CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ลุงมั่นตาดี ป้าศรีตาบอด

    ***ค่อนข้างไม่มีเวลา กำลังรื้อบ้านปลูกใหม่ครับ คงอีก 2-3 เดือนคงจะเรียบร้อย ตอนนี้อยู่กระต๊อบสังกะสีแต่มีเน็ตเข้าก็โอเค ฝากเรื่องนี้ต้อนรับวาเลนไทน์ครับ***
    -----------------------------------------------------------
                เสียงมอเตอร์ไซค์อันคุ้นหูดังชัดขึ้นทุกที จนเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน ป้าศรีหันมองตามไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดในโลกของคนตาบอด จากอุบัติเหตุรถโดยสารพลิกคว่ำเมื่อสองปีก่อน แต่ป้าศรีก็รู้ว่าเป็นลุงมั่น สามีกลับมาจากข้างนอก เสียงนาฬิกาไขลานตีบอกเวลาหกโมงเย็นของวันเสาร์

                 มีเสียงบ่นงึมงำจากปากของลุงมั่นจับใจความไม่ได้ ดูจะหงุดหงิดอะไรมาสักอย่าง พอเห็นป้าศรีเสียงบ่นนั้นก็หายไป

                 “อ้าว! แม่ศรี มานั่งทำอะไรนอกบ้านล่ะ?” ลุงมั่นร้องทัก ในมือถือถุงอาหารสำหรับมื้อเย็น

                 “ก็นั่งรอพ่อมั่นนั่นแหละ เห็นหายไปนาน ทำไมพักนี้ฉันรู้สึกว่าพ่อมั่นแปลกๆไป”

                 ดวงตาลุงมั่นเบิกกว้างนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติ “เอ…แม่ศรีคิดมากเกินไปหรือเปล่า ฉันยังคงเป็นพ่อมั่นของแม่ศรีเหมือนเดิม จะแปลกไปยังไง?”

                 “แต่ฉันรู้สึกจริงๆนะ” ป้าศรียืนยัน “เสาร์อาทิตย์ที่แล้วพ่อมั่นก็หายไปตั้งแต่บ่าย กลับมาอีกทีเย็นๆ  วันนี้ก็อีก พ่อมั่นออกไปทำอะไรเหรอ?”

                 “โถ…นึกว่าเรื่องอะไร ฉันออกไปหาโอเลี้ยงกินที่ร้านเจ๊โฉมท้ายหมู่บ้าน เจอเพื่อนๆมันไปชุมนุมอยู่ที่นั่น ก็เลยคุยกันเพลินไปหน่อย ไม่มีอะไรหรอก เข้าบ้านกันเถอะ ฉันหิวข้าวแล้ว” ลุงมั่นตัดบท ไม่อยากให้ป้าศรีถามเซ้าซี้อีก

                 ชีวิตของป้าศรีหลังจากตาบอดก็อยู่โยงเฝ้าบ้าน ไม่อยากออกไปไหนให้เป็นภาระลุงมั่น เพื่อนบ้านก็มีน้ำใจแวะเวียนมาคุยเป็นเพื่อนไม่ขาด มีเพียงวันพระเท่านั้นที่ออกไปทำบุญ ฟังพระเทศน์แล้วกลับบ้าน โดยมีลุงมั่นคอยเป็นตาให้ทุกอย่าง

                 เมื่อได้กลับมาอยู่ในบริเวณบ้าน ป้าศรีเหมือนไม่ใช่คนตาบอด บ้านที่เคยอยู่มาสามสิบปี ทำให้นึกภาพออกทุกซอกมุม ข้าวของเครื่องใช้อะไรอยู่ตรงไหนรู้หมด บางทีอาจจะรู้มากกว่าลุงมั่นด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องอาหารการกินป้าศรีไม่ได้ทำ ลุงมั่นรับหน้าที่แทน วันไหนขี้เกียจก็หาซื้อกินอย่างเช่นวันนี้

                 ลุงมั่นเคยยึดอาชีพเพาะพันธุ์ไก่ชนขาย เป็นอาชีพเสริมนอกจากทำนา ทั่วทั้งตำบลไก่ชนของแกขึ้นชื่อมาก ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งโรคไข้หวัดนกเข้ามาแพร่ระบาด กิจการเริ่มยอบแยบทั้งที่ไม่ได้อยู่ในโซนแดง แต่แกหวาดกลัวมันจะระบาดมาถึง จึงยอมตัดใจขายไก่ในราคาต่ำกว่าทุนและปิดกิจการลง ถึงกระนั้นก็ยังเหลือพ่อพันธุ์ไก่ชนบางตัว ที่แกหวงนักหวงหนาเลี้ยงเอาไว้คลาย
    เหงา

                 ตกดึก…ลุงมั่นยังไม่หลับ นอนเอามือก่ายหน้าผากลืมตาโพลง ถอนหายใจเป็นระยะ นัยน์ตาครุ่นคิดแฝงความกังวลไว้เต็ม พร้อมกับส่ายหน้าเนือยๆในความสลัวของห้อง แต่พอนึกถึงตอนบ่ายที่ผ่านมา แกต้องถอนหายใจอีกพรืดใหญ่ จึงพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ป้าศรี ที่เข้าใจว่าหลับไปนานแล้ว ซึ่งความจริงกลับตรงกันข้าม

    ++++++++++++++++++

                 ข้าวมื้อกลางวันได้ผ่านไป ลุงมั่นเหลือบดูนาฬิกาไขลาน มันบอกเวลาเที่ยงกว่าๆของวันอาทิตย์ แกหันถามป้าศรีอยากได้โอเลี้ยงสักถุงไหม จะออกไปซื้อที่ร้านเจ๊โฉมให้

                 “ก็ดีเหมือนกัน” ป้าศรีนึกอยากขึ้นมาทันที
                 ลุงมั่นขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไม่นาน กลับมาพร้อมโอเลี้ยง นำไปเทใส่กระติกให้ป้าศรีนั่งรออยู่ร่มไม้หน้าบ้าน

                 “นี่แม่ศรีจะออกไปไหนหรือเปล่า ฉันจะได้พาไป?” ลุงมั่นนั่งลงชวนคุย “แต่ถ้าไม่ไปฉันจะไปคุยกับเพื่อนๆของฉันที่ร้านเจ๊โฉมหน่อย เมื่อกี้เจอพวกมันนั่งกินกาแฟกันอยู่”

                 ป้าศรีพยักหน้า “ไปเถอะ ฉันไม่อยากออกไปไหนให้เป็นภาระพ่อมั่นหรอก ฉันอยู่ได้”

                 “งั้นฉันไปนะ แล้วจะกลับมาหุงหาข้าวให้กิน” ลุงมั่นรีบเดินดุ่มๆเลยเข้าไปในบ้านครู่หนึ่ง  ถึงกลับออกมาขี่รถของแกออกไปอีกรอบ

                 ถึงป้าศรีจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกบางอย่างได้ ค่อยๆลุกจากม้านั่งใช้ไม้กวัดแกว่งคลำทางเข้าไปในบ้าน ตรงไปยังกระป๋องใบหนึ่งตั้งบนตู้เก่าๆ หยิบมันลงมาใช้มือคลำอยู่สักครู่ก่อนจะส่ายหน้าเศร้า…

                 “โธ่…พ่อมั่นของฉัน…”

    ++++++++++++++++++++

                 ลุงมั่นหน้าคล้ำเครียดราวกับมีปีศาจสิงอยู่ แกกลับเข้าบ้านยังทันได้ยินนาฬิกาตีบอกเวลาห้าโมงเย็น เห็นป้าศรีนอนหลับจึงเดินเลยไปยังสุ่มไก่ มองพ่อพันธุ์ไก่ชนตัวรักอย่างใคร่ครวญ สุดท้ายก็เปิดสุ่มคว้ามาอุ้มไว้
     
                 “เอ็งไปอยู่กับคนอื่นเถอะวะ ข้าขี้เกียจเลี้ยงเอ็งแล้ว” ลุงมั่นพูดกับมัน แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมีไม้กวัดแกว่งมาโดนหลัง

                 “อ้าว! แม่ศรี”
     
                 “พ่อมั่นมาทำอะไรตรงนี้ล่ะ ยังไม่ไปติดไฟหุงข้าวอีกเหรอ ห้าโมงแล้วนา?” ป้าศรีติงด้วยเสียงนุ่มนวล

                 “เดี๋ยวก็ได้น่า…ฉันรีบๆอยู่” ลุงมั่นบอกเหมือนรำคาญ เดินอุ้มไก่ชนไปที่รถมอเตอร์ไซค์ มันส่งเสียงร้องไปตามประสาไก่

                 “ฉันได้ยินเสียงไก่ พ่อมั่นจะเอามันไปไหน?” ป้าศรีหันตาม ถึงมองไม่เห็นก็เถอะ

                 “เอาไปขาย ขี้เกียจเลี้ยงมันแล้ว เอาเงินมาใช้ดีกว่า คงได้หลายพัน”

                 “วันนี้ก็เอาเงินของฉันไปใช้แล้วยังไม่พออีกเหรอ?” คำถามนั้นทำให้ลุงมั่นชะงัก หันกลับมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

                 “ขอยืมไปใช้ก่อนไม่ได้หรือไง?” ลุงมั่นกระชากเสียงห้วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เดี๋ยวฉันขายไก่ได้จะใช้ให้ โธ่เอ๊ย…แค่นี้ทำมาทวง ช่างรู้จริงๆ”

                 ป้าศรีพยายามเก็บความรู้สึก สองมือกำแน่น สิ่งที่อยู่ในกำมือคือความอดกลั้น ไม่คิดจะใช้อารมณ์ตอบโต้ ยังคงใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิม

                 “ฉันไม่ใช่แค่รู้ แต่ฉันยังเห็นบางอย่างในตัวพ่อมั่นอีก”

                 “ไปกันใหญ่แล้วแม่ศรี” ลุงมั่นแค่นหัวเราะเยาะ “แม่ศรีตาบอดแล้วจะเห็นอะไรในตัวฉันหือ?”  
       
                 “เห็นสิ…ฉันเห็นผีพนันอยู่ในตัวพ่อมั่นไงล่ะ”

                 ลุงมั่นถึงกับนิ่งงัน พูดไม่ออก ความคิดด้านมืดที่ครอบงำเริ่มมีประกายแสง เสียงป้าศรียังดังไม่หยุด

                “ฉันรู้จากเพื่อนบ้านเขามาเล่าว่า เห็นพ่อมั่นไปเล่นพนันมวยอยู่ร้านเจ๊โฉมมาสองสามอาทิตย์แล้ว เขามาบอกก็เพราะหวังดี ไม่อยากเห็นพ่อมั่นถลำลึกไปกว่านี้ เมื่อคืนฉันนอนเป็นสุขเสียที่ไหน”

                ป้าศรีใช้มือคลำทางแทนไม้มาจับต้นแขนลุงมั่น ซึ่งบัดนี้ดูซึมไป แล้วพูดต่อในสิ่งที่อยู่ในอก

                “ฉันอยู่กินกับพ่อมั่นมาสามสิบปี กัดก้อนกินเกลือทุกข์ยากมาด้วยกันจนถึงวันนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ผีพนันที่มันมาอยู่กับพ่อมั่นไม่ถึงเดือน…แย่งพ่อมั่นไปจากฉันหรอก” น้ำเสียงของป้าศรีสั่นเครือในตอนท้าย
           
                ลุงมั่นหันหาป้าศรี เห็นม่านน้ำตาคลอขัง เลยไม่คิดเหนี่ยวรั้งไก่ชนที่ดิ้นขลุกๆจนหลุดไป หันกลับมองมืออันหยาบกร้านของแก มีเส้นเลือดปูดโปนบนหลังมือเหี่ยวย่นจากการกรำงานหนักมาค่อนชีวิต ล้มลุกคลุกคลานมาก็มาก แต่แกยังมีป้าศรีคอยช่วยและเป็นกำลังใจ ถึงฝ่าฟันมาได้ถึงวันนี้
     
                สองมือของลุงมั่นค่อยๆกำเกิดสามัญสำนึก เห็นตัวเองเดินหลงเข้าอุโมงค์มืดแสนเหน็บหนาว ไม่มีลำแสงที่ปลายอุโมงค์อย่างเคยได้ยินมา เหลียวดูต้นทางยังเห็นแสงสว่างพร้อมร่างป้าศรีกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ

                 “ฉันขอโทษ…แม่ศรี” ลุงมั่นสำนึกผิด เลื่อนมือไปกุมมือของป้าศรีไว้ ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณนั้น “ฉันจะไม่ทำให้แม่ศรีเสียใจอีกแล้ว”
           
                 ป้าศรีตื้นตันทั้งน้ำตา มันมีความเสียใจก่อนหน้า และความดีใจขณะนี้รวมอยู่ในน้ำตาที่รินหยด “ฉันดีใจ…ที่ได้พ่อมั่นของฉันคนเก่ากลับมา”

                 “ขอบใจแม่ศรีที่พูดให้ฉันได้คิด ฉันมันตาบอดจริงๆ” ลุงมั่นยืดอกรับไม่นึกอาย “เราเข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะหุงข้าวทำกับข้าวให้กินนะ เอาของโปรดแม่ศรีเลย  มา…ฉันจูงแม่ศรีเอง”

                 ลุงมั่นเกาะกุมมือป้าศรีไว้มั่นคง สัมผัสไออุ่นจากมือของป้าศรี รู้สึกได้ว่านั่นคือความรักที่ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย ซึ่งลุงมั่นเองก็มีไออุ่นอยู่ในกำมือสื่อตอบกลับไป.  
    +++++++++++++++++++++  
    พรพชร (เจนวัช)

    จากคุณ : พรพชร - [ 13 ก.พ. 49 20:18:49 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป