CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ++++ แรงดึงดูด...แห่งรัก +++ [ Love therapy # 3 ]

    แปลกมาก !! ผมไม่เคยเกิดอาการอย่างนี้มาก่อน

    ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนๆต่างบอกว่า ผมทำตัวไร้ความรู้สึก ไม่เคยร้องให้ ไม่เคย
    ดีใจออกนอกหน้า ใครที่ทำให้ผมโมโหได้ จะเป็นที่เล่าขาน ถูกแซงคิว ถูกยืมเงิน
    แล้วไม่คืน เพื่อนกินขนมไม่แบ่ง ไปเที่ยวไม่ชวน เท่าที่จำได้ผมไม่ได้ต่อว่าใครเลย

    เสียใจ...ก็ไม่คุ้นเคยนัก

    เพื่อนบางคนเคยนึกไปว่า ผมไม่น่าจะเป็นคน
    น่าจะเป็นพระ...พระพุทธรูปปางเดินไปเดินมา

    ผมไม่โกรธใคร ไม่รู้จะโกรธอย่างไร จึงทำเป็นเฉยๆ แต่ก็มีผลดีมากมาย ผมไม่เคย
    ทะเลาะเบาะแว้ง ใจเย็นอดทนได้ยาวนาน พูดจาด้วยเหตุและผลไม่มีอารมณ์ทำให้
    บาดหมาง เข้าใจผิด ไม่ใช้อารมณ์ขณะตัดสินใจ

    อย่าว่าแต่เรื่องไร้อารมณ์เลยครับ ถ้าถามว่าอนาคตข้างหน้า ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผมก็
    ตอบลำบาก ผมอยู่กับวันนี้เท่านั้น ตื่นนอนเวลาเดิม อาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน สวมชุด
    ทำงานเหมือนเดิมทั้งสัปดาห์ ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือใช้อารมณ์เลือก ไปทำงาน กลับบ้าน
    กินข้าว ดูข่าว ที่ผมไม่เคยเกิดอารมณ์อะไร ไม่ผิดหวัง ไม่สมหวัง ไม่ว่าใครจะมาใครจะ
    ไป ชีวิตวันพรุ่งนี้ของผม ก็...เหมือนเดิม ตื่นนอน...อาบน้ำ...ไปทำงาน...กลับบ้าน

    เหมือนกับอีกหลายคนที่ผมรู้จัก
    แตกต่างกันที่หน้าที่การงานความรับผิดชอบเท่านั้น

    ผมได้งานที่เหมาะกับตัวเองมากจนกระทั่งหลายคน...อิจฉา

    งานนี้จะบรรลุผล เป็นที่ประทับใจของผู้ใช้บริการ ปลอดภัยแก่ทุกคน ไม่เกิดอุบัติเหตุ
    ไม่แข่งกับใคร ไม่เบียด ไม่แซง ไม่ปาดหน้า ไม่บีบแตรไล่คันหน้า ไม่ด่าให้ใครเจ็บใจ...
    จอดป้ายที่มีคนต้องการขึ้นหรือลง แล้ววนกลับมาให้ถึงอู่ นั่นคือเป้าหมายชีวิตในแต่
    ละวัน

    ผมขับรถเมล์

    จำได้ว่าไม่เคยทำงานอื่น
    ขับรถเมล์เป็นงานที่เหมาะกับคนไร้อารมณ์อย่างผม ไม่ต้องกังวลกับเมื่อวาน ไม่ต้องห่วง
    วันพรุ่งนี้ อย่างไรเสียผมก็ขับคันเดิน เส้นทางเดิม กระเป๋ารถเปลี่ยนไป หญิงบ้าง ชาย
    บ้าง ไม่แน่ใจเพศบ้าง ก็ไม่มีผลกับการขับรถเมล์ของผม ผู้โดยสารคือคนแปลกหน้า
    ตลอดเวลา ผมไม่เคยจดจำใครได้เป็นพิเศษ และไม่มีใครจดจำหรือต้องการรู้จักผมเป็น
    พิเศษเช่นกัน ถ้าผมไม่ออกนอกเส้นทาง ไม่ขับรถชนใครหรืออะไร จนต้องเป็นแหล่งข่าว
    ผมก็เป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ

    เป็นสิ่งแวดล้อม...ของสังคม


    เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมต้องจอดรถนอกป้ายเป็นครั้งแรก ขอร้องให้ผู้โดยสารลง
    ทั้งที่ยังไม่ถึงจุดหมายของแต่ละคน รถเมล์เสีย...วิ่งต่อไปไม่ได้ ผมพยายามประคอง
    เข้าที่ว่างข้างทาง เป้าหมายใกล้ที่สุดในสายตาคือที่ว่างข้างๆร้านไดนาโมข้างทาง
    ถัดไปเป็นร้านสะดวกชื้อ เลยไปอีกกว่าร้อยเมตรคือป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดสำหรับผู้โดย
    สารของผมจะต่อรถคันใหม่ได้

    กระเป๋ารถส่งผู้โดยสารลงจนหมดทั้งคัน ผมเดินปาดเหงื่อวนดูรอบรถที่คุ้นเคย แต่ไม่รู้
    ว่ามันคิดอะไรจึงหยุดวิ่งโดยไม่บอกกล่าว ผมโทรศัพท์กลับไปแจ้งแผนกซ่อมบำรุงที่อู่

    อีกไม่นานช่างคงมาถึง

    ผมนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้เตี้ยๆข้างถนน รอบนรถก็ร้อนพอกัน กระเป๋ารถเมล์เดินไปร้านสะ
    ดวกซื้อ ผมนึกได้ว่าน่าจะฝากซื้อน้ำอัดลมชักขวดเพราะเริ่มรู้สึกคอแห้ง

    “น้ำเย็นค่ะ” เสียงใสๆดังขึ้นข้างๆ ไม่ใช่เสียงคู่หูผมแน่ เพราะวันนี้กระเป๋าคือเจ้าแมค
    เป็นผู้ชาย ผมหันไปหาที่มาของเสียง

    หญิงสาวที่มาพร้อมขวดน้ำและแก้ว ทำให้ผมสดชื่นยิ่งกว่าดื่มน้ำในขวดที่เธอถือมา

    “เห็นรถพี่เสียอยู่นาน อากาศมันร้อนมากคุณพ่อเลยให้เอาน้ำมาให้ค่ะ” เธอบอกพร้อม
    กับยื่นถาดที่มีน้ำเย็นขวดใหญ่พร้อมแก้วสองใบมาให้ผม

    “ขอบคุณมากครับ” ผมไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไป ได้แต่มองตามไปขณะที่เธอเดินกลับ
    ร้านไดนาโม

    “โธ่ พี่สมชายมีคนสวยคอยดูแลก็ไม่บอก ไอ้น้ำอัดลมดำๆต่ำต้อยที่อุตส่าห์ถือมาฝาก
    นี่พี่จะกินลงมั๊ยน้า” เจ้าแมคแซวทันทีที่มาถึง

    “สวยดีนะลูกพี่ นี่ขนาดเห็นแว็บๆนะ รถเสียจะพาเสียตัวละมั้งพี่”

    “เอ๊ย เขาก็แค่มีน้ำใจละน่า หย่าคิดมาก” ผมปรามเจ้าแมค แต่ตัวเองคิดไปมากกว่า
    นั้นแล้ว

    “ไม่จริงมั้ง ดูลูกพี่ตาลอยๆชอบกล ฮ่าฮ่าฮ่า”

    ช่างสองคนจากอู่ขับรถปิคอัพออกไป เมื่อจัดการเจ้ารถเมล์จนพอจะวิ่งกลับไปซ่อมต่อที่
    อู่ได้ ผมเดินไปที่ร้านไดนาโมเพื่อคืนแก้วและขวดน้ำ


    “ตูม.....” เสียงระเบิดดังออกมาถึงหน้าร้านที่ผมยืนอยู่

    ผมรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว เหมือนกระแสไฟผ่านจากหัวสู่เท้าแล้ววิ่งย้อนกับขึ้นมาอีกครั้ง
    แขนขาดูราวกับอยู่ผิดที่ผิดทาง หาที่วางไม่ได้ สายตาก็เกิดไม่แน่ใจว่าจะมองไปทาง
    ไหน อยากมองหน้าเธอให้เต็มตาแต่ก็เห็นแต่เท้าทั้งสองข้าง เงยขึ้นก็เห็นแต่ปลายเส้น
    ผมบางๆที่คลอเคลียหน้าผาก ไม่แน่ใจว่าผมเธอยาวประบ่าหรือเลยไหล่ไป ไม่กล้า
    มองตรงๆ แต่มั่นใจว่าเธอผมยาวสลวย

    ดูซ้ายเวลาเธอหันขวา เห็นจมูกด้านขวารับกับริมฝีปากรูปกระจับ...ครึ่งลูก ยามเมื่อ
    เธอหันซ้าย

    “ช่างทำไฟฟ้าซ็อตนะค่ะไม่มีอะไรมาก” เธอบอกเมื่อเดินมารับแก้วและขวดคืนจากผม

    “ขอบคุณมากสำหรับน้ำเย็นครับ” ผมยื่นถาดให้เธอทั้งที่ยังรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว

    “ไม่เป็นไรค่ะ รถซ่อมเสร็จแล้วหรือค่ะ”

    “เรียบร้อยแล้วครับ แต่ต้องเอากลับไปเปลี่ยนอะไหล่บางตัวที่อู่ ขอบคุณนะครับ” ผม
    ละล่ำละลัก เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้

    “ค่ะ” เธอตอบสั้นๆแล้วเดินกลับเข้าร้าน

    แม้เธอจะเดินเข้าร้านไปนานแล้ว แต่ผมก้าวเท้าต่อไปไม่ได้ เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผมยืน
    นิ่งตรึงอยู่ตรงนั้น เพื่อมองเธอเดินลับหายขึ้นไปชั้นบน

    แปลกมาก !! ผมไม่เคยเกิดอาการอย่างนี้มาก่อน

    ตั้งแต่วันนั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไป มีความรู้สึกและอารมณ์มากขึ้น และใจลอยมากขึ้น
    คิดถึงแต่ร้านไดนาโมและเธอคนนั้น ทุกครั้งที่ผ่านผมจะชะลอรถมองเข้าไปในร้าน
    ถ้าโชคดีอาจจะเห็นเธอบ้าง แต่ผมก็ไม่โชคดีบ่อยนัก

    ผมเริ่มขับรถเลยป้าย คงเป็นเพราะใจลอย

    อีกครั้งที่ผมมีโอกาสเห็นเธอ และเธอก็ยิ้มให้ผมจากในร้าน คือวันที่ผมขับรถชนท้าย
    รถกระบะสามคันรวดที่หน้าร้านเธอ กว่าเรื่องจะเสร็จเรียบร้อยก็นานพอที่ผมจะรู้จัก
    ชื่อเธอ และรู้ว่าเธอยังเรียนหนังสืออยู่ อีกหนึ่งปีก็จะได้รับปริญญา

    ข่าวที่รู้มาทำให้ผมหนักใจ คิดมากยิ่งกว่าหนังสือตักเตือนเรื่องการขับรถที่ได้รับ

    เพื่อนร่วมงานหลายคน เตือนให้ผมทำใจ คนขับรถเมล์กับนิสิตปริญญาตรีไม่น่าจะ
    ไปด้วยกันได้ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ผมเห็นคนจบปริญญาก็นั่งรถเมล์ตั้งมากมาย
    หลายคนให้กำลังใจบอกผมให้พยายามต่อไป ในโลกแห่งความรัก...อะไรก็เกิดขึ้นได้

    แต่ผมยังลำบากใจอยู่เพราะ ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมไม่รู้จะสานต่อความสัมพันธ์
    อย่างไร ได้แต่คิดถึง ผ่านร้านไดนาโมที่ไหนก็คิดถึงแต่เธอ เห็นคนผมยาวที่ไหนก็คิด
    ว่าเป็นเธอ


    เหตุการณ์เมื่อวานที่อนุสาวรีย์ชัยก็เกิดจากเหตุนี้ ผมเหลือบเห็นสาวผมยาวบนสะพาน
    ลอย เหมือนเธอมากจนผมอดชะเง้อดูไม่ได้ ลืมไปว่าขับรถเมล์อยู่และข้างหน้าคือ
    ไฟแดง

    ผลคือ ผมชนมอเตอร์ไซด์ที่พุ่งออกมาจากด้านขวาไปสามคัน ต่อจากมอเตอร์ไซด์เป็น
    รถตู้โรงเรียน ผมไม่รู้ว่าบาดเจ็บก็คน รู้แต่ว่าผมถูกเรียกเข้าสำนักงานใหญ่ทันที่เพราะ
    เป็นอุบัติเหตุครั้งที่ห้าในรอบเจ็ดวัน




    “สวัสดีครับ ผมสมชายครับ” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือ หลังจากกดรับสาย
    “ผมสอรายุด จากรายการเรื่องเล่าทุกเช้านะครับ อยากถามว่าหลังจากอุบัติเหตุ มีเด็ก
    อนุบาลห้าคนได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในนั้นต้องผ่าตัดทันที คุณรู้สึกอะไรบ้างไหม”

    “รู้สึกครับ” ผมตอบตามความเป็นจริง ผมเริ่มคุ้นเคยกับความรู้สึกและอารมณ์

    “ดีครับ อย่างน้อยคุณก็มีความรู้สึกสำนึกอยู่บ้าง” ปลายสายที่ถ่ายทอดถึงคนหน้า
    จอสี่เหลี่ยมสรุป

    “แล้วคุณเคยคิดจะไปเยี่ยมอาการเด็กๆ หรือเปล่า” คำถามที่สองตามมา

    “คิดครับ” ผมตอบตามความจริงอีกครั้ง เพราะผมกำลังคิด

    “ดีมาก คุณสมชาย ทำผิดแล้วมีความสำนึก เป็นห่วงคนที่รับเคราะห์ร้ายจากการกระทำ
    ที่คุณก่อขึ้น แล้วคุณจะไปเมื่อไร”

    “อยากไปเร็วที่สุดครับ” อีกครั้งที่คำตอบตามความจริง และมาจากใจ

    “ดีมาก คุณสมชาย อย่างน้อยคุณก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีคนที่มีความรับผิดชอบหลงเหลือ
    อยู่บ้าง ไม่เหมือนรายอื่นๆ หายตัวไปหมด ขอบคุณมากที่ให้สัมภาษณ์”

    ใช่ ผมรู้สึก ผมคิด...คิดถึงเธอเหลือเกิน

    ผมคิดอยากจะไปร้านไดนาโมของเธอ...ตลอดเวลา อยากไปให้เร็วที่สุด
    ความรัก...มีแรงดึงดูดมหาศาลยิ่งนัก ยิ่งกว่าแม่เหล็กดูด ยิ่งกว่าไฟฟ้าดูด ความรัก
    ดึงดูดได้แม้จะอยู่ห่างไกลกันเพียงไหน เขาสูงกางกั้นไว้ รักยังได้...โอ




    ป่านนี้ผมคงยืนอยู่หน้าร้าน ถ้าไม่ต้องเข้าสำนักงานใหญ่ตั้งแต่เช้า เพื่อรอตรวจสุขภาพ
    เป็นการตรวจกรณีพิเศษ ปกติผมและพนักงานคนอื่นได้รับการตรวจเพื่อปรับแต่งเช็ตระ
    บบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ตามที่เจ้าหน้าที่บอกด้วยอารมณ์ขัน

    “คุณสมชายเชิญทางนี้ค่ะ”หญิงสาวในชุดพนักงานเสื้อขาวกระโปรงสีกรมท่ามาถึงตัว
    ผมตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่ผมเดินตามเธออย่างว่าง่าย ผ่านประตูกรุกระจกฝ้าติด
    ป้ายว่า “ห้องผ่าตัด และตรวจสอบระบบ”

    “ช่วยถอดเสื้อออกด้วยแล้วก็นอนบนเตียงได้เลย ทำตัวตามสบายครับ” เจ้าหน้าที่ผู้
    ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงกลางห้องให้คำแนะนำ

    ผมคงนอนได้ตามสบายกว่านี้ถ้ามีหมอนข้าง ผมยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงหมอนข้าง...
    หมอนข้างที่มีรูปขนาดเท่าตัวจริงของเธอติดอยู่ ผมเริ่มมีความรู้สึกและอารมณ์อีกแล้ว
    น่าจะรวมถึงมีจินตนาการด้วยละ ผมไม่เคยทำได้แบบนี้มาก่อน

    เจ้าหน้าที่อีกคนดึงท่อยางสีขาวขนาดเท่ากับท่อประปาลงมาจากเพดาน จ่อไว้ที่กลาง
    ตัวผม

    “จะต่อท่อน้ำเกลือหล่อเลี้ยงระบบให้ เจ็บนิดหนึ่งนะครับ” เจ้าหน้าที่คนเดิมโยกท่อยาง
    มาที่สะดือผม แล้วกดมันจมลงไป

    ผมไม่รู้สึกอะไรอีกเลย




    “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสมชาย” เสียงมีอำนาจดังขึ้นด้านนอกห้อง

    “หุ่นตัวนี้มีอาการผิดปกติ ทำงานผิดพลาดจนเกิดอุบัติเหตุ คาดว่าจะมีบางส่วนของ
    โปรแกรมขัดข้องครับท่านประธาน” ผู้อำนวยการฝ่ายหุ่นยนต์ทดแทนรายงานสถาน
    การณ์ที่สามารถมองเห็นได้ผ่านกระจก ในห้องผ่าตัดและตรวจสอบระบบมีเจ้าหน้า
    ห้าคนกำลังยืนทำงานด้วยเครื่องมือทันสมัยรายล้อมเตียงที่หุ่นยนต์สมชายนอนนิ่งอยู่

    “นี่เป็นตัว ต้นแบบพนักงานขับรถเมล์ใช่มั๊ย ต้องระวังให้มากกว่านี้ ถ้าผิดพลาด
    โครงการจะเสียหายมาก” ท่านประธานกล่าวอย่างเป็นห่วง

    “ไม่ต้องห่วงครับท่าน ตัวนี้เป็นรุ่นเก่าคาดว่าจะเกิดลัดวงจรจากการสัมผัสกระแสไฟฟ้า
    แรงสูง แก้ไขไม่ยาก อีกอย่างหุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆได้รับการป้องกันปัญหานี้ไว้แล้ว”
    ผู้อำนวยการให้ข้อมูลเพิ่มเติม

    “ถ้าคุณมั่นใจ ผมก็สบายใจ โครงการนี้บริษัทเราลงทุนไปกว่าเจ็ดหมื่นสามพันล้านบาท
    ผมตั้งใจจะให้หุ่นยนต์เข้าไปทดแทนอีกหลายจุด ตลาดมีความต้องการสูงมาก คุณ
    ต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาอีก”

    “ครับท่าน เอ่อ...ท่านประธานอย่าลืมเรื่องพิธีส่งมอบหุ่นยนต์ระดับบริหารอีกห้าตัวช่วง
    บ่ายสองนะครับ เราตั้งรหัสไว้ครบแล้วพร้อมส่งมอบครับ”
    ผู้อำนวยการยื่นกำหนดการให้ท่านประธานพิจารณาอีกรอบ

    “สมพงศ์ สมภพ สมคิด สมศักดิ์ สมศรี”

    ท่านประธานอ่านทวนรหัสหุ่นยนต์ระดับบริหาร มีความสามารถในการตัดสินใจระดับสูง
    ที่จะส่งมอบให้ลูกค้าบ่ายวันนี้

    จากคุณ : ใบไม้ในทางช้างเผือก - [ 24 ก.พ. 49 12:30:49 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป