27-1-49
ตี 3 ตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปงานฉลองหนาว ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ จ. เชียงใหม่ ปีนี้น้องชายฉันลางานไปด้วยล่ะ เดินทางด้วยรถตู้ 2 คัน กระบะแคป 2 คัน กระบะ 1 คัน ล้อหมุนประมาณตี 4 เศษ แวะทานทานข้าวที่กำแพงเพชร ออกเดินทางต่อยิงยาวถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ว่าจะไปอาบน้ำซักหน่อย ห้องน้ำไม่มีไฟฟ้ามองไม่เห็น เลยไม่กล้าอาบ อิอิ วันนี้ข้างแรม เมื่อม่านราตรีกาลคลี่คลุมท้องฟ้า ทะละดาวระยิบระยับปรากฎบนผืนฟ้ากลางหุบเขาอันหนาวยะเยือก ได้สัมผัสความมืดสนิทจริง ๆ ที่ไร้แสงไฟจากไฟฟ้า มองเห็นแสงสีทองเป็นจุดเล็ก ๆ เคลื่อนไหวได้ นั่นคือ หิ่งห้อยนั่นเอง ฉันปรารถนาอยากเห็นมานานแล้ว สมณะประจำภูผาฯ กล่าวเชิญต้อนรับพวกเราว่า ยินดีต้อนรับสู่ห้องเย็นธรรมชาติ เดินไปฟังสมณะเทศน์ แล้วกลับมาตรวจงานต่อจนเสร็จ ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ไม่ไหวแล้ว มือมันหนาวจนจับปากกาเขียนต่อไม่ได้
28-1-49
ตื่นจากฝันร้ายเวลา 7 โมงเช้า ฝันว่า กลับบ้านไม่ถูก ในฝันคิดว่า เราคงฝันไป ลองหยิกตัวเองดู อืม
ไม่เจ็บ แสดงว่า ฝัน แล้วก็ร้องไห้ จนรู้สึกตัวตื่น น้องหยกมาขอกล้องไปถ่ายรูปกัน เรายกขบวนไปเดินเล่น แล้วถ่ายรูปกลางสายหมอกสีขาวละมุน เดินกลับมากราบสมณะถิรจิตโต ท่านเล่าว่า ท่านไปซ่อมน้ำต้นลำธารตั้งแต่เช้าจนมืด ขากลับมันมืดมาก ท่านใช้จอบฟันทาง เลาะมาตามลำธาร จนกลับมาถึงภูผาฯ ได้สำเร็จ บรรดาสมณะ ญาติโยมต่างเป็นห่วง จากนั้นก็เติมพลัง ด้วยก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ ขนมมันปิ้งร้อน ๆ อร่อยที่สุด หม่ำเสร็จก็มานอนอ่านหนังสือจนหลับไป(ทุกทีเลย)
ตื่นมาไปดูการแข่งขันกีฬาอริยะ วันนี้มีการแข่งเก็บผักป่ากับหักฟืน ฉันว่า คนที่ตัดสินต้องเก่งมาก ๆ เลย ผักอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด แล้วเราก็ไปต่อสายพานช่วยกันขนหินมาถมตรงสะพานข้ามลำธารเล็ก ๆ พวกผู้ชายก็ใช้รถเข็นขนหินก้อนใหญ่ ๆ หรือใช้วิธีแบกไป ส่วนพวกผู้หญิงก็ก้อนเล็กหน่อย คนที่ควานหาก้อนหินในลำธารเก่งมาก ๆ เลยล่ะ ว่าจะไปโป่งเดือดกะเขา ก็ไปไม่ทันรถ ดีนะไม่วิ่งไปเก้อ วอร์ไปถามก่อน จากนั้นก็ไปอาบน้ำ พาน้องไปกินข้าว ชมทะเลดาว เฝ้ามองหิ่งห้อยน้อย ปิดไฟฉายสัมผัสความมืดมิดของธรรมชาติ ไปนั่งก่อกองไฟกินข้าวกี่ มันเผา ไม่รู้ว่าโยนมันเข้าไปเผาฝังไว้ในขี้เถ้า สงสัยว่าจะเอามันออกมาครบหรือเปล่าสิ คืนนี้มานอนในเต้นท์เป็นเพื่อนน้องต่าย เพราะเขาบอกอยากให้ไปนอนเป็นเพื่อน
29-1-49
ฝันร้ายอีกแล้วคืนนี้ ฝันว่า อาจารย์จะสอบ ถามคำถามอะไรไม่รู้ ในหนังสือไม่เห็นมีคำตอบเลย ตื่นประมาณเกือบ 7 โมงเช้า เราพากันเดินขึ้นเขาไปเที่ยวเขตที่พักของสมณะกัน มีโบสถ์ที่สร้างจากดิน เรียกว่า ศาลาเดินจงกรม เป็นอาคารชั้นเดียว มีหน้าต่างรอบทิศทาง มีคูน้ำเล็ก ๆ ล้อมรอบเพื่อกันมดเข้าไปเจาะโบรสถ์ กลับมาทานข้าว ประชุมนัดหมายการเดินทาง กลับไปเก็บของ แล้วไปดูการแข่งขันกีฬาอริยะอันทรงพลัง ได้แก่ กีฬาผ่าฟืน บริษัทฉันส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันด้วยนะ 1 คน ฉันไปไม่ทันดูเลย จากนั้นดูกีฬาตำข้าว กลับไปเก็บของ แล้วไปช่วยขนหินต่ออย่างสนุกสนานมากเลย ต่อสายพานกัน ใครมาเห็นก็เหมือนอดไม่ได้ ต้องเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ยืนต่อกันไป เสร็จก็เตรียมออกเดินทางมาพักที่ชมร.เชียงใหม่ คืนนี้ว่าจะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยวไนท์บาร์ซ่ากันล่ะ แต่ถึงเวลาจริงไม่ได้ไปหรอก ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าด้วย เด็ก ๆ ก็เลยหน้าแห้งไปนิหน่อย จริง ๆ ฉันก็ไม่อยากไปหรอก แต่เห็นเด็ก ๆ อยากไปกันก็เลยไปต้องไปคุม เอ้ย! ไม่ช่าย
ไปเป็นเพื่อน
30-1-49
ตี 5 โดยประมาณเราออกเดินทางมุ่งสู่พระเยาว์บ้านพี่ผึ้งหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อ มาถึง 8 โมงเช้า ไปถ่ายรูปกันที่กว๊าวพะเยาว์ แล้วมาทานข้าวเช้าที่แสนอร่อยที่บ้านพี่ผึ้ง คุณแม่พี่ผึ้งเตรียมอาหารไว้รอพวกเราอย่างคับคั่งเช่นเคย กินข้าวเสร็จประมาณเที่ยงเราไปเที่ยวน้ำตกภูซาง ไม่ได้เล่นน้ำตกกับเขาหรอก นั่งอ่านหนังสือการ์ตูน(มีน้องให้มาเป็นของขวัญปีใหม่ตั้งแต่ปีที่แล้วโน้น
ไม่รู้ตอนนี้น้องคนนั้นเป็นไงบ้างน้อ
.ไม่เห็นส่งข่าวเลยเป็นห่วงจัง
.)
มีน้อง มาคุยด้วย บอกว่า หน้าฉันเด็กมากไม่เชื่อว่า ขึ้นเลขสามแล้ว ฮี่ ๆ แหม
ทำให้ฉันมีเรื่องโม้อีกแล้ว แฮ่
. เขาว่าหน้าตาไม่เกิน 25 น้า
พวกเล่นดนตรีร้องเพลงก็เล่นไป เรามีมือกีต้าระดับอาชีพมาด้วยเชียวน้า เล่นได้ทั้งไทยทั้งเทศ มีมือกีต้ามาหลายมือด้วยกัน สนุกสนานกันเชียวล่ะ เฮฮามาก พวกอยากไปดูต้นกำเหนิดของบ่อน้ำร้อนก็ไป อยากเล่นน้ำตกก็เล่นไป อยากนอนก็นอนไป แก๊งของเราใหญ่มาก ๆ ไม่มีเหล้า บุหรี่ เหมือนการเฮฮาปาร์ตี้ของวงอื่นเลย ที่จะต้องเห็นขวดเหล้าขวดเบียร์ตั้งอยู่
ตอนเย็นมีการพูดคุยกับสิกขมาต และนัดแนะการเดินทางกลับ ประเด็นสำคัญ ใครใคร่ไปภูชี้ฟ้าก็ตื่นมาก็แล้วกัน หืม
..นึกว่าจะอดซะแล้วสิ! เพราะตอนแรกจะไปภูชี้ฟ้าตอนเย็น ไปดูพระอาทิตย์ตก (เอ
มันจะสวยสู้ตอนเช้าได้ไง คิดในใจ ไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ต้องแล้วแต่หมู่) แต่พอเล่นน้ำเสร็จก็เย็นแล้ว คงไปไม่ทัน กลัวจะค่ำซะก่อน แม่ ๆ ป้า ๆ ก็เหนื่อยกัน อยากพักผ่อน ก็เลยเดินทางกลับ แล้วพรุ่งนี้ โชว์เฟอร์ต้องออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ถ้าไปภูชี้ฟ้าต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 กว่าโน่น เท่ากับคนขับรถยิงยาวเกินไป(คิดเอาเอง) ก็สงสารคนขับเหมือนกัน ก็ตัดใจ คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ แต่สุดท้ายก็ได้ไป เย้!!!
31-1-49
ประมาณตี 3.30 น. ตื่นเพื่อเตรียมตัวไปภูชี้ฟ้า น้องต่ายบอกว่า ถ้าไปเที่ยวตื่นเช้าแค่ไหนก็จะตื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ติดนอนเอาการทีเดียวนะ ฉันดีใจมากที่ได้ไปซะที มีผู้ร่วมขบวนการ 12 คน ภูชี้ฟ้าห่างจากบ้านที่พักประมาณ 60 กม. เราออกรถตอนประมาณตี 4.15 น. นั่งไป 1 ชม. รถวนขึ้นเขาวนแล้ววนเล่า วนไปอยู่อย่างนั้น ไปไม่ถึงซักกะที และแล้วเวลาตี 5 เกือบ 6 โมงเช้า เราก็ไปถึง เริ่มมองเห็นรถตู้คนอื่นที่คงจะไปจุดหมายเดียวกัน แต่ว่า พอรถแล่นไปอีก 1 กม. จะถึงจุดจอดรถ รถของเราก็มีปัญหา ขึ้นเขาไม่ไหว เราต้องลงจากรถกันหมด พอลงมาเหยียบพื้นดินมันเป็นทางขึ้นเขาที่ชันพอสมควร รู้สึกมึนจบเกือบจะล้ม เราคอยลุ้นให้คนขับนำรถขึ้นไปต่ออย่างปลอดภัย ระหว่างนั้นมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งสวนมาตะโกนถามพวกเราว่า ไปภูชี้ฟ้ามั้ย ประมาณนั้น แล้วเขาก็วนรถกลับมา พวกเราดีใจมากรีบวิ่งขึ้นรถเขากันหมด ฉันคิดว่าเขาคงเป็นเจ้าหน้าที่ของภูชี้ฟ้า ใจดีจังเลย ดูแลนักท่องเที่ยวดีจัง คนขับรถของพวกเราสามารถนำรถขึ้นไปได้ ทุกอย่างปลอดภัย รถกระบะวิ่งไปรับคนขับรถของพวกเราอีก 1 คน เกือบลืมกล้องแหนะ ถ้าลืม หมดหนุกเลย
รถกระบะวิ่งไปส่งพวกเราจนถึงจุดที่ต้องเดินขึ้นไป เจ้าหน้าที่ภูชี้ฟ้าที่เราคิดว่าใจดีจังคนนั้นบอกกับพวกเราว่า คนละ 15 บาท 12 คนก็ 160 บาท แตร่ว!!! ฉันก็งง ๆ นึกว่า ต้องเสียค่าขึ้นภูชี้ฟ้าด้วย ก็ยังงง ๆ อยู่ แต่ก็อืม
จ่ายเขาไป น้องกระแตมาถามฉันว่า เขาเป็นใคร เราจ่ายเงินค่าอะไร สมองที่สับสนเริ่มคลี่คลาย สงสัยจะเป็นค่าบริการที่พวกเราอาศัยรถเขาขึ้นมาซะละมั้ง? เฮ้อ
ด้วยความไม่รู้ อืม
ต่อไปต้องถามก่อนว่าค่าอะไรยังไงกันแน่ ตอนนั้นมันนึกไม่ถึง ไม่ได้คิดอะไรเลย ถ้าเขาบอกแต่แรกว่า จะไปส่งแต่เสียคนละ 15 บาท เราจะไปกันไหมนะ ก็คงไปมั้ง
ช่วงที่เราไปถึงยังมืดมาก ดาวศุกร์ใสกระจ่างเด่นเหนือดาวอื่นใด ก็จะมีเด็ก ๆ ชาวเขามั้งมาขายถุงมือ ขายไฟฉาย มีร้านค้าทั่วไป พวกเราต้องเดินขึ้นเขาไปอีก มันมืดด้วย แล้วก็ชันพอสมควร แต่ไม่มาก แต่ก็ทำให้เราหอบได้เหมือนกัน มองดูจุดมุ่งหมายอันแสนไกลด้วยความรู้สึก มองเห็นเหมือนอยู่ไกลลิบตา ดูไกลมาก แต่เราก็ตั้งใจ ต้องไปให้ถึง เมื่อแสงสว่างจาง ๆ เริ่มจับที่ขอบฟ้า มองเห็นคนที่ยืนสลอนอยู่บนยอดภูชี้ฟ้า ตอนแรกนึกว่าเป็นต้นไม้ซะอีก แต่ไม่ใช่ คนยืนกันเต็มไปหมดเลย เป็นร้อยคนได้นะ กลุ่มคนที่กำลังเดินขึ้นไปจะหยุดพักเป็นจุด ๆ พาลูกพาหลานมาดู มาเป็นครอบครัวก็มี บางคนบอกอย่างมีอารมณ์ขันว่า ไปถึงก่อน อย่าดูหมดนะ เหลือไว้ให้ดูบ้าง ฟังแล้วต้องอมยิ้ม
และแล้วพวกเราก็พิชิตยอดภูชี้ฟ้าได้สำเร็จ ดาวศุกร์แจ่มจรัสยังอยู่เป็นเพื่อน เป็นกำลังใจให้พวกเราอยู่ เมื่อขึ้นไปถึง เราก็เริ่มถ่ายรูปกัน เนื่องจากยังมืดมาก เราต้องใช้แฟ็ตช่วย ขณะที่กำลังถ่ายรูปกันอยู่นั้น แบ็ตก็หมด ไอ้หยา
..!! เพราะการใช้แฟ็ตกินถ่านมาก ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งชาร์ตใหม่เมื่อวานนี้เอง (แต่ชาร์ตไม่ถึง 8 ชม.เลย) ถ่านที่เราเตรียมไปอีกก็ไม่ได้ชาร์ต แบบว่าไม่รู้ว่าต้องชาร์ตนึกว่าแกะออกมาจากห่อก็ใช้ได้เลย ว้า
.. แต่ว่า มีอีกกล้องหนึ่ง เลยขอถ่านอีกกล้องมาใส่ก่อน เปลี่ยนกันถ่าย ฮา
. เราก็หามุมนั้นมุมนี้ถ่ายกัน ไม่มีเบื่อเลย ฮี่ ๆ รอพระอาทิตย์ขึ้นนานมาก เกือบ 7 โมงเช้าแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นจากทะเลหมอกเลย จนนึกว่าไม่ขึ้นแล้วมั้ง หรือขึ้นไปแล้วก็ไม่รู้ แต่มองไม่เห็น ตรงนี้อาจจะอยู่สูง ทำให้พระอาทิตย์ต้องเดินทางนานกว่าจะมาถึงก็ได้นะ
เสียงร้องเฮ
..ดังขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เมื่อพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแก้มแด๊งแดง ค่อย ๆ โผล่พ้นทะเลหมอกขึ้นมาทักทายขอบฟ้าอย่างเขินอาย อิอิ ความงดงามของทะเลหมอก และธรรมชาติยามเช้าในฤดูหนาว มีพระอาทิตย์เป็นพระเอก มีทะเลสายหมอกเป็นนางเอก มีขุนเขาเป็นตัวประกอบ บรรยายเป็นภาษาไม่ได้เลยว่าสวยงามขนาดไหน ต้องไปดูด้วยตาตัวเอง พวกเรายังไม่อยากลงจากภูเลย แต่กำหนดการต้องเดินทางกลับตอน 10 โมงเช้า เป็นอย่างช้า เราต้องตัดใจจากภูชี้ฟ้ามาอย่างอาลัยอาวรณ์ อี่ ๆ ปีหน้า ถ้ามีโอกาส ฉันก็ยังอยากจะไปอีก เหมือนไม่เบื่อที่จะได้ชมธรรมชาติอันงดงามของยามเช้า
ก่อนลงจากภูเราต้องไปเติมน้ำมันก่อน ที่รถมีปัญหาแต่แรกก็เพราะน้ำมันมันจะหมดนี่แหละ กลับถึงที่พัก 9.22 น. ใช้เวลา 1 ชม.เศษ พอไปถึงก็รีบเอาข้าวของเตรียมขึ้นรถ ป้า ๆ เขาทำกับข้าว กินข้าวกัน เก็บล้างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว พร้อมกับห่อข้าวให้พวกเราด้วย ทีมเราต้องไปกินข้าวกันบนรถ ก่อนกลับเราทำพิธีกล่าวขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของพี่ผึ้ง และกราบขอบคุณที่เลี้ยงดูทำกับข้าว ปูที่หลับที่นอน การต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใส เต็มใจทุกครั้งที่พวกเราไปเยี่ยมเยือน เตรียมต้อนรับพวกเราอย่างดี น่ารักมาก ๆ ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ ไม่มีใครที่ได้มาบ้านนี้ แล้วไม่ประทับใจการต้อนรับซักคนเดียว พวกเราขอบคุณที่ยอมให้ลูกสาวท่านมาทำงานศาสนา ทำงานเสียสละ เป็นหลักและเป็นผู้นำให้กับบริษัทของเรา ที่พิสูจน์ดำเนินตามแนวทางบุญนิยมให้เป็นจริง
พอออกเดินทาง เราก็เริ่มหม่ำ ๆ โม้ ๆ และหลับ ฮี่ ๆ น้องต่ายที่ร่วมขบวนการเดียวกันบอกว่า ได้กินข้าวกับพี่บนรถ มีความสุขมาก เพราะพี่เหมือนแม่เลย อ้าว!! แล้วกัน! ว่าซะ!! ฉันนั่งอ่านหนังสือต่อประมาณ 1 ชม. อ่านชีวิตทีละก้าว อ่านแล้วประทับใจการเสียสละ การทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน ประทับใจจิตใจที่อยากช่วยเหลือคนอื่น อ่านจบไป 3 คน แล้วจึงหลับตามไป อิอิ
ประมาณบ่าย 3 โมงเย็น เราเดินทางถึงจังหวัดสุโขทัย อ.ศรีสัชนาลัย เพื่อเยี่ยมเยียนคุณพ่อของป้าเพ็ญพร พี่สาวป้าเพ็ญพรทำอาหารเลี้ยงพวกเราอิ่มอร่อยมาก บ้านเขามีอาชีพขายข้าวแกงเนื้อสัตว์ แต่เขาก็ทำมังสวิรัติให้พวกเราทาน มีผัดขิงใส่เต้าหู้ ต้มยำ ส้มโอ ฝรั่ง ตามด้วยยาคูลอีกคนละขวด ก่อนกลับพวกเรากราบคุณพ่อของป้าเพ็ญพรที่ยอมให้ลูกสาวมาทำงานเสียสละที่บริษัทของเรา และที่ลืมไม่ได้ที่ต้องขอบคุณคืออาหารแสนอร่อย น้องสาวและสามีของเธอดูเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานคล่องแคล่วว่องไวทั้งคู่เลย ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วเราก็เดินทางกลับบ้าน
คิดถึงบ้านจัง มีงานรออยู่เพียบเลย
แฮ่
แฮ่
=
===========
สวัสดีค่า.....สบายดีกันหรือเปล่าคะ ช่วงนี้งานยุ่งจริง ๆ คนทำงานก็ป่วยอีก ต้องพักกันยาวเลย แง้ ๆๆ
รักษาสุขภาพนะคะ ^ _ ^
แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 49 23:20:29
จากคุณ :
ริเศรษฐ์
- [
23 ก.พ. 49 23:16:59
]