CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คนชอบอุ้ม (บันทึกของคนเดินเท้า)

    บันทึกของคนเดินเท้า

    คนชอบอุ้ม


    เรื่องที่จะบันทึกต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับคนกลางคืนไม่ว่าจะหนุ่มมากหรือหนุ่มน้อย ที่ชอบชวนเด็กบริการสาว ในร้านอาหารหรือคาราโอเกะหรือสถานอาบอบนวด ออกไปทำกิจกรรมส่วนตัวในตอนดึก เพราะลักษณาการเช่นนั้น เขาเรียกว่าหิ้ว

    แต่เป็นเรื่องของผู้ไม่หวังดี หรือผู้ก่อกวนความสงบ หรือมือที่สาม ที่มักจะอุ้มผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตน เอาไปทำมิดีมิร้าย เพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งที่เป็นเรื่องอันควรและมิควรประพฤติ

    อย่างเรื่องที่พอจะจำกันได้เช่น ทนายความที่รับว่าความให้จำเลย ซึ่งเป็นผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ หายไปก่อนที่จะได้ว่าความแม้แต่นัดเดียว

    หรือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร คราวสุดท้าย คนหนึ่งตอบนักข่าวที่ถามว่า คืนสุดท้ายก่อนลงคะแนน จะทำอะไร
    เขาตอบว่า ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน เพราะกลัวจะถูกอุ้ม เหมือนเมื่อครั้งที่มีเรื่องบาดหมางกับตำรวจ ก็หายตัวไปสองสามวัน แต่โชคดีที่กลับมาได้ ซึ่งตำรวจหาว่าแจ้งความเท็จ ซึ่งอาจจะต้องพิสูจน์กันในศาลยุติธรรม

    แต่คราวนี้เป็นเรื่องของการอุ้มไปเรียกค่าไถ่ ซึ่งผู้ที่ถูกอุ้มเป็นเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในเรื่องราวอะไรเลย แต่กลับต้องเป็นผู้รับบาปแทนผู้ใหญ่ที่เป็นบิดามารดา

    เรื่องแรกเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม เวลา ๑๐.๓๐ น. นายร้อยเวร สถานีตำรวจภูธร อำเภอหาดใหญ่ ได้รับแจ้งจากนางอวบ บ้านอยู่ที่ถนนจิระนคร อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ว่า

    ด.ญ.ต้อย (นามสมมุติ) อายุ ๑๐ ปี ได้ถูกชายวัยรุ่นคนหนึ่งอุ้มขึ้นรถจักรยานยนตร์ ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ในขณะที่กำลังวิ่งเล่นอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านพักหัวหน้าพนักงานเทศบาลเมืองหาดใหญ่  ขับขี่หลบหนีไปทางถนนเพชรเกษม

    หลังรับแจ้งเหตุแล้ว เจ้าหน้าที่ก็วิทยุให้ตำรวจสายตรวจ ออกสกัดจับรถจักรยานยนตร์คันดังกล่าวโดยด่วน

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจได้พบ ด.ญ.ต้อย ยืนร้องไห้อยู่เพียงลำพัง ที่บริเวณหน้าวัดคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ ๕ กิโลเมตร จึงนำตัวขึ้นรถสายตรวจมามอบให้นายร้อยเวร

    จากการสอบสวนได้ความว่า หลังจากที่คนร้ายได้อุ้มเอาตัว ด.ญ.ต้อยขึ้นรถไปแล้ว ระหว่างทางคนร้ายได้ถามเด็กน้อยว่า เดี๋ยวนี้พ่อกินเหล้ามากไหม  

    เด็กหญิงตอบว่าพ่อไม่กินเหล้า คนร้ายชักเอะใจจึงถามว่าพ่อทำงานอะไร เด็กตอบว่าพ่อเป็นคนกวาดถนน

    เท่านั้นเองคนร้ายถึงกับบ่นพึมพำ แล้วปล่อยตัวหนูน้อยไว้ที่บริเวณหน้าวัดดังกล่าว แล้วขับรถหนีไป

    หลังการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า คนร้ายรายนี้อาจต้องการจับตัวบุตรสาวของหัวหน้าพนักงานเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ไปเรียกค่าไถ่ แต่พอรู้ว่าผิดตัวจึงปล่อยเด็กแล้วหลบหนีไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

    เรื่องจริงรายนี้ หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า โจรค่าไถ่จอมเซ่อ ไล่จับลูกคนกวาดถนนผิดตัว ต้องปล่อย  ซึ่งก็คงจะไม่เกินความจริงมากนัก

    อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่อำเภอหาดใหญ่เหมือนกัน แต่เป็นเวลาก่อนหน้านั้น คือวันที่       ๗ เมษายน  เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ ได้รับแจ้งจากนายเจริญและนางอุบล เจ้าของร้านขายไอสกรีม ในศูนย์การค้า เขตเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ว่า

    มีคนร้ายสองคน ใช้รถเก๋งเปอโยต์เป็นพาหนะ บุกจับกุมตัว ด.ช.รุต (นามสมมุติ) อายุ ๘ ขวบ บุตรของตนพาหนีไป เมื่อเวลา ๑๓.๐๐ น.

    ต่อมาคนร้ายได้ติดต่อขอเงินค่าไถ่เป็นจำนวนเงินสามล้านบาท นายเจริญได้ต่อรองขอจ่ายห้าแสนบาท แต่คนร้ายยืนยันขอเจ็ดแสนบาท โดยนัดหมายส่งมอบเงินบนถนนระหว่างอำเภอนาทวี-ปัตตานี  

    และคนร้ายปล่อยตัว ด.ช.รุต คืนให้เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน เวลา ๒๑.๐๐ น. โดยคนร้ายได้ว่าจ้างโชเฟอร์รถสองแถวให้นำเด็กมาส่งที่แฟลต ถนนแสงจันทร์ เขตเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ซึ่งอยู่ติดกับบ้านพักของนายเจริญ โดยให้ค่าจ้าง ๑๕๐ บาท

    เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.หาดใหญ่ จึงส่งสายสืบมือดี ออกหาตัวคนร้ายทั้งสอง จนได้ทราบว่าอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้นำกำลังตำรวจ ๔ นาย ออกเดินทางไปขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.เมือง สุราษฎร์ธานี วางแผนจับกุมคนร้ายทั้งสอง

    ในวันที่ ๘ พฤษภาคม เวลา ๒๓.๐๐ น. กำลังตำรวจทั้งสองหน่วยจึงได้เข้าล้อมจับกุมตัว นายวง  และนายศักดิ์ (นามสมมุติทั้งคู่) ไว้ได้โดยละม่อม ขณะที่คนร้ายกำลังนอนอยู่ในมุ้ง

    ทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อหา และซัดทอดไปถึงเพื่อนร่วมแก๊งที่ยังเหลือ

    ดังนั้นในวันที่ ๙ พฤษภาคม เวลา ๒๒.๐๐ น. เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุมตัว นายดำ (นามสมมุติเหมือนกัน) ขณะกำลังขับรถแท็กซี่จะพาผู้โดยสารไปที่ตลาดพุนพิน ได้โดยละม่อมอีกเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวคนร้ายทั้งสาม ไปดำเนินคดีที่ สภอ.หาดใหญ่ สถานที่เกิดเหตุต่อไป

    รายนี้ไม่ได้เซ่อเหมือนรายแรก แต่ใช้คนร่วมมือมากเกินความจำเป็น จึงถูกไล่ล่าได้โดยไม่ยากนัก

    รายสุดท้ายเกิดขึ้นในเขตของสถานีตำรวจนครบาลบางรัก กรุงเทพมหานครนี่เอง เมื่อ นายประธาน ผู้จัดการบริษัทที่ผลิตครีมกำจัดสิวฝ้า อายุ ๓๓ ปี กับ นางศิริพร ภรรยาอายุ ๓๐ ปี  ได้เข้าแจ้งความกับนายร้อยเวรว่า ลูกสาวของตนอายุ ๗ ขวบ ชื่อ ด.ญ.เง็ก (นามสมมุติ)  ได้ถูกคนร้ายสองคนลักพาตัวไปจากบ้านในซอยสว่าง ถนนพระราม ๔ แขวงมหาพฤฒาราม กรุงเทพมหานคร ในขณะที่ตนและภรรยาไม่อยู่บ้าน มีแต่สาวใช้ผู้เลี้ยงและดูแลเด็กเท่านั้น

    สาวใช้คนดังกล่าวได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ขณะที่ตนพาเด็กน้อยออกมาซื้อของเล่นหน้าบ้าน ก็มีชายสองคนขับรถยนตร์เก๋งสีแดง ติดฟิล์มกรองแสง และไม่มีเลขทะเบียน มาจอดที่หน้าบริษัทและเข้ามาในบ้านพัก เอาปืนจี้ตนและกระชากตัวเด็กหญิงไปต่อหน้าต่อตา และก่อนหลบหนีไปได้ทิ้งจดหมายไว้ให้ฉบับหนึ่ง

    ใจความในจดหมายนั้นคนร้ายได้เขียนไว้ว่า ให้เตรียมเงินสดจำนวนสามล้านบาท ไว้คอยไถ่ตัวลูกสาว และห้ามแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันขาด พร้อมกับถ้ายังทำลูกเล่นหรือบิดพริ้ว จะเด็ดชีวิตลูกสาวของตนเสีย โดยให้คอยรับฟังการติดต่อทางโทรศัพท์ทุกระยะ

    ซึ่งเรื่องนี้ทั้งสองสามีภรรยาและบรรดาญาติ ได้พยายามบิดบังจะไม่ให้ล่วงรู้ไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สุดท้ายทนรอไม่ได้จึงได้มาแจ้งความ

    ทั้งสองได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้สอบสวนว่า เมื่อประมาณสองเดือนก่อนได้มีคนร้ายโทรศัพท์มาที่บ้าน ขู่ว่าให้ระวังตัวไว้จะมาลักพาลูกสาวไปเรียกค่าไถ่ให้ได้ แต่ตนไม่กล้าบอกตำรวจ และได้พยายามระวัดระวังไม่ให้ลูกสาวออกจากบ้านตามลำพัง แต่ก็มาพลาดจนได้ เพราะลูกสาวรบเร้าให้คนใช้พาออกไปซื้อขนมและของเล่นนอกบ้าน จนกระทั่งพวกโจรปฏิบัติการจองเวรได้สำเร็จ

    หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เช่นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บังคับการตำรวจนครบาลใต้ และรองผู้บังคับการ กับสารวัตรสืบสวนได้ร่วมประชุมวางแผน เพื่อพิชิตโจรเรียกค่าไถ่รายนี้อย่างเร่งด่วน

    โดยขั้นแรกได้ติดต่อไปยังองค์การโทรศัพท์ให้ตรวจเช็คหมายเลขโทรศัพท์ทั้งที่บริษัทและที่บ้านของเจ้าทุกข์ ตลอดเวลาว่ามีการติดต่อจากคนร้ายอีกหรือไม่ และมาจากจุดใด

    กับเอาตัวเจ้าทุกข์ และสาวใช้ไว้สอบสวน โดยไม่ยอมให้พบกับผู้สื่อข่าวและบุคคลภายนอกแม้แต่คนเดียว

    พร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้ส่งกำลังออกตรวจค้นตามจุดต่าง ๆ ที่สงสัย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะได้วี่แววของเด็กน้อยแต่อย่างใด

    จนกระทั่งต่อมาอีกวันหนึ่ง ได้มีพลเมืองดีสามคนคือ น.ส.ประไพพร อายุ ๑๕ ปี น.ส.ดารินทร์ อายุ ๒๒ ปี และนายวิชาญ อายุ ๒๖ ปี ทั้งสามเป็นพนักงานเสริฟอาหาร นักร้อง และนักดนตรี ทำงานอยู่ในร้านอาหารบางนาการ์เดนท์ด้วยกัน ได้เลิกงานและจะกลับบ้านพักของแต่ละคน ซึ่งอยู่ในเขตพระโขนง กทม. และอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

    ได้นำตัวเด็กหญิงคนหนึ่งมาให้นายร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางนา ในสภาพอิดโรยและร้องไห้คร่ำครวญ เรียกหาพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา

    หนุ่มสาวทั้งสามให้การว่า เมื่อเลิกงานจากร้านอาหารในตอนดึก และพากันเดินตามถนนสายบางนา-ตราด มาจนใกล้จะถึงแยกบางนา ห่างจาก สน.บางนา ประมาณ ๒๐ เมตร

    ก็เห็นรถจักรยานยนต์สีแดงไม่มีหมายเลขทะเบียนคันหนึ่ง มีชายสองคนขับขี่และซ้อนท้าย แล่นมาจอดที่ฝั่งตรงข้ามธนาคารกรุงเทพ สาขาบางนา ชายที่ซ้อนท้ายได้ลงจากรถมายืนอยู่บนถนน จึงทำให้เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ระหว่างกลาง

    และชายคนนั้นก็อุ้มเด็กหญิงวิ่งข้ามถนนมายังป่าละเมาะข้างธนาคารดังกล่าว  แล้วก็โยนร่างของเด็กน้อยลงบนกอหญ้า และวิ่งกลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนยังติดเครื่องรออยู่ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

    หนุ่มสาวทั้งสามเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตลอด จึงพากันเดินไปดูที่ซึ่งคนร้ายนำเด็กมาโยนทิ้งไว้ เมื่อถึงที่เกิดเหตุเด็กน้อยก็วิ่งเข้ามากอดขา น.ส.ประไพพร ซึ่งเดินนำหน้า ด้วยทีท่าหวาดกลัวแล้วขอให้พาไปส่งบ้านด้วย

    ทั้งหมดเชื่อแน่ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้ จึงพากันมาแจ้งความทันที

    เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ปลอบโยนเด็กน้อย พร้อมกับหาข้าวต้มมาให้รับประทาน เพราะเชื่อว่าเด็กยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย

    จากการสอบสวนเด็กน้อยไม่สามารถจะลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เลย แต่ทราบว่าเป็น ด.ญ.เง็ก บุตรสาวของผู้จัดการบริษัทผลิตครีมกำจัดสิวฝ้า ที่ถูกลักพาตัวไปแน่

    จึงแจ้งให้ สน.บางรัก เจ้าของคดีรับทราบ และแจ้งให้บิดามารดาของเด็กน้อยทราบว่าขณะนี้บุตรสาวปลอดภัยแล้ว รีบมารับตัวไปได้

    เมื่อนายประธาน กับนางศิริพร ได้มาถึงสถานีตำรวจ ทันทีที่เห็นหน้ากัน สามพ่อแม่ลูกก็ส่งเสียงร้องไห้ระงม วิ่งโผเข้าหากันและกอดรัดด้วยความดีใจเป็นที่ตื้นตันแก่ผู้ที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก

    พอนางศิริพรได้ทราบว่า น.ส.ประไพ เป็นผู้พบเห็นและพาตัวบุตรสาวมาส่งให้เจ้าหน้าที่ นางก็ก้มลงกราบที่แทบเท้าของ น.ส.ประไพพร โดยไม่อับอายใคร พร้อมกับพร่ำพูดคำขอบอกขอบใจ ด้วยความกตัญญูรู้คุณอยู่ตลอดเวลา

    สำหรับคนร้ายที่ปล่อยตัวเด็กน้อยกลับมาสู่อ้อมอกของพ่อแม่ ด้วยความปลอดภัยนั้น เจ้าหน้าที่คาดว่าคนร้ายคงแน่ใจว่าถ้ายังขืนกักขังหรือนำตัวเด็กน้อยหลบหนี ก็คงจะไม่รอดจากการตามล่าตัวของเจ้าหน้าที่ไปได้ จึงตัดสินใจเขียนแผนที่บ้านของเด็ก ใส่ไว้ในกระเป๋า และนำตัวมาทิ้งไว้ในที่ดังกล่าว เพื่อให้คนที่มาพบเห็นได้พาเด็กกลับบ้าน และตัดการตามล่าของเจ้าหน้าที่เสีย

    จึงนับว่าเป็นโชคดีของ นายประธานและนางศิริพร อย่างมากที่สามารถได้ตัวลูกสาวคืนมาโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ถึงสามล้านบาท แต่ประการใด

    ป่านนี้เด็กชายและเด็กหญิงในข่าว ก็คงจะเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ไปหมดแล้ว เพราะเหตุระทึกขวัญเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕

    เมื่อ ๒๔ ปีที่ผ่านมานั่นเอง.

                                 ##########

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 8 ก.พ. 49 06:06:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป