บันทึกของคนเดินเท้า
ความรักทำให้เดือดร้อน
หนังสือพิมพ์รายวันเมื่อ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๑ พาดหัวตัวโตว่า ควงระเบิดปล้นธนาคาร แล้วก็เสนอข่าวต่อไปว่า
เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เวลา ๑๕.๒๕ น. ได้มีชายคนหนึ่งใส่กางเกงยีนส์ สวมเสื้อขาวแขนยาวพับแขน ได้เดินเข้าไปในสำนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพหลโยธินแขวงสามเสนใน เขตพญาไท ขณะนั้นพนักงานกำลังทำงานกันใกล้จะปิดอยู่แล้ว
ชายคนดังกล่าวได้เดินดูโปสเตอร์การฝากเงินประเภทต่าง ๆ จนเข้าไปใกล้โต๊ะของผู้จัดการสาขาของธนาคาร จึงชักปืนและลูกระเบิดออกมาขู่ผู้จัดการ และประกาศให้พนักงานทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่เช่นนั้นจะโยนระเบิดเดี๋ยวนี้
พนักงานที่อยู่ห่างออกไปบางส่วนก็ตื่นกลัว ได้พากันหลบหนีไปอยู่ในห้องน้ำ พอดีในขณะนั้น นางสาวเพ็ญ พนักงานเก็บเงินของสถานโบว์ลิ่งใกล้เคียง ซึ่งได้นำเงินแลกที่ธนาคารไว้ก่อนแล้ว ได้เดินเข้าไปในธนาคารเพื่อรับเงินที่แลกไว้ ได้เห็นเหตุการณ์ จึงวิ่งออกมาโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบางซื่อทราบ
เจ้าหน้าที่และสารวัตรใหญ่จึงได้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยอาวุธครบมือ คนร้ายเห็นดังนั้นจึงกระโดดเข้าล็อคคอผู้จัดการไว้ พร้อมกับประกาศห้ามทุกคนเข้าไปใกล้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบางซื่อได้รายงานไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และอธิบดีกรมตำรวจ แล้วนำกำลังไปรายล้อมที่เกิดเหตุเพิ่มขึ้นอย่างแน่นหนา เป็นจำนวนมาก
เมื่อคนร้ายเห็นว่ามีตำรวจเพิ่มมากขึ้นทุกที ก็มีการต่อรองกันขึ้น โดยคนร้ายบอกว่าที่มาทำการครั้งนี้ไม่คิดจะทำร้ายใคร เพียงแต่ต้องการเงินเท่านั้น แล้วคนร้ายก็ให้พนักงานหยิบเงินให้ แต่ไม่มีใครทำตาม คนร้ายจึงหยิบเอาเองจากตู้เซฟที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะผู้จัดการ
แล้วต่อรองให้ตำรวจจัดรถมาให้พร้อมคนขับที่ไม่ใช่ตำรวจ และไม่มีวิทยุในรถ เพื่อเดินทางไปยังอำเภอบางมูลนาค และต้องเอา ผู้จัดการไปเป็นตัวประกันด้วย
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงสั่งห้ามมิให้ทำอะไรคนร้าย และให้ตำรวจนำรถส่วนตัวมาเตรียมรับคนร้ายโดยแต่งตัวเป็นพลเรือน และให้ตำรวจนอกเครื่องแบบเตรียมจักรยานยนตร์ เพื่อติดตามคนร้ายไป
ส่วนตำรวจผู้เชี่ยวชาญระเบิดและแม่นปืน ให้รอฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด และขณะนั้น คนร้ายได้ถอดสลักระเบิดออก อีกมือหนึ่งถือปืนมองซ้ายมองขวาระมัดระวังตัวเพราะไม่ไว้ใจตำรวจอยู่ตลอดเวลา
ส่วนภายนอกธนาคารก็มีประชาชนมามุงดูมากมายนับพันคนจนแน่นถนนไปหมด การจราจรในช่วงนั้นติดขัดเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
คนร้ายรายนี้อายุประมาณ ๒๕ ปี ผิวเนื้อดำแดง ตัดผมรองทรง ถือระเบิดมือแบบ เอ็ม.๒๖ อีกมือถือปืนพกอัตโนมัติแบบแมกกาซีน ในขณะที่กำลังต่อรองกันอยู่นั้น ทางตำรวจเกรงว่าคนร้ายจะรู้ว่าตำรวจกำลังวางแผน จึงพยายามพูดถ่วงเวลาไว้ โดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขอไปเป็นตัวประกันด้วย ซึ่งคนร้ายก็ไม่ขัดข้อง
ขณะนั้นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เดินทางมาถึงและขอร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า อย่าให้มีการยิงกันขึ้นมาเลย คนร้ายต้องการเงินเท่าไรก็ให้เขาไป ขอเพียงให้พนักงานธนาคารปลอดภัยเท่านั้นเป็นพอ
กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงอยู่จนถึงเวลา ๑๗.๓๐ น. จึงได้นำข้าวห่อพร้อมด้วยโอเลี้ยงสองถุง ซึ่งใส่ยาสลบอย่างแรง เอาไปให้คนร้าย แต่ปรากฏว่าคนร้ายปฏิเสธ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำแม้แต่จิบเดียว
จากนั้นอธิบดีกรมตำรวจได้ให้นายตำรวจอดีตตำรวจตระเวนชายแดน ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดและแม่นปืน แต่งตัวพลเรือนเข้าไปดูลาดเลา และวิถีกระสุนที่จะได้ยิงคนร้ายโดยทุกคนไม่เป็นอันตราย แต่ดูแล้วไม่มีทางทำได้ จึงเข้าไปคอยหาจังหวะในห้องที่คนร้ายกำลังต่อรองกับตำรวจอยู่
จนเวลา ๑๘.๐๐ น.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้พนักงานที่เข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำใต้บันไดออกมาข้างนอกให้หมด ต่อมาได้มีรถพยาบาลและรถของมูลนิธิร่วมกตัญญู แล่นมาจอดคอยหน้าธนาคารที่เกิดเหตุ
พอถึงเวลา ๑๘.๓๐ น. ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับมีเสียงปืนดังตามติดมา ทุกคนที่อยู่ภายนอกห้องล้มตัวลงนอนหลบลงกับพื้น พอสิ้นเสียงแล้วนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จึงเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ โดยไม่มีผู้ใดในห้องนั้นได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว
นายตำรวจผู้พิชิตคนร้ายได้เปิดเผยว่า เมื่อตนเห็นคนร้ายเผลอตัวพูดว่า สนุกดีที่มีตำรวจมารายล้อม ตนจึงกระโดดเข้าแย่งลูกระเบิดจากมือคนร้าย ซึ่งได้ถอดสลักแล้ว คนร้ายจึงทิ้งระเบิดลงกับพื้นเพื่อให้ระเบิด
แต่ด้วยความชำนาญ ตนจึงผลักผู้จัดการธนาคารให้ล้มลง แล้วหยิบลูกระเบิดโยนเข้าไปในซอกบันไดมุมห้องเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ลูกระเบิดจึงระเบิดขึ้นโดยไม่ถูกผู้ใด เมื่อคนร้ายเห็นว่าเสียทีตำรวจแล้ว จึงใช้ปืนพกในมือจ่อขมับขวายิงตัวตาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชันสูตรศพคนร้าย ปรากฏว่าสิ้นใจตายแล้ว เหนือกกหูขวามีรอยกระสุนเป็นแผลเหวอะหวะ ข้าง ๆ ศพมีปืนคอลท์สเปเชี่ยนขนาด .๒๒ ออโตเมติคตกอยู่และมีปลอกกระสุน ๑ ปลอก
ส่วนผู้จัดการธนาคารนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด เมื่อหายตกตลึงแล้วก็วิ่งออกมาข้างนอกห้องพบภรรยาซึ่งรออยู่ จึงโผเข้าไปกอดกัน แล้วก็พากันกลับบ้านไป
เจ้าหน้าที่ค้นในตัวศพคนร้าย ก็พบจดหมายเขียนด้วยกระดาษสีฟ้ามีความว่า
คุณตำรวจที่รัก ไม่ต้องตื่นเต้นกับการตายของผม ช่วยเผาผมด้วย และได้พบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งเขียนศีลห้าและศีลแปดไว้ นอกนั้นไม่ปรากฏว่าในตัวคนร้ายมีอะไรอีกเลย แม้แต่ชื่อ
เจ้าหน้าที่จึงไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน แต่ในขณะที่พูดต่อรองกันนั้น คนร้ายได้บอกว่าอดีตเคยเป็นเสมียนอำเภอบางมูลนาค จังหวัดพิจิตร เจ้าหน้าที่จึงติดต่อไปทางอำเภอดังกล่าว แล้วให้มูลนิธิร่วมกตัญญู นำศพคนร้ายส่งโรงพยาบาลตำรวจ ดำเนินการต่อไป
ต่อมาเมื่อ ๒๓ เมษายน เวลา ๐๘.๓๐ น. นางเจือ อายุ ๕๐ ปี กับนายสุข อายุ ๒๔ ปี ได้เดินทางจากจังหวัดอุทัยธานี เข้าพบสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เพื่อขอรับศพคนร้ายปล้นธนาคารเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี โดยแสดงตัวว่าเป็นมารดาและพี่ชายของคนร้าย ซึ่งมีชื่อว่า นายชิต (นามสมมุติ) อายุ ๒๒ ปี บ้านอยู่ตำบลห้วยรอง อำเภอหนองขาหยั่ง จังหวัดอุทัยธานี
และนางเจือได้เปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นบุตรคนที่สาม ในจำนวนหกคน ซึ่งมีอาชีพเป็นครูสี่คน รวมทั้งผู้ตายด้วย และบอกว่าปืนที่ใช้ยิงนั้นเป็นของบิดา
พี่ชายได้กล่าวว่าน้องชายที่ตายนั้นเป็นคนใจเด็ดเดี่ยวมาก ต่อสู้ชีวิตด้วยลำแข้งของตนเองมาตลอด และเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่ง ถึงแม้ว่าทางบ้านจะยากจน ถ้าผู้ตายขอยืมเงินจากทางบ้านแล้ว ก็จะพยายามหามาใช้คืนจนหมดสิ้น และเป็นคนพูดจริงทำจริง และคิดอยู่แล้วว่านิองชายจะต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะระยะหลังนี้ดูเป็นคนเคร่งขรึม มีอารมณ์หงุดหงิด
ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากผู้ตายได้ไปติดพันนางสาวจันทร์ (นามสมมุติ) ซึ่งเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนผู้ใหญ่ และกำลังเรียนพิมพ์ดีดอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี โดยเพิ่งรักชอบพอกันได้ ๓-๔ เดือน
ต่อมาฝ่ายหญิงบอกว่าได้ตั้งครรภ์กับผู้ตาย เพื่อนของผู้ตายก็แนะนำให้ทำแท้งออก แต่เมื่อผู้ตายพาแฟนสาวไปหาหมอเพื่อทำแท้ง ปรากฏว่านายแพทย์ไม่สามารถทำได้ เพราะได้ตั้งครรภ์ถึงเจ็ดเดือนแล้ว ทำให้ผู้ตายกลัดกลุ้มอย่างหนัก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของตน
ต่อมานางสาวจันทร์ได้มาหามารดาผู้ตายที่บ้าน พร้อมกับแจ้งว่าต้องการให้ผู้ตายรับเลี้ยง ผู้ตายก็ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะจัดการเรื่องราวให้เป็นที่เรียบร้อย โดยไปตกลงกับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง และได้เขียนจดหมายมาบอกมารดาว่า ต้องการใช้เงินสามพันเพราะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปทำอะไร ซึ่งทางบ้านก็เตรียมเงินไว้ให้ แต่ผู้ตายก็ไม่ได้กลับบาบ้าน จนกระทั่งได้กลายเป็นโจรปล้นธนาคารไป
แต่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ มารดาและพี่ชายจึงไม่สามารถรับศพผู้ตายไปจัดการได้ รุ่งขึ้นวันที่ ๒๔ เมษายน นายสุ อายุ๕๔ ปี ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย ได้มาขอรับศพบุตรชายไปทำการฌาปนกิจที่จังหวัดอุทัยธานี
และได้เปิดเผยว่า ปืนที่บุตรชายใช้ก่อคดีนั้นเป็นปืนของตนเอง ซึ่งเก็บไว้อย่างมิดชิด และไม่ทราบว่าผู้ตายมาเอาไปตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนตนได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งเป็นของผู้ตาย เขียนมาบอกว่าขอลาพ่อแม่พี่น้องและญาติเพื่อตัดปัญหา เพราะตัวเองก่อปัญหาไว้มาก ไม่ต้องเป็นห่วงถือว่าชาตินี้ทำบุญกันมาแค่นี้ และได้ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าตัวตาย
แต่ในจดหมายมิได้กล่าวถึงเรื่องผู้หญิงแต่อย่างใด นายสุได้เล่าไปร่ำไห้ไปว่า นึกไม่ถึงว่าลูกจะต้องคิดมากอย่างนี้ เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่น่ามาฆ่าตัวตาย และบังเอิญได้รับจดหมายช้าไปหน่อย หากได้รับก่อนเกิดเหตุก็ยังพอที่จะห้ามปรามทัน และตลอดเวลา๒๐ ปีที่ผ่านมา ตนเองยังดูบุตรชายคนนี้ไม่ออก บางทีก็ขรึม บางทีก็เป็นคนน่ารัก แต่เป็นคนเอาจริงเอาจัง แล้วนายสุก็ได้รับศพบุตรชายไปบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดอุทัยธานี สมดังเจตนา
เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องของความรักความใคร่ ที่มีอยู่ดาดดื่นในสังคมทั่วไป ไม่น่าจะต้องวิตกหวั่นไหวจนถึงกับฆ่าตัวตายเลย
ข้อสำคัญคือเมื่อตั้งใจจะ ปลิดชีวิตตนเองแล้ว เหตุใดจึงมาก่อให้เกิดความวุ่นวาย กับผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ทั้งเจ้าพนักงานธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนบรรดาไทยมุงทั้งหลาย เคราะห์ดีที่ไม่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายลง
ซึ่งต้องยกย่องความกล้าหาญ และไหวพริบของนายตำรวจที่ปฏิบัติการอย่างถูกต้องและรวดเร็วฉับพลันนั้น เป็นอย่างยิ่ง .
#########
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
.....ความรักทำให้เดือดร้อน ไม่รู้มาก่อนอย่าริรักเลย......
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
14 ก.พ. 49 08:46:09
]