ได้ แม้ร้องไห้ก็ไม่สามารถทำได้
ความคลุ้มคลั่ง จุดเล็กๆของความคลุ้มคลั่งเริ่มโจมตี ขากรรไกรของมันรัวถี่ งับๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมต้องหลับตาลงสู่พื้นที่ว่างสีเทา คุดคู้หน้าแนบเข่า ปล่อยลอยละล่อง รอคอยให้ความมืดกลืนกินแสงสว่างจนหมดสิ้น เมื่อนั้นผมถึงจะสามารถลุกขึ้นเดินกลับบ้าน
ผมนั่งอยู่กับที่ แต่รู้สึกเหนื่อยหอบ ความสำนึกรู้บอกผมว่า เมื่อน้ำตารินหลั่งอาบท่วมแก้ม เมื่อนั้นผมจะกลับมายิ้มได้ใหม่
ความมืดมาแล้ว ผมลุกขึ้นยืน น้ำลายข้นเหนียวเต็มลำคอ เท้าค่อยๆก้าวมุ่งสู่ทิศทางกลับบ้าน ผมเดิน เดินไม่นาน ผมก็ถึงบ้าน ล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่คิดอาบน้ำแล้วจึงหลับไป
ความง่วงเป็นยาชั้นดี ส่วนการหลับใหลเป็นยาขนานเอก เมื่อเราหลับปัญหาไม่สามารถรุกทำร้ายจิตใจได้ วัวหนุ่มชื่อ เห็ดหอม บอกผมขณะคุยกัน
---------------------------------------
หลังจากปั่นป่วน สโลสเล เดินไปมาระหว่างบ้านกับทุ่งนาอยู่หลายอาทิตย์ นั่งมองเหม่อดูฝูงวัวทุกๆเย้น แม้ยังหดหู่ใจหวิว แต่เริ่มรู้สึกชินมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อ 3 วันก่อน ขณะนั่งมองฝูงวัวเล็มหญ้า เบี่ยงมุม เงยมองฟ้าทางทิศตะวันตก ผมก็พบวัตถุคล้ายจานข้าว ร่อนเข้ามา ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ
จานข้าวนั่นบินมาจากคุ้งฟ้าโค้งด้านทิศตะวันตก สวนกับดวงอาทิตย์สว่างจ้า เป็นจานบินสีเงิน ขัดจนขึ้นมัน แต่ไม่สะท้อนแสง ความเร็วพอๆกับว่าวปักเป้า ขนาดของมันแผ่กว้างราวสังกะสีมุงบ้านได้หลังหนึ่ง
จานหยุดนิ่งตรงฝูงวัว สูงจากพื้นราวต้นตาลต่อกัน 3 ต้น พวกวัวยังคงเป็นเช่นปกติ ไม่มีตัวใดแตกตื่นหรือมีทีท่าแสดงออกมาว่า พวกมันรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบนท้องฟ้า ท้องทุ่งเป็นเช่นเดิม ลมโชยเอื่อย นกกระยาบินถลาตามนาข้าว ไม่มีใครผ่านทางมาเลย แล้ววัวตัวหนึ่งก็ค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น ลอยขึ้นไป สูงขึ้นจนถึงตัวจานบิน
ไม่นานมันก็ถูกปล่อยตัวลงมายังพื้นเช่นเดิม เวลาเพียงสั้นๆ ผมแน่ใจว่าไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ผ่านเร็ว สิ้นสุด จานบินบินต่อไปทางทิศตะวันออก ไกลห่างจนลับตามิสามารถมองเห็นตัวยานได้อีก ไม่มีลำแสง ไม่มีดนตรีประกอบ ไม่มีมนุษย์ต่างดาวลงมาเพ่นพ่านหวังยึดครองโลก เจ้าวัวตัวนั้นเมื่อกลับลงมาถึงพื้น มันก็เดิน เชื่องๆ เล็มหญ้าเข้าปากเคี้ยวเหมือนวัวตัวอื่นๆในฝูง
ผมเพิ่งรู้ว่า เหงื่อผมผุดพรั่งขึ้นเต็มร่างล้นทุกรูเหงื่อก็ต่อเมื่อเอาหลังมือปาดตรงหน้าผาก พร้อมถอนหายใจเฮือกยาว ยาวนานที่สุดเลยกระมังในชีวิตที่ผ่านมา
ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีความคิดอะไรในหัว การกระทำเพียงอย่างเดียวคือนั่งจ้องวัวตัวนั้น ผมคงจ้องมันเขม็งเกินไป มันจึงมองมาที่ผม ผมกับมันสบตากัน
โดยไม่มีการหลบตา วัวนั่นเริ่มก้าวมาหาผม มันหยุดตรงหน้า ใบหูกระดุกกระดิกไปมา เสียงพูดดังขึ้น
คุณคงไม่เชื่อที่คุณเห็นใช่ไหม ?
คงสัก 5 วินาที ที่ผมหยุดนิ่ง แล้วยืนขึ้น ตกใจ ตาโต ก้าวถอยหลังได้ 2 ก้าวเท่านั้นเข่าให้อ่อน ทรุดลงนั่งกับพื้น มองดูวัวตัวนั้นด้วยความตื่นตะลึง
ไม่เชื่อ
กลืนน้ำลายได้หนึ่งเอื๊อก ขนลุกซู่ทั้งตัว เมื่อยืนขึ้นได้ ผมจึงรีบวิ่งกลับบ้าน เหนื่อยหอบ เมื่อถึงบ้าน ล้มตัวนอนบนเตียง มีเรื่องวุ่นให้คิด แต่ผมไม่รู้จะคิดอะไรดี ภายในหัวคงปั่นป่วนไปหมด คลังความรู้ในสมองคงถูกรื้อค้นจนกระจุยกระจาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คืนนั้นผมนอนหลับ แม้จะไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน อย่างไร ก็ตามที
จากคุณ :
อุปกรณ์ประกอบฉาก
- [
7 ก.พ. 49 20:30:14
]