CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เพราะฉันไม่ใช่นางเอก ตอนที่ 4

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4002544/W4002544.html

    ตอนที่แล้ว

    ==========  

    ตอนที่ 4

    ใต้ร่มหลังคาจากยกสูง  เมื่อย่างเท้าเข้ามา  ความร้อนระอุจากภายนอกกกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์  คนงานหลายคนกำลังนั่งขมักเขม้นหั่นฟักทอง  กล้วย  มะละกอ  ให้เป็นชิ้น ๆ   ใส่ไว้เป็นเข่ง ๆ  มีถังพลาสติกขนาดใหญ่รายล้อมรอบบริเวณ  มีกลิ่นแปลก ๆ อบอวลอยู่ทั่วไป  ต่างจากก่อนหน้านี้เดินผ่านมามีแต่กลิ่นมะนาวมะกรูดหอมอบอวล  เพราะบริเวณนั้นหมักมะนาวและมะกรูดไว้เพื่อใช้ซักผ้าล้างจาน  ผู้จัดการไร่พาหลานสาวเจ้าของไร่เดินสำรวจโรงปุ๋ยหมักชีวภาพแต่ละแห่ง จนมาถึงที่นี่เป็นแห่งสุดท้าย  พลางอธิบายประกอบว่า  ที่เธอเห็นคนงานกำลังหั่นฟักทอง  กล้วย  มะละกอนั้น  เป็นปุ๋ยสูตรเร่งดอก  หั่นแล้วจะนำไปหมักรวมกันโดยเติมน้ำเปล่าและน้ำตาลลงไป  หมักเป็นระยะเวลา 3 เดือนจะได้หัวเชื้ออย่างดี  นำหัวเชื้อนั้นไปเติมน้ำสิบเท่าและน้ำตาลเพื่อขยายเชื้อได้อีก  ก่อนนำปุ๋ยไปรดต้นไม้ต้องผสมน้ำตามอัตราส่วนปุ๋ยหมักหนึ่งส่วนต่อน้ำสิบส่วน

    ผู้จัดการไร่หนุ่มยกข้อมือขึ้นดูเวลา  ก่อนจะพูดต่อไปว่า
    “วันนี้คุณตะเกียงอยู่ที่นี่นะครับ  ผมมีนัดกับลูกค้า  แล้วตอนเย็นจะกลับมารับ”

    เด็กสาวหันมามองรับทราบ  ใจอยากไปด้วย  แต่รู้ดีว่า  เขาคงไม่ให้ไป  และเธอคงไปเกะกะเขามากกว่า  เลยจำใจรอเขาอยู่ที่นี่

    “ดอกแคร์”  ชายหนุ่มขาลเรียกชื่อเด็กสาววัยใกล้เคียงกันกับหลานสาวเจ้าของไร่

    “คะ  นาย”  เด็กสาวที่ถูกเรียกชื่อรีบเดินมายืนข้าง ๆ อย่างเรียบร้อย

    “ดูแลคุณรวิวารให้ดีนะ”  

    “ค่ะ นาย”  เธอรับคำ   แล้วมองเขาเดินออกไป

    “ให้ฉันช่วยนะ”  รวิวารรีบเสนอตัว  อันเป็นนิสัยที่ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ   ที่สำคัญเธออยู่ไม่อาจอยู่เฉยได้เลย เพราะอายเด็ก ๆ ในไร่ที่มีงานต้องทำต้องรับผิดชอบกันทุกคน  แม้จะตัวนิดเดียวก็ต้องทำงานตามวัยของตัวเองที่พอทำได้

    “ค่ะ  งั้นช่วยหั่นฟังทองก็แล้วกันนะคะ”  ดอกแคร์จัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้หลานสาวเจ้าของไร่

    “ชื่อดอกแคร์หรอ  ชื่อเพราะจังเลย”  ชื่อนั้นให้ความรู้สึกเรียบง่าย  น่ารัก มองใบหน้าเจ้าของชื่อผิวพรรณขาวนวลราวกับดอกแคร์แรกแย้มสมชื่อ

    ดอกแคร์ยิ้มน้อย ๆ  

    “มาอยู่นี่นานแล้วหรอ”  ตะเกียงเริ่มถามคำถาม  พลางผ่าฟักทองออกเป็นสองท่อน

    “ตั้งแต่เกิดเลยค่ะ”  คนถูกถามตอบ  ก่อนใช้ช้อนคว้านเอาเม็ดฟองทองออกใส่ถาด

    “คุณท่านให้ความกรุณาครอบครัวของทุก ๆ คนมาก ๆ เลยนะคะ  ให้บ้าน  ให้ที่ดิน  ให้งานทำ   แต่มีข้อแม้ว่า  ห้ามกินเหล้า  สูบบุหรี่  เล่นการพนัน  หรือเที่ยวกลางคืนค่ะ”  

    ตะเกียงคิดตาม  มิน่าล่ะ!  เธอไม่เคยเห็นคนงานที่นี่สูบบุหรี่ซักคน   ตอนไปกินข้าวที่บ้านคนงานก็ไม่เห็นขวดเหล้าซักขวดเลย  เธอรู้สึกภาคภูมิใจคุณตาของเธอที่สามารถสร้างสัมคมเล็ก ๆ ที่ปลอดอบายมุขขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ

    “เรามีโรงเรียนเตรียมสำหรับเด็กเล็กด้วยนะคะ  นายระบิลเป็นครูช่วยสอนด้วยค่ะ”  ดอกแคร์เล่าถึงนายของเธออย่างชื่นชม  แววตาคู่นั้นดูมีความสุขเป็นประกายสดใส  

    “เหรอ  ฉันนึกว่าเขาไม่ชอบเด็กซะอีก”

    “นายเป็นคนดุ  เด็ก ๆ กลัวกันทั้งนั้นค่ะ  แต่ว่าถ้าเด็กคนไหนมีปัญหาอะไร  นายจะคอยช่วยตลอดค่ะ  ตอนที่ฉันยังเด็ก  ฉันก็กลัวนายมาก ๆ  แต่มีครั้งหนึ่ง  ฉันไม่สบายเป็นไส้ติ่งอักเสบค่ะ  ปวดท้องมาก   แม่ฉันไม่รู้จะทำยังไง  ตอนนั้นพ่อก็ไม่อยู่  แม่เลยวิ่งมาเรียกนาย   นายรีบมาช่วยทันทีเลยนะคะ  รีบหารถ  แล้วอุ้มฉันขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาลในเมือง”  เธอคิดย้อนกลับไปเมื่อตอนอายุ 15-16 ปี  ยังไม่เคยลืมสองแขนของชายหนุ่มที่คอยประคองเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างห่วงใยได้เลย

    “นายเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อดทนมาก  เป็นนักต่อสู้  เป็นคนบุกเบิกการทำกสิกรรมไร้สารพิษนี่ล่ะค่ะ  ถ้าไม่มีนายคงทำไม่สำเร็จอย่างทุกวันนี้นะคะ”

    รวิวารได้แต่นั่งฟังดอกแคร์เล่าถึงนายระบิลด้วยความเคารพรักและศรัทธา  มองแววตาชวนฝันของสาวน้อยดอกแคร์เป็นประกายสดใส  ดูมีความสุขที่ได้พูดถึง  นาย  ของเธอ

    หลานสาวเจ้าของไร่ซักไซร้ทุกขั้นตอนของการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ  และลงมือทำด้วยตัวเองทุกขั้นตอนอย่างสนใจ  มือเล็ก ๆ เปื้อนขี้ดินทั้งสองมือ   เนื้อตัวดูมอมแมมเชียว   ทำปุ๋ยหมักเสร็จแล้ว  ยังช่วยตักปุ๋ยน้ำใส่บัวรดน้ำไปรดผักที่อยู่รอบบริเวณ  งานง่าย ๆ  เหมือนเบา ๆ  แต่เมื่อต้องเดินหลายรอบ  ก็เหน็ดเหนื่อยเอาการไม่ใช่เล่นทีเดียว

    “เหนื่อยมั้ยคะ คุณหนู  พักทานน้ำก่อนค่ะ”  ดอกแคร์ยกน้ำมาบริการพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส

    “ขอบใจจ้ะ  นิดหน่อยนะ”  พลางรับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย  ใจนึกอยากกินน้ำแป๊บซี่จัง…  โค้กก็โอเคนะ…  บรรดาน้ำหวานต่าง ๆ   แต่มันก็ไม่มีให้กินซักกะน้ำเลย  เฮ้อ…ได้แต่คิดถึงความหวานเย็นชื่นใจของน้ำหวานสีสวยเหล่านั้น

    ผู้จัดการไร่กลับมาถึงสักพักใหญ่   เขายืนมองหลานสาวเจ้าของไร่กำลังเอาปุ๋ยน้ำรดผักในแปลงรอบ ๆ โรงปุ๋ยง่วนเชียวดูมีความสุขสนุกสนาน  แก้มของเธอแดงระเรื่อ  งดงามน่ามอง  ความงามจากการตั้งใจทำงาน  ไม่ย่อท้อต่อความร้อน  ความลำบาก  ภาพนั้นเป็นภาพที่น่ามองเหลือเกิน  จนเขาเผลอมองเธออยู่เป็นนาน

    “นายกลับมานานรึยังคะ”  เสียงใสของดอกแคร์เกือบทำให้ผู้จัดการหนุ่มสะดุ้ง  เขาละสายตาจากหลานสาวจอมแก่นมาหยุดไว้ที่ดวงหน้าของดอกแคร์

    “เพิ่งมาถึงได้สักครู่หนึ่งแล้ว  คุณตะเกียงเป็นไงบ้าง”

    “เธอเป็นคนสนใจพร้อมจะเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว  ขยันมาก ๆ ค่ะ  ไม่ยอมหยุดเลยนะคะ”  น้ำเสียงนั้นกล่าวถึงหลานสาวเจ้าของไร่อย่างชื่นชม

    “ขอบใจที่ช่วยดูแลนะ”

    “ยินดีมาก ๆ ค่ะ  นาย”  เด็กสาวยิ้มแก้มปริที่ได้รับคำชม

    “ช่วยดูแลเก็บข้าวของให้เรียบร้อยหลังเลิกงานด้วยนะ”  

    “ค่ะ  นาย”  รับคำแล้วเดินไปดูแลอุปกรณ์ในการทำงานให้เก็บเป็นที่เป็นทางอย่างเป็นระเบียบด้วยความรู้หน้าที่

    รวิวารวางบัวรดน้ำที่ล้างเรียบร้อยแล้ว  ยกแขนเสื้อซับเหงื่อตามหน้าผาก  เดินผ่านบรรดาถังพลาสติกตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว   มีทางเดินกว้างราวเมตรหนึ่ง  ขนาบข้างด้วยถังพลาสติกสูงเกือบหนึ่งเมตรไปตลอดตามแนวด้านยาวของโรงปุ๋ย

    นึกสงสัย?   ในถังมีอะไรอยู่น้า…มันจะเป็นยังไงหว่า…

    ว่าแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้  เอื้อมมือเปิดฝาถังพลาสติกที่หมักน้ำจุลทรีย์  ก่อนชะโงกหน้าลงไปดู  

    เด็กสาวร้องจ๊าก!!!

    เมื่อมองเห็นเหล่าหนอนขยุกขยุยยุกยิก ๆ อยู่ในถังนั้นยั้วเยี้ยเต็มไปหมด  รีบเบือนหน้าหนี  พร้อม ๆ กับเท้าที่กระโดดถอยออกมาอย่างรวดเร็ว  กระแทกคนที่มายืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    ผู้จัดการหนุ่มเซถอยหลังกระแทกเข้ากับถังพลาสติกที่ตั้งอยู่ด้านข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว  พื้นที่ทางเดินแคบทำให้เขาเสียหลักหงายหลังลงไปบนถังพลาสติกที่สูงแค่เอวอย่างง่ายดาย   ดีที่มีน้ำจุลินทรีย์อยู่เต็มถัง  ไม่งั้นคงล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า   เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะเอ่ยถามเธอว่า  กำลังดูอะไรอยู่  พร้อมจะอธิบายให้เธอฟังแท้ ๆ  เธอดันชนเข้ามาได้

    “………………..!!!!!”   ต่างคนต่างอึ้งไปชั่วอึดใจ

    โอ๊ย!!  เธออยากจะบ้าตาย!!  กับความซุ่มซ่ามเซ่อซ่าของตัวเองจริงจริ๊ง

    อีกแล้ว!!  ฉัน!!

    “นี่คุณ!!”  เขาส่งเสียงเตือนเด็กสาวที่มัวแต่อึ้ง  ล้มทับลงมาบนตัวเขาอยู่นานหลายอึดใจแล้วเนี่ย

    หลานสาวเจ้าของไร่รีบลุกขึ้นจากตัวชายหนุ่มทันที

    “นี่!!  แล้วนายมาทำไมเงียบ ๆ”  หลังจากถอยตัวออกมาจากร่างของชายหนุ่มอย่างด่วนจี๋   ก็ส่งเสียงโวยวายต่อว่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อกลบเกลื่อนความอับอายสุด ๆ  จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามราวกับเขาเป็นคนผิด

    ใครจะไปรู้ว่าอยู่ ๆ คุณจะหันมาเล่า…  

    เขาบ่นเธออยู่ในใจอย่างหัวเสีย   เริ่มหงุดหงิด  ที่เธอเอาแต่เอะอะอะไรก็โวยวาย  เอาแต่ใจ  ไม่มีเหตุผลซะเลย  จะขอโทษที่ชนเขาซักคำน่ะ   ไม่มี!  

    “อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย” เธออ่านออกจากแววตาของเขา  สายตาที่มองมาราวกับเป็นถ้อยคำกำลังต่อว่าเธออยู่  เธอไม่ชอบปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยความเงียบ  ด้วยการไม่พูดไม่จาของเขาเลย  อาการอย่างนั้นยิ่งทำให้เธอมีน้ำโหมากขึ้น

    “เดี๋ยว!  อย่าเพิ่งไป  ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายนะ”  เธอตะโกนใส่เมื่อเห็นเขาเดินหนี

    ยิ่งเธอตะโกนเสียงดังมากขึ้นเท่าไหร่  ใช้อารมณ์มากขึ้นแค่ไหน  เขาก็ยิ่งเงียบ  และยิ่งอยากไปให้พ้น ๆ หน้าเธอมากเท่านั้น

    “นี่!!  ฉันอยากจะเข้าไปในเมือง  นายพาฉันไปได้มั้ย”  เด็กสาวเดินตาม  ปากก็ตะโกนถามตามไปไม่มีหยุด  

    ผู้จัดการไร่ทำไม่รู้ไม่ชี้  เหมือนไม่ได้ยินจ้ำอ้าว ๆ เดินหนีอย่างเดียว  อึดอัดใจเหลือเกิน  เพราะเธอเป็นหลานสาวของผู้มีพระคุณ  เขาจึงไม่อาจใช้ถ้อยคำใดว่ากล่าวเธอได้  คิดว่าการเงียบ  และพยายามอดทน  คงเป็นสิ่งที่ดีสุดในตอนนี้

    “หยุด!!  ได้ยินมั้ย  จะพาฉันไปได้รึเปล่า  ว่าไง?”  เธอวิ่งไปคว้ามือชายหนุ่มไว้

    เขาหันมาจ้องด้วยสายตาดุ

    “ถ้าจะคุยกัน  คุณต้องหยุดใช้อารมณ์  และเลิกเอาแต่ใจ”  เสียงของเขาดุพอ ๆ กับสายตา

    “ได้  ถ้านายเลิกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ไม่ได้ยิน  ไม่ใส่ใจแบบนี้”

    “ที่ผมทำแบบนี้เพราะผมไม่ต้องการสนองตอบอารมณ์ของคุณต่างหาก”  เขาตอบเสียงห้วน

    สาวน้อยจอมโวยวายหายใจเข้าลึก ๆ อย่างสะกดอารมณ์เต็มที่  รู้สึกได้ถึงความร้อนเร่า ๆ ที่แล่นผ่านขึ้นมาที่หัวใจ

    “บางทีมันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย   อาจทำให้อีกฝ่ายโมโหมากขึ้นมากกว่า”  เธอนึกถึงภาพพี่ชายกับแม่  ทุกครั้งที่แม่ใช้อารมณ์ถามพี่ชาย  พี่ชายของเธอจะนิ่งเฉย   แต่อาการนิ่งเฉยอย่างนั้นทำให้แม่อารมณ์เดือดดาลมากขึ้นกว่าเดิมต่างหาก  บางครั้งแค่คำตอบเพียงคำเดียวก็ช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้มากมาย

    เธอจ้องหน้าผู้จัดการไร่

    เขาก็คงเหมือนพี่ชายของเธอ  ที่คิดว่า  ไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถาม  และมันคงเป็นแค่คำถามที่งี่เง่าไร้สาระในสายตาของเขาเท่านั้นเอง

    “ถ้า…ฉัน…ทำให้นายลำบากมากนัก  ต่อไป…ไม่ต้องมาดูแลสนใจอะไรฉันอีก  ที่ผ่านมาขอโทษละกัน” น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่น  ตาก็เริ่มแดง

    เธอรีบวิ่งหนีไปจากสายตาของเขา

    ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  แล้วหันหลังให้เดินกลับ   เดินห่างมาได้ซักพัก  เขาก็ต้องหันหลังกลับเดินกลับไปตามเธอ  อย่างไรก็ตาม  เขามีหน้าที่ต้องดูแลเธอ  จนกว่าคุณท่านจะกลับมา

    “เฮ้อ……”  เขาถอนลมหายใจอย่างหนักหน่วง

    “เด็กดื้อ  รั้น!!  เอาแต่ใจ”

    เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ จุดที่พบเธอครั้งสุดท้าย  เธอวิ่งไปทางไหนกันแน่   และภาวนาไม่อยากให้เธอวิ่งซุ่มซ่ามเข้าไปในสวนขนุนเลย  ลูกขนุนเคยหล่นกระแทกใส่หัวคนงานไปหลายคนแล้ว

    และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่น  คงจะเป็นใครไม่ได้  นอกจากเธอ  เขารีบวิ่งตามเสียงนั้นไป

    “คุณตะเกียงครับ  มาทางนี้”  เขาเรียกเธอ  มองเห็นสาวน้อยยืนตัวแข็งอย่างตกอกตกใจ  เมื่อลูกขนุนหล่นใส่ตรงหน้าอย่างเฉียดฉิว  

    มือแข็งแรงรีบคว้าข้อมือเธอไว้  แล้วดึงหลบไปได้ทันก่อนที่อีกลูกจะหล่นตามลงมา    เท้าดันไปสะดุดลูกขนุนที่หล่นลงมาแตกกระจายแล้วกระเด็นกระดอนมาพอดี   ทั้งคู่เสียหลักล้มลง  เขารีบเอาตัวบังเธอไว้มือข้างหนึ่งปิดศีรษะของเด็กสาว  เพื่อกันลูกขนุนที่หล่นลงมาอีก  โชคดีที่ไม่อยู่ในวิถีของลูกขนุนที่หล่นลงมา  มีแต่เศษขนุนที่แตกกระเด็นมาเท่านั้น

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”  เขาถามเมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามอง  ดวงตาคู่นั้นของเธอแดงช้ำเหมือนมีน้ำตาคลออยู่  

    คนหัวดื้อหันหน้าหนีไม่ยอมตอบ  ขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา

    “เดี๋ยว!”  เขารั้งร่างเล็กไว้ไม่ให้ไป  รีบเงยหน้าขึ้นมองดูความปลอดภัย  เมื่อมั่นใจแล้วจึงคลายอ้อมแขนออก

    “คุณรวิวารจะไปไหนครับ”  ผู้จัดการไร่ถามเมื่อเห็นหลานสาวเจ้าของไร่เดินอ้าว ๆ ไม่พูดไม่จา

    “นี่คุณครับ  จะไปไหน”  เขาถามอีกเป็นครั้งที่สอง  เมื่อเธอยังรักษาความเงียบอยู่  

    เขาผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ  อย่างกลุ้มใจ   พยายามใจเย็น   นี่เธอกำลังเลียนแบบเขาก่อนหน้านี้หรือไง   อยากจะทิ้งเธอไว้ตามความอวดดีช่างประชดประชันของเธอเสียจริง ๆ  อยากรู้นักว่าจะทำเป็นเก่งได้ซักแค่ไหน   แต่ก็กลัวปัญหาจะบานปลายไม่สิ้นสุด   และท้ายสุดเขาก็ต้องเป็นฝ่ายตามหาเธอ  เมื่อเขายังสำนึกว่าต้องดูแลเธออยู่

    “คุณจะไปไหน  จะค่ำแล้วนะครับ”  เขาตะโกนถามอีกเป็นครั้งที่สาม  พลางคว้าแขนคนรั้นไว้  เมื่อเห็นเธอดื้อไม่ยอมหยุดเดิน

    “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”  เด็กสาวพยายามสะบัดข้อมือจากการรั้งไว้ของเขา

    ผู้จัดการหนุ่มต้องทำใจครู่หนึ่ง  เมื่ออีกฝ่ายตอบโต้อย่างใช้อารมณ์กลับมา

    “เอาล่ะ  เรามาทำความตกลงกันดีไหม”  เขาเปลี่ยนท่าทีเป็นเชิงขอความเห็น

    “ผมจะไม่เดินหนีคุณ  และตอบคำถามเมื่อคุณถาม   แต่คุณต้องไม่ใช้อารมณ์และเอาแต่ใจอย่างไม่มีเหตุผลได้ไหมครับ”  เขาเสนอข้อตกลง

    ตาแดง ๆ เงยหน้ามองชายหนุ่ม

    “นายก็เอาแต่ใจเหมือนกันแหละ”

    เขาผงะไปกับถ้อยคำของเธอ    เขาหรือ?  เอาแต่ใจ?  ก่อนจะคิดทบทวน  เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเขาเองก็เอาแต่ใจที่จะต้องให้ได้อย่างที่ตัวเองคิดเหมือนกัน  ไม่เคยมีใครกล้าว่าเขาแบบนี้เลย  เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ  ควรจะมีความอดทนให้มากกว่านี้

    “ผมขอโทษนะ”  

    เด็กสาวมองหน้าผู้จัดการอย่างไม่เชื่อสายตา

    “ฉันก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน  ทำให้นายยุ่งยากตลอดเลย”

    “ไม่เป็นไรครับ”

    “แล้ว…นายจะพาฉันไปในเมืองได้มั้ย”

    ชายหนุ่มหัวเราะ  เธอช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง  เมื่อกี๊ยังทำท่าขี้แยอยู่แท้ ๆ เลย  ตอนนี้อยากจะไปเที่ยวซะแล้ว

    “หัวเราะอะไรเล่า…”  เด็กสาวพยายามเก๊กหน้าทำคิ้วขมวดไม่ให้หัวเราะตามเขา  แต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

    “ถ้าผมว่างจะพาไปนะครับ”

    “นายระบิลครับ”  เสียงคนงานขับรถอีแต่นเรียกมาแต่ไกล  ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางหึ่ง ๆ มาพร้อมกัน
    “ผมไปส่งครับ  ขึ้นมาเลย”  คนงานจอดรถ

    “ขอบใจนะ”  

    ทั้งคู่กระโดดขึ้นนั่งข้างหลังของรถอีกแต่น  หันหลังให้คนขับ  มองพระอาทิตย์ดวงกลมสีแดงกำลังลับเหลี่ยมเขา

    ==============  

    แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 49 23:43:07

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 9 ก.พ. 49 23:32:31 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป