CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    **วิญญาณแห่งความดีของคุณทักษิณ** (สาธุชนควรอ่านอย่างยิ่ง)

    ภาค..รำลึก

    ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า..
    พตท.ทักษิณนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ขบคิดไม่ตกว่า จะแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้อย่างไรดี  ท่วงท่าที่เคยกระฉับกระเฉง ดวงตาที่เคยแน่วแน่ รอยยิ้มที่เคยเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวหายไปหมด  
    ท่านมองทางเลือกที่คณะทำงานเสนอให้เมื่อตอนเย็นแล้วครุ่นคิดไปมาหลายสิบตลบ  พรุ่งนี้จะต้องมีคำตอบหนึ่งเดียวสำหรับทางเลือกทั้งหลายนี้  และจะตอบอย่างไรจึงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

    นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว  ทุกคนในครอบครัวพากันเข้านอนหลังจากอยู่ให้กำลังใจมาตลอดค่ำ  มีท่านเพียงคนเดียวที่ข่มตาไม่หลับ นึกถึงภาพของตัวเองที่ปราศจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณหญิงและลูกๆ ที่ไม่อยู่ในสถานะที่สังคมไทยยอมรับ  ท่านยอมรับไม่ได้ จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับท่านและครอบครัวไม่ได้  ท่านยังคงคิดอยู่เสมอว่า ที่ผ่านมาท่านได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจบริหารบ้านเมืองอย่างดีที่สุด ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกับความทุ่มเทกลับคืนมาสู่ตัวท่านและครอบครัวสิ  จึงจะเป็นความยุติธรรม

    ความเงียบของรัตติกาลสมัยทำให้ปัญญาของคุณทักษิณโลดแล่นได้  นอกจากเสียงเข็มนาฬิกาบนฝาฝนังแล้ว ยามนี้ไม่มีเสียงอื่นใดอยู่เป็นเพื่อนของท่านเลย

    “คุณทักษิณครับ..ขอโทษที่มาขัดจังหวะ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังพนักเก้าอี้  นายกทักษิณหันไปมองอย่างรวดเร็ว  อารามตกใจจนถึงกับผงะหงาย

    “คุณเป็นใคร?”  คำถามถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว  ชายคนหนึ่งรูปร่างสันทัด อายุประมาณ ๔๐ ต้นๆ ผิวขาวสะอาดสะอ้านยืนยิ้มให้กับท่านห่างออกไปไม่ถึงเมตร

    “ผมหรือครับ ผมก็คือ..วิญญาณแห่งความดี ในร่างกายของท่านไงครับ”  ชายคนดังกล่าวยังยืนอยู่ในท่าเดิม  ไม่ได้แสดงกริยาก้าวร้าวหรือเป็นภัยกับคุณทักษิณ

    “จะบ้าเรอะ! อย่าเพ้อเจ้อ..ว่าแต่คุณผ่านเข้ามาในนี้ได้ยังไง”  คุณทักษิณมองไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ  เขาน่าจะกดเรียกตำรวจที่เฝ้ายามในทันที  ชายคนนี้หลุดเข้ามาได้อย่างไร หรือตำรวจเกือบสิบคนที่เฝ้ายามอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกันหลับยาม
    แต่ก่อนที่จะทำอย่างใดต่อไป ท่านก็คิดขึ้นได้  ชายคนนี้เข้ามาในห้องนี้ โดยไม่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูด้วยซ้ำ  หรือว่า ท่านกำลังหลับ และนี่คือ ความฝัน

    “อย่าเพิ่งตัดสินใจไล่ผมออกไปเลยครับ อยู่ฟังผมสักสิบนาที ท่านอาจจะเกิดปัญญาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ หาไม่ท่านอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต”

    “โธ่..คุณเอ๊ย  อย่ามาลูกไม้หน่อยเลย  ถ้าจะเอาเงิน ผมจะบริจาคให้แต่คุณควรรีบออกไปจากห้องนี้ดีกว่าก่อนที่ผมจะเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการ”  คุณทักษิณกล่าวเสียงเข้ม

    “ท่านจะไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ เพราะผมมาดี และไม่ได้ต้องการเงินของท่าน ผมเอาปัญญามาฝากไว้ ก่อนที่ผมจะจากไปแล้ว”

    “ผมไม่ได้ต้องการปัญญาของคุณ  ผมมีที่ปรึกษาที่เก่งกว่าคุณเยอะมากมายหลายคน พวกเขายังแก้ปัญหาให้ผมไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับคุณ”  คุณทักษิณปรามาสอย่างไม่ใยดี

    “ก็เพราะวิญญาณแห่งความชั่วในตัวของท่านและของพวกเขาเหล่านั้นแหละครับที่ทำให้ผมต้องออกมาพูดกับท่าน..เป็นครั้งสุดท้าย”  ชายคนดังกล่าวพูดจบ ยังไม่ทันที่คุณทักษิณจะเอ่ยปากไล่ต่อ เขาก็ชิงพูดต่อไปทันที

    “ในร่างกายของคนเราทุกคนมีวิญญาณแห่งความดี และวิญญาณแห่งความชั่วสิงสถิตอยู่ คนที่แวดล้อมท่านขณะนี้ ไม่มีใครใช้วิญญาณแห่งความดีเสนอแนวทางกับท่าน ไม่ว่า..ด็อกเตอร์ทางกฎหมายทั้งหลาย หรือ แม้แต่คุณหญิงเอง”

    “คุณกำลังบอกผมว่า ภรรยาผมก็ยังไม่หวังดีกับผมเรอะ”  คุณทักษิณอดไม่ได้ที่จะสอดแทรกขึ้นมา

    “มิได้ครับ ทุกคนที่แวดล้อมท่านหวังดีกับท่านและปรารถนาจะให้ท่านได้รับชัยชนะ เพราะความปรารถนานั้นแหละครับที่ทำให้วิญญาณแห่งความชั่วของพวกเขาเข้ากันได้ดีกับวิญญาณแห่งความชั่วในตัวของท่าน และนำความพ่ายแพ้มาให้กับท่านเสมอมา”

    “ผมนี่น่ะเหรอแพ้..ยังไม่มีใครตัดสินชะตากรรมว่าผมแพ้หรือชนะ ประชาชนต่างหากที่ตัดสินผลแพ้ชนะ”  คุณทักษิณยังแย้ง
    “ท่านแพ้มานานแล้วครับ ตั้งแต่เล่นการเมืองมา ท่านเคยชนะจริงๆ สักครั้งหรือไม่”  ชายคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ

    “โธ่เอ๊ย..ผมเป็นฝ่ายชนะมาตลอด เอาตั้งแต่ตอนลอยตัวค่าเงินบาท ถ้าผมแพ้ผมคงวอดวายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”  คุณทักษิณมั่นใจ

    “ถ้างั้นเรามาย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตที่ว่านั้นดู..”  ชายคนดังกล่าวพูดจบก็ยกกระจกเงาบานหนึ่งขนาดเท่ากับปฏิทินตั้งโต๊ะ เอามาวางตรงหน้าคุณทักษิณ

    ภาพในกระจกเงาค่อยๆ เคลื่อนไหว จากรูปหน้าของคุณทักษิณที่กำลังก้มมองดูกระจกอยู่ในเวลานี้ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเบี้ยวบูดไปมาแล้วค่อยๆ จางหายไป  ภาพมัวๆ ของเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นมาแทนและค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนเหมือนภาพที่ฉายในจอโทรทัศน์

    “นั่นผมนี่!”  
    ภาพบนจอเปลี่ยนไปเป็นคุณทักษิณกำลังนั่งประชุมอยู่ในคณะรัฐมนตรี มีอดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกชวลิตนั่งอยู่หัวโต๊ะ  มีการปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด  แล้วตัดมาเป็นภาพของท่านปรึกษาข้อราชการบางอย่างกับบุคคลลึกลับที่เห็นแต่ด้านหลัง  ภาพต่อมาท่านกำลังพูดโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้น เป็นภาพลูกน้องคนสนิทในที่ทำงานเก่าของท่านกำลังประชุมหารือ  ก่อนจะเป็นภาพพลเอกชวลิตอีกครั้งกำลังประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

    ภาพบนจอเปลี่ยนไปเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองในเวลาต่อจากนั้น ประชาชนจำนวนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐานผูกเน็คไทกำลังชุมนุมประท้วงไม่พอใจที่ต้องถูกขับไล่ออกจากงาน  ในขณะที่ท่านกำลังดูพวกเขาเหล่านั้นในทีวีด้วยอาการสงบนิ่ง  

    “ท่านเรียกเหตุการณ์นั้นว่า ชัยชนะกระนั้นหรือ”  ชายคนดังกล่าวกำลังทวงถามถึงจริยธรรม คุณทักษิณไม่ตอบในประเด็นนี้

    “ผมชนะการเลือกตั้งปี ๒๕๔๔ และได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยังงี้เรียกว่าชนะได้ไหม”  แต่คุณทักษิณเลี่ยงไปประเด็นใหม่

    “โปรดพิจารณาเอาเองนะครับ”  ชายคนดังกล่าวชี้ไปที่หน้าจอที่เวลานี้กำลังเปลี่ยนไปอีกครั้ง..
    ..เป็นภาพการเปิดตัวพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณและรอยยิ้มของคนในครอบครัว ก่อนที่จะตัดมาเป็นภาพท่านและพลเอกชวลิตกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด

    ภาพคุณทักษิณกำลังคุยกับนายพิเชษฐทางโทรศัพท์ และภาพนายพิเชษฐกำลังคุยกับสมาชิกพรรคการเมืองพรรคอื่นๆ หลายคน  แต่ละคนมีการต่อรองกันไปมาหลายครั้ง
    แล้วตัดมาเป็นภาพชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๔๔  คุณทักษิณได้รับการชูมือทั้งสองขึ้นโดยสมาชิกพรรค ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

    ภาพต่อมาเป็นการได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ก่อนที่จะจบภาพเคลื่อนไหวเป็นภาพพลเอกชวลิตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่และพรรคการเมืองเล็กๆ กำลังตกลงยินยอมยุบพรรคมารวมกับพรรคไทยรักไทย

    “ท่านประเมินว่า นี่คือชัยชนะทางการเมืองแท้จริงหรือ”  ชายคนดังกล่าวถาม คุณทักษิณก็ยังไม่ยอมตอบอีก

    “ผมจะลำดับชัยชนะในลำดับต่อมาของท่านไปเรื่อยๆ”  
    ชายคนดังกล่าวพูดจบ ภาพบนจอก็เริ่มเปลี่ยนไปอีก

    คุณทักษิณกำลังยืนอยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญแก้ข้อกล่าวหาเรื่องซุกหุ้น  แล้วเป็นภาพท่านกล่าวยิ้มๆ กับผู้สื่อข่าวว่ารับทราบผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมาก่อนหน้านี้แล้ว

    ขณะที่คุณทักษิณกำลังคิดจะยิ้มให้กับชัยชนะในอดีต  ภาพในจอก็เปลี่ยนเป็นภาพของนาวาตรีประสงค์ สุ่นศิริ  แล้วตามมาด้วยคำให้การของศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นท่านหนึ่ง คือ นายอุระ หวังอ้อมกลางที่ระบุว่า คนในครอบครัวของท่านได้ไปขอต่อรองเพื่อให้ช่วยเหลือในคดีซุกหุ้นโดยเสนอผลตอบแทน

    “ท่านเรียกว่าชัยชนะเช่นนั้นหรือ”  ชายคนดังกล่าวถามอีก  คุณทักษิณหน้าเปลี่ยนสีไป

    ภาพต่อมาบนจอเป็นการปักธงชัยที่ลานพระรูป  คุณทักษิณกำลังประกาศชัยชนะต่อสงครามปราบยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย มีประชาชนห้อมล้อมมากมาย ต่างก็แสดงความยินดีราวกับว่า ท่านคือเทวดามาโปรดสัตว์ที่กำลังทุกข์ยาก

    ภาพตัดอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีชายฉกรรจ์แต่งตัวทะมัดทะแมงขับรถจักรยานยนต์โดยมีคนซ้อนท้าย ในมือถือปืนเป็นอาวุธ จ่อยิงชาวบ้านในระยะประชิด ทั้งขณะเดินเท้า  ขณะขับขี่ยานพาหนะ และขณะที่กำลังทำธุระอยู่ในบ้าน  ศพแล้วศพเล่า ผู้คนในภาพตายในลักษณะต่างๆ หลายสภาพแวดล้อม  ผู้ที่ลอบยิงมีตั้งแต่สองคน สามคน สี่คน  ทั้งหมดอำพรางหน้าตาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่แว่นตาดำ ก็หมวกกันน็อค หรือ หมวกมีปีก

    ภาพของญาติพี่น้องคนตายร้องห่มร้องไห้ คร่ำครวญว่า ยิงผิดตัว คนตายคือผู้บริสุทธิ์  บางคนมาร้องทุกข์ต่อคุณทักษิณโดยตรงโดยท่านรับปากจะดูแลให้

    ภาพตัดมาที่การจับกุมคดียาเสพติดหลังจากนั้น ดคีดแล้วคดีเล่า โดยไม่มีการยิงกันตาย มีภาพยาเม็ดนำมาแพร่ภาพ และผู้ต้องหา จำนวนหลายสิบหลายร้อยภาพ  ทุกภาพบอกวันเดือนปีที่จับกุมและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีทีท่าว่าจะจบลงอย่างไร

    “พอ..พอเถอะ”  คุณทักษิณท้วงขึ้น

    “ท่านโฆษณาว่า สิ่งเหล่านี้เป็นชัยชนะได้หรือ”

    กระจกเงาเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ  เหตุการณ์ก่อการร้ายที่ภาคใต้ปรากฏขึ้นมา  ภาพคุณทักษิณกำลังให้ความมั่นใจว่า จะจัดการกับตัวการเร็วๆ นี้  ภาพท่านลงไปกรีดยาง  ภาพท่านลงไปโปรยนก  ทุกๆ ภาพสลับกับภาพประชาชนที่ถูกฆ่าตาย  ถูกตัดศีรษะ และถูกทับถมกันตายในรถทหาร  ไม่เว้นแม้แต่ภาพของทหารและตำรวจของชาติที่ต้องบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก  ไม่นานนัก ภาพของการฆ่ากันตายก็กลบภาพการแสดงความมั่นใจว่าจะจัดการปัญหาให้หมดไปในหลายๆ ครั้งของคุณทักษิณจนหมด

    ก่อนที่คุณทักษิณจะทักท้วงขึ้นมา กระจกเงาก็เปลี่ยนเหตุการณ์ไปอีก  เป็นภาพคุณทักษิณกำลังประกาศสงครามกับการปราบคอรัปชั่นต่อสาธารณชน  แล้วตัดมาเป็นภาพในเวทีอภิปรายในสภาเรื่องซีทีเอ็กซ์ เรื่องชิปปิ้งหมู เรื่องโคพระราชทาน เรื่องจำนำข้าว  เรื่องลำไยอบแห้ง  และภาพสุดท้ายเป็นภาพน้องสาวของท่านเองกำลังออกมาแก้ตัวเรื่องการรับเงินวิ่งเต้นจากนายลัทธพล

    “พอ..พอแล้ว ไหนคุณบอกว่า แค่สิบนาทีไง”  คุณทักษิณปฏิเสธที่จะดูอีกต่อไป

    “ครับ ขึ้นอยู่กับท่านว่า ท่านพอใจกับชัยชนะบางเสี้ยวเหล่านี้หรือยัง  ถ้าท่านยังพูดถึงชัยชนะ ผมก็มีเหตุการณ์ในอดีตต่างๆ ให้ท่านดูอีก”  ชายคนดังกล่าวพูดเสียงเรียบเฉย

    ............................จบภาคแรก..............................

    จากคุณ : *bonny - [ 2 มี.ค. 49 09:30:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป