CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ไม่มีดอกไม้..มาให้เธอ

    ลมหนาวกลางเดือนกุมภาพันธ์ของเมืองเล็กๆ ชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นพัดวู่หวิว  หอบเอาใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นให้ปลิวกระจาย  ลอยคว้างอยู่ในแสงสลัวของหลอดไฟริมทางเดิน  เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเหงาจับใจ..จนเกือบจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ

    ฉันมองมันผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่  เนิ่นนาน  ก่อนจะถอนใจยาว  วางโทรศัพท์ลงกับแป้นอย่างเหงาๆ เมื่อได้ยินเสียงปลายสายบอกเป็นครั้งที่สิบว่า  ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

    ห้าทุ่มแล้ว.. ฉันมองนาฬิกา  ทำไมเขายังไม่เปิดเครื่องอีกนะ  แม้ว่าปกติในเวลาทำงาน  เขามักจะปิดสัญญาณโทรศัพท์  ตามแบบฉบับของพนักงานที่ดี  และด้วยนิสัยตามลักษณะเชื้อชาติญี่ปุ่นของเขา.. ที่ยินดีจะปฏิบัติตามกฏระเบียบอย่างว่าง่ายกว่าคนไทย  ฉันเองเคยทำงานในบริษัทเดียวกับเขา  ก่อนจะย้ายมาทำที่บริษัทปัจจุบัน  จึงมองเห็นความมีระเบียบในตัวเองของเขาได้ดี

    หากเมื่อเลิกงาน  เขาไม่เคยปิดเครื่องนานขนาดนี้นี่นา..  

    หรือว่าเขาจะยังไม่เลิกงาน.. แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาทำงานอยู่จนดึกขนาดนี้เสียที  อย่างมากก็ไม่เกินสามทุ่มเท่านั้นเอง..

    หรือว่าเขาไปกับคนอื่น.. ฉันคิดอย่างวุ่นวายใจ  ก่อนจะปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว  ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดฟุ้งซ่านให้ตัวเองทุกข์ไปกว่านี้

    แต่ความคิดของฉันก็ยังวนเวียนอยู่ที่เขา.. เขาต้องลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าวันนี้เป็นวันอะไร..  และเขาบอกกับฉันไว้ว่าอย่างไร..

    ไม่ใช่เขาหรอกหรือ  ที่เซ้าซี้ฉันอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้..

    "เย็นวันวาเลนไทน์  ไปกินข้าวที่พอร์ตกันนะ  มีร้านเปิดใหม่  เพื่อนผมแนะนำมา  บอกว่าบรรยากาศดีมากเลย"  เขาพยายามชวนครั้งแล้วครั้งเล่า  หมายถึงศูนย์การค้าริมทะเลที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน  ตกแต่งด้วยบรรยากาศหวานๆ ตามสไตล์เดทพอยนท์ของชาวญี่ปุ่น  ในเมืองริมทะเลที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    "ไม่เอา  กินที่บ้านดีกว่า"  ฉันย่นจมูก  ปฏิเสธทันทีอย่างไม่เห็นด้วย  เพราะเบื่อที่จะไปเบียดเสียดกับผู้คนที่เชื่อได้แน่ว่าจะต้องพลุกพล่าน  ในค่ำคืนของวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึง

    "ไม่เอา  กินที่บ้านเบื่อแล้ว  เปลี่ยนบรรยากาศกันมั่งซิ"  เขายืนกราน  ก่อนจะทำเสียงประนีประนอม  ต่อรองว่า

    "เย็นวันที่ 13 กินที่บ้านก็ได้  แล้ววันที่ 14 ไปกินที่ร้านกัน  โอเคไหม"

    เขายิ้มพราวทั้งปากและตา  เมื่อหว่านล้อมจนฉันยอมตกลงสำเร็จ  ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด  โทร.ไปจองร้านอย่างคล่องแคล่ว  ราวกับทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

    ก็แน่ละซิ.. ผู้ชายเจ้าชู้อย่างนี้  คงจะเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนจริงๆ นั่นแหละ  เพราะทุกครั้ง.. ก็เป็นเขาแทบทั้งนั้นที่จะยิ้มระรื่นมาบอกฉันว่า  ร้านนั้นดี  ร้านนี้อร่อย  โดยไม่ปริปากว่าเคยไปกับใครมา  ในเมื่อแต่ละร้าน.. ล้วนไม่ใช่ร้านที่จะไปกินกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน  แต่เป็นร้านบรรยากาศกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก  อย่างที่มีไว้ให้หนุ่มสาวไปเดทกันทั้งสิ้น

    ถ้าฉันถาม  เขาก็บอกยิ้มๆ ว่า  มีเพื่อนแนะนำมา  หรือไม่ก็ไปผ่านไปแถวนั้น  เห็นร้านสวยดีก็เลยลองแวะดู  

    มันก็คงจะน่าเชื่อ..  ถ้าที่ทำงานของเขาจะไม่ได้อยู่ห่างจากร้านที่ว่าไปคนละทิศ  และหากว่าพนักงานของแต่ละร้านจะไม่ทักทายเขาอย่างคุ้นเคยราวกับเจอกันอยู่ทุกวี่วัน

    แต่ก็นั่นแหละ.. ผู้ชายเจ้าชู้..  ฉันก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้  ในเมื่อรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร  ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจคบกัน..  เมื่อใครต่อใครก็พากันทำนายล่วงหน้าเอาไว้ว่าอีกไม่นาน.. ฉันจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า.. เพราะกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของเขานั้นเลื่องลืออยู่ในหมู่เพื่อนร่วมงานมานาน  จนเรียกได้ว่าเป็นเสือผู้หญิงเต็มตัว  แม้ว่าในระยะหลัง.. พฤติกรรมในด้านนี้ของเขาดูจะลดน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือ  เนื่องจากเจ้าตัวกำลังพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่อย่างจริงจัง  แต่ฉันก็ยังไม่วายระแวง  ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเสือ  ต่อให้ถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้ว  ก็ย่อมยังมีลายเสือ..

    แล้วก็คงจะจริง.. ในเมื่อวันนี้.. ทั้งที่นัดกันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับมากินข้าวด้วยกัน  ฉันเลิกงานตั้งแต่บ่าย  และไปซื้อของสดมาทำอาหารเตรียมไว้จนเสร็จเรียบร้อย  จึงมีโทรศัพท์จากเขา  บอกว่าต้องทำงานล่วงเวลาที่บริษัท  ให้ฉันกินข้าวได้เลย  ไม่ต้องรอ  ก่อนจะที่จะวางสายไปอย่างเร่งรีบ

    ..แค่นั้นเองสำหรับวันที่ฉันเฝ้ารอ  เขาคงจะลืมไปแล้วกระมังว่าวันนี้เป็นวันครบรอบสองปีของเราสองคน  เป็นวันที่ฉันรอด้วยใจจดใจจ่อยิ่งกว่าวันวาเลนไทน์เสียอีก

    เขาคงจำได้แต่วันแห่งความรัก.. อย่างที่คนเจ้าชู้อย่างเขาน่าจะต้องจำแม่นที่สุด.. เพื่อที่จะสับรางได้อย่างไม่วุ่นวาย

    ฉันชงกาแฟ  เพื่อที่จะมานั่งมองมันอยู่อย่างนั้น.. ตามองเข็มนาฬิกาที่เดินไป  นาทีแล้วนาทีเล่า  ความรู้สึกภายในต่อสู้กันอย่างรุนแรง  ฉันควรจะโกรธ  ควรจะต่อว่าเขาไหม  ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นเรื่องงาน  แต่ฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี  เพราะยามที่เสียงปลายสายบอกฉันเหนื่อยๆ ว่างานยังไม่เสร็จ..เมื่อเวลาราวสองทุ่มนั้น  ฉันได้ยินเสียงใสๆ หัวเราะเริงรื่น  แว่วเข้ามาอย่างชัดเจน  หากยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม  เขาก็ชิงวางสายไปเสียก่อน    

    เขาอยู่กับใคร.. ในวันที่น่าจะอยู่กับฉันที่สุดอย่างวันนี้..

    ฉันอยากจะเข้าใจเขา  แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน  ในเมื่อเราสองคนแตกต่างกันมากมาย  ทั้งเชื้อชาติและอายุ  เขาเป็นผู้ชายญี่ปุ่น  ที่ก่อนจะรู้จักฉัน  เขาไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าประเทศเล็กๆ ที่ชื่อประเทศไทยนั้นอยู่ส่วนไหนของโลก  และฉันเองเป็นผู้หญิงไทยที่เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้เพียงไม่ถึงสามปี  ยังไม่เข้าใจนิสัยและความรู้สึกนึกคิดของคนชาตินี้ได้เท่าที่ควรจะเข้าใจ  ไหนจะวัยที่เขาแก่กว่าฉันเกือบสิบปีนั้นอีกเล่า.. ทำให้ฉันเป็นกลายเด็กเล็กๆ ในสายตาเขาอยู่เสมอ



    เขาโทร.กลับมาในที่สุด.. เมื่อเวลาเกือบเที่ยงคืน

    "ขอโทษที  งานเพิ่งเสร็จ  คุณนอนหรือยัง"
       
    "นอนแล้ว"  ฉันตอบเรียบๆ  พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้เขาจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงได้

    "อ้าว  ขอโทษอีกที"  เสียงอุทานมีแววเกรงใจ  ก่อนที่เขาจะบอกค่อยๆ "งั้นไปนอนต่อเถอะ  เจอกันพรุ่งนี้เย็น  ตามแผนเดิมนะ"

    "แน่ใจนะว่าจะมาได้"  ฉันอดไม่ได้ที่จะประชด  แต่ก็เป็นเพียงการถามเล่นๆ อย่างไม่จริงจังนัก  พยายามสะกดกลั้นความน้อยใจที่แล่นขึ้นมาอย่างเต็มที่

    "ไปได้ซิ..  นี่โกรธหรือ  ไม่เอาน่า"  เสียงฝ่ายนั้นงอนง้อ  ก่อนจะถามอย่างเอาใจ

    "พรุ่งนี้อยากได้อะไร  กุหลาบขาวใช่ไหม  รับรองว่าปีนี้ไม่ลืม"  เขาย้ำล้อๆ  เพราะปีที่แล้วฉันต่อว่าเขาเสียมากมาย  เมื่อเขาบอกหน้าตาเฉยว่า  ลืมดอกไม้ไว้บนรถแท็กซี่  ทั้งที่ฉันออกจะแน่ใจ  ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจจะซื้อดอกไม้ให้ฉันด้วยซ้ำ

    ก็ไม่ใช่เขาหรอกหรือ.. ที่พูดเป็นประจำว่าเขาชอบให้ของขวัญที่ตัวเขาเองพอใจจะให้  โดยไม่สนใจว่าคนรับจะอยากได้หรือไม่

    ของขวัญวาเลนไทน์จากเขาที่ฉันได้รับ  จึงกลายเป็นหนังสือบทกวีเล่มเล็กๆ ที่ฉันไม่ชอบอ่าน  แต่คนให้ชื่นชอบเสียเหลือเกิน  แถมยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ฉันอ่าน  เพื่อที่จะได้คุยกับเขาเรื่องกวีได้

    ส่วนของขวัญจากฉัน  ช็อกโกแล็ตวาเลนไทน์  ที่หญิงสาวที่นี่มีธรรมเนียมให้ชายหนุ่มเป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์นั้น  เขากลับบอกฉันดื้อๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า  ไม่ต้องให้เขาหรอก  เขาไม่ชอบกิน  เพราะกลัวอ้วน

    บางทีฉันก็แปลกใจ.. ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เขาคนนั้น..คนที่เคยตามจีบ  พร่ำบอกคำหวานกับฉันเมื่อสองปีที่แล้ว  จะกลายมาเป็นเขาคนนี้.. คนที่พูดจาไม่ใคร่เข้าหูคน  ไม่มีคำหวานๆ ให้ฉันเหมือนวันก่อน  ทั้งที่ฉันแน่ใจว่าเขายังมีคำเหล่านี้ให้คนอื่น..แต่ไม่มีให้ฉัน

    "แน่ใจนะว่าจะไม่ลืมอีก"  ฉันต้องใช้ประโยคนี้อีกแล้ว  ทั้งที่ไม่อยากใช้เลย

    "ไม่ลืมครับผม" เขาทำเสียงขึงขัง  ก่อนจะถามเย้าๆ

    "แล้วเตรียมอะไรไว้ให้ผม"

    "เดี๋ยวก็รู้"  ฉันตอบเบาๆ  แต่น้ำเสียงนั้นห้วนจนตัวฉันเองก็รู้สึก

    "อ้าว  นี่โกรธหรือ  ไม่เอาน่า  อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ"  เสียงเขาดุอย่างไม่จริงจังนัก  ก่อนจะออกคำสั่งกลายๆ

    "ไปนอนเถอะ  ผมเหนื่อยจัง  พรุ่งนี้เจอกันหกโมงเย็นนะ"  ก่อนจะวางหูไปโดยไม่รอให้ฉันได้เถียง

    ฉันซุกตัวลงกับผ้าห่มผืนหนา  อยากจะร้องไห้  แต่ก็ร้องไม่ออก  น้ำตาไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด  หรือมันจะไหลออกมามากพอแล้ว  ตลอดสองปีที่คบกับเขา  จนถึงวันนี้.. ฉันจึงไม่เหลือน้ำตาจะร้องไห้ให้เขาอีกต่อไป..

    เขาคงมีคนใหม่อีกแล้ว.. อย่างที่มีมาไม่รู้ว่ากี่ครั้ง  หากเมื่อฉันจับได้  ทุกครั้งเขาก็จะยักไหล่  บอกอย่างไม่ใส่ใจว่า  ก็แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง  เขาไม่จริงจังกับใครเท่าฉันหรอก.. และแม้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ทำอะไรทำนองนั้นอีกแล้วในระยะหลังนี้  โดยย้ำกับฉันอย่างชัดเจนว่า  ฉันเป็น "ตัวจริง" ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

    ฉันเชื่อเขามาตลอด  เชื่อมั่นว่าฉันได้เป็น "ตัวจริง" เพียงคนเดียวของเขา  ภูมิใจนิดๆ ที่สามารถ "จับเสือไว้ในมือ" ได้สำเร็จอย่างที่ใครๆ ว่ากัน  หากวันนี้ฉันชักรู้สึกว่า  การเป็น "ของเล่น" ยังอาจจะดีเสียกว่า  ในเมื่อไม่ต้องคอยปักใจกับคำว่า "ผมจริงจังกับคุณ" ของเขา  ไม่ต้องเฝ้ารอเขาอย่างมีความหวังในวันที่เป็นโอกาสพิเศษ  และไม่ต้องเสียใจเมื่อเขาทำลายความหวังนั้นลงอย่างไม่ไยดี

    เอาไว้พรุ่งนี้เถอะนะ.. ฉันย้ำกับตัวเองอย่างมั่นคง  ถ้าหากว่าเขายังทำลายความหวัง  ทำลายความรู้สึกดีๆ ของฉันลงอีก  ฉันก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่เพื่อเป็น "ตัวจริง" ของเขาอีกต่อไป..

    ในเมื่อฉันค้นพบเสียแล้วว่า  เขาเอาใจและตามใจ "ของเล่น" ทุกชิ้นของเขา  แต่ไม่เคยเอาใจและตามใจ "ตัวจริง" อย่างฉันเลย  แม้แต่ของขวัญที่เขาเองก็รู้ดีว่าฉันอยากได้.. อย่างดอกไม้เพียงช่อเดียว.. เขาก็ไม่เคยมีให้ฉัน  ไม่เคยแม้แต่จะพยายามหามันมาให้.. อย่างที่เขาหาให้ใครต่อใคร

    และมันทำให้ฉันไม่แน่ใจอีกต่อไปว่า  ฉันยังคงเป็น "ตัวจริง" ของเขาอยู่อย่างเดิม  หรือว่ากลายเป็น "ของเล่น" ชิ้นหนึ่งของเขาไปเสียแล้ว..

    เพราะถึงแม้จะคบกันมาสองปี  หากฉันก็ยังไม่เคยได้ยินคำขอแต่งงาน  หรือแม้แต่คำพูดทำนองว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับฉัน..แม้แต่ครั้งเดียว..


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    จากคุณ : โยษิตา - [ 14 ก.พ. 49 06:07:57 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป