สวัสดีปีใหม่ 49
๑๙๑๒๔๘
ซา-หวัด-ดี-ปีใหม่ อีกครั้งหนึ่งถึงจะช้าไปหน่อยนะคะ ปีนี้ที่บริษัทฉันจะจัดงานปีใหม่ ตอนแรกจะจัดในวันที่ ๒๕ ซึ่งเป็นวันคริสต์มัส แต่ปรากฏว่า น้อง ๆ นักเรียนสัมมาสิกขาจะต้องเดินทางไปเตรียมงานปีใหม่ตลาดอริยะเลยเลื่อนขึ้นมาเป็นวันที่ ๑๙๑๒๔๘ เพื่อให้น้อง ๆ ได้อยู่ร่วมงานด้วย
บริษัทของฉันเป็นฐานงานให้นักเรียนสัมมาสิกขาได้มาฝึกงานต่าง ๆ เกี่ยวกับด้านพาณิชย์ มีเด็กฐานทั้งหมด 5 คน เรียนอยู่ ม. ๑ คนหนึ่ง อีก ๔ คนเรียนชั้น ม. ๔ เด็กจะต้องมาเข้าฐานช่วงเช้าเวลา ๖.๓๐ น. จนถึง ๘.๓๐ น. เด็ก ๆ จะออกจากฐานไปขึ้นศาลาฟังธรรม พร้อมรับประทานอาหาร กลับมาเข้าฐานอีกครั้งเวลา ๑๑โมงจนถึง บ่าย ๒.๑๕ น. ครูฐานผู้ดูแลเด็กจะมาพูดคุยกับเด็ก ๆ ทุกวัน ก่อนปล่อยออกจากฐานไปเข้าเรียนเวลา บ่าย ๓ โมงเย็นถึง ๕ โมงเย็น
เราเข้าบรรยากาศงานปีใหม่กันเลย
.
ช่วงเช้าน้อง ๆ สัมมาสิกขาพอว่าง ก็รีบจัดเตรียมสถานที่ ตกแต่งประดับประดา เราจัดงานกันที่โกดังสินค้า ฉันรีบเคลียร์งานประจำวัน แต่ก็ยังไม่เสร็จอยู่ดี ตอนบ่ายเริ่มห่อของขวัญ ของขวัญปีนี้ที่ฉันเอามาจับฉลากเป็นผ้าพันคอ ห่อด้วยกระดาษดับเบิ้ลเอสีแดงแป๊ดเหมือนปีที่แล้วเลย แต่งโบว์เองเหมือนเดิม เก๋ไก๋มากเหมือนเดิม
ขอบอก(อีกที) จนลูกน้องต้องเอาตามอย่างลูกพี่เลย ฮี่
ฮี่
เสร็จก็เริ่มห่อของขวัญส่วนกลาง กับของคนที่เอามาให้ช่วยห่อ ห่อ ๆ ไปเกิดอาการเครียด แล้วก็มีโทรศัพท์ถึงฉันตลอดให้หงุดหงิดรำคาญใจ เพราะว่าเราไม่ได้ปิดร้านยังเปิดทำการอยู่ ที่เริ่มเครียดเพราะดูเวลากับของขวัญแล้ว คงทำไม่ทันกันแน่ ๆ โชคดีตอนเย็นพี่เมย์มาช่วยห่อ ว่าจะโทรบอกเขาให้มาร่วมงานยังลืมเลย ได้แต่คิดไว้ในใจ แหม
น่าจะโทรเรียกให้มาช่วยห่อของขวัญตั้งแต่เช้าแล้ว ห่อของขวัญเสร็จค่อนข้างช้า มีน้อง ๆ สัมมาสิกขาฯ มาช่วยทำบัตรจับฉลาก ติดหมายเลขของขวัญ ดีจังเลย (ค่อยยิ้มออกหน่อย) แล้วก็ทยอยขนของขวัญลงไปที่บริเวณงานตั้ง 6 โมงเย็นกว่าแล้ว จัดวางของขวัญอย่างเป็นระเบียบ แบ่งโซนตามหมายเลข เพื่อง่ายต่อการค้นหา ซื้อริบบิ้นมาทำโบว์ห่อของขวัญ ไม่ได้ใช้เลย เพราะไม่มีเวลาจะทำ น้อง ๆ ช่วยกันดีมาก ๆ ฉันเลยสบายไม่ต้องทำอะไร เด็ก ๆ ดูตื่นเต้นกับของขวัญ คอยดูแล จัดการอย่างเอาใจใส่
คนที่มาร่วมงานจากบริษัทใกล้เคียง เพื่อนบ้านที่รู้จัก ญาติธรรมต่าง ๆ ก็แวะมาร่วมงาน นำของขวัญมาร่วมจับฉลาก ที่วางของขวัญคือกระสอบข้าวที่เอามาวางซ้อน ๆ กัน มีคอมพิวเตอร์ไว้คาราโอเกะอยู่ตรงกันข้ามกัน
ฉันเพิ่งได้กินข้าวตอนเย็นนี่เอง เมนูเด็ดได้แก่ ขนมจีนน้ำยา กับน้ำยาป่า อันนี้กินไม่ทันเขา หมดก่อน ว้า
เห็นบอกกันว่าอร่อยมาก ได้กินผัดกระเพราะร้อน ๆ อร่อยถูกใจมาก ๆ ข้าวร้อน ๆ นุ่ม ๆ กินกับผัดกระเพราะร้อน ๆ หืม
สุดจะบรรยายได้ถึงความอร่อยอย่างลงตัว อิอิ จะกินราดหน้าก็ไม่ทันเขาอีก หมดก่อน เหลือแต่เส้นราดหน้า ได้กินวุ้นกระทิ ลูกค้าที่ส่งของทำมาร่วมรายการ มีแพนเค้กธัญพืช ฝรั่ง นอกนั้นกินไม่ลง อิ่มมาก ๆ กินข้าวไม่ค่อยลงไม่รู้เป็นอะไร แต่ว่าเดินไปตักอาหาร ๓-๔ รอบนะ แฮ่
แฮ่
ฉันพยายามลงโปรแกรมนิคคาราโอเกะมาหลายวัน จนถึงวันงานก็ยังลงไม่สำเร็จ เพราะซาวด์การ์ดมันไม่ยอมรับกับโปรแกรม น้องชายคนเก่งก็ติดงานไปส่งของให้ลูกค้า แต่แก้ปัญหาคือ คุณสมพงษ์จะมาเล่นดนตรีในงานจะกลับไปเอาเครื่องดนตรี เครื่องเสียงที่บ้านฉันมา น้องฉันเลยให้เอาซีพียูของที่บ้านมาเปิด ก่อนถึงวันงานฉันกับลูกน้องซ้อมร้องเพลงกัน ว่าจะมาโชว์กะเขาซักกะหน่อย ซัก ๓-๔ เพลงก็พอ ฮี่ ๆ ปรากฏว่า ถึงเวลา จอคาราโอเกะ ไม่ว่างเลยแฮะ มีคนจับจองร้องเพลงเป็นแถว แน่นตลอด คิวยาวเชียว ไมล์ไม่ว่างซะเลย มีไมล์ลอยตั้ง 4 อัน ไม่ว่างซักกะอัน เลยไม่ร้องดีก่า อิอิ
ฉันเจอนายพล(เขาเป็นใบ้) ถามเขาว่าไม่ร้องเพลงเหรอ เขาส่ายหน้า แล้วนึกได้ว่าเขาพูดไม่ได้ ชี้มือว่าฉันแกล้งใหญ่เลย ฮา
.
ของขวัญเยอะมาก มีร้อยกว่าชิ้นแหนะ บางคนได้จับตั้ง ๒ รอบแหนะ มีน้องคะทาชรเอาแชมพูมาให้ ๑ ลัง ๓๐ ขวด มีป้าคนหนึ่งเอานมแลคตาซอย ๑ โหลมาให้จับฉลาก ให้แยกเป็นกล่อง ๆ ตอนที่พิธีกรจำเป็นกล่าวว่า ใครที่อายุ ๓๐๔๐ ปี ให้ออกมาจับฉลากได้ ฉันก็เลยวางจานข้าว แล้วออกไปจับฉลาก ในใจภาวนาว่า เพี้ยง! อย่าจับได้แชมพูกับนมเล้ย!! เพี้ยง!! (แชมพูที่บริษัทขายพนักงานสามารถเบิกใช้เป็นสวัสดิการได้อยู่แล้วอ่ะ) ปรากฎว่า ฉับจับได้กล่องมือถือ พี่เมย์ดีใจมาก ๆ เมื่อเห็นฉันจับได้กล่องนี้ ทำเอาฉันพลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย นึกว่าฉันจับได้มือถือน่ะสิ! จริง ๆ มันมีแต่กล่องไง ฮา
สรุปว่าฉันได้ที่ใส่ซีดีเป็นรูปแฮมเบอร์เกอร์ กับถ้วยพลาสติก ๑ ใบ แล้วก็การ์ดอวยพร
งานเลิกประมาณ ๓ ทุ่ม ก็เก็บข้าวของ คะทาชรขับรถเอาเครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปส่งถึงบ้านฉันเลย น้องชายคนนี้ เป็นอภิชาตบุตร สามารถทำให้พ่อแม่มาศึกษาธรรมะได้ ทำให้พ่อแม่ปฏิบัติธรรมได้ เรียกว่าสามารถทำให้พ่อแม่ดวงตาเห็นธรรมได้ กินมังสวิรัติทุกคน พ่อแม่จะตัดสินใจทำอะไร หรือมีปัญหาตกลงกันไม่ได้ ต้องให้คะทาชรตัดสิน ต้องถามความเห็นลูกชายตลอดทุก ๆ เรื่อง น่าชื่นชมมาก ๆ แบบนี้เรียกว่า ทดแทนบุญคุณพ่อแม่หมดแล้ว สามารถเปลี่ยนจิตวิญญาณของพ่อแม่ได้ เยี่ยมมาก ๆ ที่หลังบ้านน้องชายคนนี้ ปลูกผักสวนครัว เช่น ถั่วฝักยาว อร่อยมาก ฝักอวบ รสหวานมาก ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ถามเขาว่า ปลูกขายเหรอ เขาบอกว่า ไม่ครับ แจกครับ ขนมาให้ ชมร. ทำอาหารขายประจำ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงก็ให้ไปเอาขี้แพะได้ฟรี เกิดการช่วยเหลือ ให้แบ่งปันกัน ที่บ้านสกลนคร พ่อกับแม่ก็ปลูกแตงโมอร่อยมาก ๆ ไร้สารพิษ แต่ปลูกให้วัด ไม่ขาย โห! เก็บ ๆ กองไว้ มีคนมาขโมยอีกต่างหาก ประทับใจน้องเขามาก ๆ เลย
๒๙๑๒๔๙
เช้านี้ตื่นตี ๕ เศษ เตรียมเดินทางไปราชธานีอโศก พอรถบัสออกเดินทาง ฉันก็หลับตามระเบียบ ประมาณ ๙ โมงไปถึงลำตะคอง สวนท้าวสุรนารี เราไปหาที่หม่ำกันที่ก้อนหินเหมาะ ๆ ก้อนหนึ่ง หินก้อนนั้นทำหน้าที่เหมือนโต๊ะกินข้าวญี่ปุ่นให้กับพวกเรา อี่ ๆ กินเสร็จออกเดินทางต่อ ถึงราชธานีประมาณเกือบ ๕ โมงเย็น
ตอนค่ำมีหนังฉายเรื่อง Sister เป็นหนังจีน อาจจะดูไม่สนุกตื่นเต้น ดำเนินเรื่องง่าย ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าดูดีดีเป็นหนังที่ให้ข้อคิดกับเด็ก ๆ ที่ยังอยู่วัยเรียน เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งชื่อเซียนหนาน เขากำลังเขียนจดหมายถึงพี่สาว เล่าตั้งแต่เริ่มต้นรู้จักพี่สาว ในวันที่เขาเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ชนบทอันทุรกันดาร อยู่ในหุบเขา ห่างไกลความเจริญ พ่ออยากให้ลูกรู้จักชีวิตของเด็กชนบท ที่ชนบทอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีหลาน ๆ อยู่ ๓ คน เป็นหญิง ๑ คนชื่อเสี่ยวเหม้ย และชาย ๒ คน เด็กชายคนหนึ่งเป็นน้องสาวของเสี่ยวเหม้ย ตอนไปถึงเสี่ยวเหม้ยกำลังแบกฟืนอยู่ เธออายุประมาณ 12 ขวบ ตัวเล็ก ๆ เธอไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะพ่อไม่ให้เรียน ต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก มีหน้าที่เลี้ยงเป็ด ซักผ้า ทำงานบ้าน แต่เธอก็ไม่เคยบ่นซักคำเดียว ไม่เคยเรียกร้องว่าเธอลำบาก ไม่เคยนั่งน้อยใจกับโชคชะตาของตัวเองที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่น เงินที่ได้มาต้องเก็บไว้เพื่อให้น้องชายของเธอได้เรียน
พ่อของเสี่ยวเหม้ยเป็นคนติดเหล้า เมียหนีไปเพราะเขาเป็นคนช่างด่า เดินขากระเพลก ๆ มีอาชีพเอาเป็ดไปขายในเมือง เวลาเสี่ยวเหม้ยทำอะไรไม่ถูกใจ พ่อจะตบหน้า และทุกครั้งที่ถูกตบตี เลือดกำเดาจะไหล
หลังจากเสี่ยวหนานเดินทางไปถึง ก็ทำตัวเป็นหัวโจก คุยโอ่ถึงความร่ำรวย วัตถุข้าวของที่ตนเองมี อยากได้อะไรพ่อจะซื้อให้ เดี๋ยวจะให้พ่อซื้อโน่นซื้อนี่ให้ พ่อของเสี่ยวหนานธุรกิจมีปัญหา ต้องรีบกลับก่อน ตอนนั้นเซียนหนานไปเล่น เสี่ยวเหม้ยจึงไปเดินตามหา พอตามเจอก็บอกว่า พ่อจะกลับแล้วให้ไปหาด่วน พวกเด็กผู้ชายก็ไม่เชื่อหาว่า เสี่ยวเหม้ยโกหก พากันหัวเราะเยาะ ทำให้พ่อเซียนหนานรอไม่ได้ ต้องกลับก่อน
ระหว่างที่เสี่ยวเหม้ยเลี้ยงเป็ด จะแอบเอาหนังสือที่ซ่อนไว้ในโพรงหญ้ามาหัดอ่าน ตอนค่ำเธอจะแอบหัดคัดลายมือ ถ้าพ่อเธอมาเห็นว่าเธอหัดอ่านหนังสือ หรือเขียนหนังสือจะถูกตบ หนังสือที่เธอเขียนจะถูกฉีกทิ้งเป็นชิ้น ๆ พวกเด็กผู้ชายที่ได้เรียนกลับเอาแต่หนีไปเล่น
เด็ก ๆ พากันไปเล่นขโมยเอาไข่นกมา แล้วพากันไปขโมยเป็ดที่เสี่ยวเหม้ยเลี้ยงไว้มาฟักไข่นก ตอนที่เสี่ยวเหม้ยเผลอหลับไป พอเธอตื่นมานับเป็ดดูก็รู้ว่าหายไปตัวหนึ่ง เธอรีบวิ่งออกตามหาไปทั่ว ตะโกนร้องเรียกเป็ดตลอดเวลา เด็กผู้ชายได้แต่มองเธอวิ่งหาเป็ดไปมา ไม่ยอมบอกว่าเป็ดอยู่ที่ไหน เอาเป็ดไปซ่อนไว้ จนเป็ดตาย เมื่อพ่อกลับมา เธอถูกพ่อตบตี เลือดกำเดาออก ทุกครั้งที่ถูกเด็ก ๆ แกล้ง เธอไม่เคยฟ้องใคร ไม่เคยพูดแก้ตัวซักคำเดียว ไม่เคยบอกว่าใครเป็นคนทำที่แท้จริง เป็นคนอดทนมาก วันนั้นฝนตกหนัก เธอล้มป่วยลงจนต้องส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่า เม็ดเลือดขาวเธอมีน้อยมาก ต้องใช้เงินรักษามากเป็นแสน ๆ
ครอบครัวของเธอยากจนเกินกว่าจะมีเงินรักษา คนในครอบครัวพยายามเลี่ยไรเงินจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน จนถึงในตำบล เซียนหนานเสียใจมาก เอาเงินที่มีติดตัวทั้งหมดมาให้ โทรไปหาพ่อ ให้เอาเงินมาช่วยรักษาเธอ ไปเฝ้าไข้ และสัญญากันว่า ถ้าเธอหาย จะพาเธอไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ เสี่ยวเหม้ยมีความตั้งใจว่า เธออยากจะทำงานมีเงินเยอะ ๆ อยากพาพ่อไปเซี่ยงไฮ้ ไม่อยากให้พ่อกินเหล้า เธอรู้ว่า พ่อเธอกินเหล้าเพราะคิดถึงแม่ ถ้าพ่อเธอเลิกกินเหล้ายังไม่ได้ เธออยากพาพ่อไปกินเหล้าแพง ๆ เหมือนคนอื่น แต่เธอก็ไม่อาจทำอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เธอเสียชีวิต เซียนหนานได้แต่เสียใจ เขาเขียนจดหมายถึงเสี่ยวเหม้ยเพื่ออยากจะขอโทษกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยแกล้งเธอต่าง ๆ นา ๆ สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เป็นคนดี เขาก็ได้แต่เขียนจดหมายถึงพี่สาว พี่สาวที่ไม่มีวันจะได้อ่านมัน ดูไปน้ำตาคลอไป แฮ่
จากคุณ :
ริเศรษฐ์
- [
9 ก.พ. 49 00:16:02
]