บันทึกของคนเดินเท้า
สามก๊ก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมไปทำบุญที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์แต่เช้า
เมื่อสวดมนต์และฟังปาฐกถาธรรมจบแล้ว ผมก็เดินออกจากวัดกลับบ้าน
แต่ความคิดตามเนื้อหาที่พระท่านแสดงไว้นั้น ยังติดค้างอยู่ในใจ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความไม่รู้จักความสามัคคี ความเสียสละ และการให้อภัย
บ้านเมืองของเรา ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ได้เกิดความคิดแตกแยกออกเป็นสามฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งบอกว่าพวกของตนปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
อีกฝ่ายไม่ยอมเล่นด้วยเพราะไม่เป็นธรรม
ส่วนฝ่ายที่สามบอกว่าไม่มีความชอบธรรม
ทั้งสามฝ่ายก็มีประชาชนสนับสนุน มีการชุมนุมเรียกร้องให้ปฏิบัติตามความเห็นของพวกตน และก็มีประชาชนเข้าร่วมกับแต่ละฝ่าย มากขึ้นทุกที ต่างก็อ้างว่าความคิดเห็นของพวกตนถูกต้อง และหาเหตุผลต่าง ๆ นานามาหักล้างกัน
ทางฝ่ายสื่อต่าง ๆ ทั้งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ รวมทั้งเวปไซด์ต่าง ๆ ก็เสนอข่าวและความเห็นทุกวัน และเข้มข้นขึ้นทุกที จนดู ๆ เหมือนบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟอยู่ในเร็ววันนี้
ไม่มีฝ่ายใดเลยที่จะยอมลดความร้อนแรง หรือเสนอให้หันหน้ามาให้อภัยแก่กัน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่ขัดแย้ง ด้วยสันติวิธี
มีแต่ตั้งหน้าแต่จะเอาชนะกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ ไม่ได้เป็นพวกของฝ่ายใด
และไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง
ข้อสำคัญก็คือ ไม่ได้คำนึงถึงว่าปีนี้เป็นปีมิ่งมงคลของชาติไทย ที่จะได้จัดงานเฉลิมฉลอง การครองสิริราชสมบัติ ครบหกสิบปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทุกฝ่ายก็อ้างว่ามีความจงรักภักดีอย่างสูงสุด
ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ นี้อีกด้วย
เป็นโอกาสที่พสกนิกรชาวไทยจะได้แสดงความยินดีปรีดาปราโมทย์ ในการที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม ซึ่งปกครองประเทศด้วยดี มาเป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก
และเราจะอวดชาวโลกได้ว่าคนไทยในยุคนี้เป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่ได้อยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน มาเป็นเวลานานกว่ากึ่งศตวรรษ
แม้สมเด็จพระราชาธิบดีของชนชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่มากกว่า ยี่สิบประเทศ ก็จะเสด็จมาร่วมพิธีเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย
เราน่าจะเตรียมการต้อนรับให้สมพระเกียรติ และเผยแพร่พระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ให้แผ่กระจายไปในทั่วทุกทิศานุทิศ
แต่เราต้องมานั่งหวั่นวิตกกันว่า เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคลนั้น เราจะเลิกทะเลาะกันหรือยัง และบ้านเมืองของเราจะสวยงาม พอที่จะอวดพระราชอาคันตุกะเหล่านั้นหรือไม่
ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องบันทึกไว้ด้วยความเศร้าอย่างแท้จริง
ในฐานะประชาชนคนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เห็นว่าสื่อมวลชนทุกแขนงน่าจะมีข้อความเตือนจิตสะกิดใจทุกคนว่า เหลือเวลาอีก กี่วันที่จะถึงวันเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่นั้น
เช่นมีป้ายวางอยู่หน้าผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ทุกช่อง
มีข้อความล้อมกรอบด้านบนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
และมีการอ่านออกอากาศทางวิทยุก่อนข่าว เป็นต้น
ซึ่งควรจะทำติดต่อกันไปทุกวัน จนกว่าจะถึงวันอันเป็นมหามงคลนั้น
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ จะมีผู้ใดเห็นด้วยบ้างก็ไม่ทราบ
แต่ในโอกาสนี้ขอบันทึกไว้ ว่า
..........อีก ๙๖ วัน จะถึงวาระเฉลิมฉลอง ครบรอบ ๖๐ ปี
การครองสิริราชสมบัติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช.................
ด้วยความจงรักภักดีจากใจจริง ของ เจียวต้าย.
############
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
5 มี.ค. 49 13:47:49
]