Life in a Week - กับสิ่งที่เห็นและเป็นไป /ปีที่ 2 - สัปดาห์ที่ 01
ทางออก
"วันนี้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ เราจะชุมนุมกันอย่างยืดเยื้อ หลายท่านพร้อมที่จะมาพักแรมพร้อมกับเราใช่หรือไม่ครับ...เดี๋ยวเราจะเคลื่อนขบวน...มีการรับรองจากเจ้าหน้าที่ว่าพวกเราจะปลอดภัย...ไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วจะไปที่ทำเนียบรัฐบาล..." *
ผมลงมือเขียนงานสัปดาห์แรกของปีที่ 2 ด้วยเรื่องการเมืองที่กำลังระอุหากว่าคำขวัญ "ไม่ออกไม่เลิก" ของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่บรรลุประสบผลสำเร็จ...
อีกไม่กี่นาที กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณท้องสนามหลวง และอีกไม่กี่นาทีต่อไปเช่นกันที่ผมภาวนาขอให้ไม่เกิดเหตุร้ายแรงใดๆเกิดขึ้นซ้ำรอยประวัติศาสตร์ ไม่อยากให้การชุมชุมในวันนี้เป็นวันแตกหักโดยการใช้กำลัง หากแต่ต้องการให้เป็นการแตกหักด้วยสติและปัญญา
ถึงวันนี้... สถานการณ์การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ภาพการร่วมฟังการปราศรัยใหญ่ของนายกฯรักษาการเมื่อวันที่ 3 มีนาคมสะท้อนภาพนั้นได้เป็นอย่างดี ภาพที่กลุ่มคนจำนวนเรือนแสนแห่มาฟัง หรืออีกนัยคือการมาให้กำลังใจสนับสนุนอดีตท่านผู้นำเปรียบเสมือนได้กับการทำสงครามจิตวิทยา 'การแย่งชิงมวลชน' การปราศรัยในวันนั้นสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง (ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล) ยิงสัญญาณถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ แตกต่างจากวันที่กลุ่มผู้ต่อต้านคัดค้านมาร่วมชุมนุมอย่างสิ้นเชิง วันก่อนๆเหล่านั้นแทบไม่มีการรายงานถ่ายทอดแพร่ภาพกระจายเสียงใดๆ คงมีอยู่เพียงสถานีเดียวคือ เนชั่นแชนแนล (TTV 1)
ด้วยการกระทำของสื่อวิทยุโทรทัศน์เช่นนี้ ย่อมเป็นการยากที่จะทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า ทำไม? กลุ่มผู้ต่อต้านจึงต้องต่อต้านคนที่ชื่อ ทักษิณ และพาลเข้าใจว่าเป็นการกระทำของคนกลุ่มน้อย-กลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทั้งหมดมาจากการปิดกั้นช่องทาง ขณะเดียวกันก็ทำการบิดเบือนข่าวสารที่ส่งไปให้ประชาชน!
ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าใดนัก ที่เจ้าของสื่อจะให้คนที่ไม่เห็นด้วยมาใช้สื่อของตนเองด่าว่า ด้วยความเข้าใจว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของสื่อทุกชนิด โดยเฉพาะวิทยุและโทรทัศน์
ความเข้าใจเช่นนี้รัฐบาลคงจะสำเหนียกผิดไปละกระมัง... ใช่ รัฐบาลเป็นเจ้าของ แล้วถามว่ารัฐบาลนั้นมาจากไหน? มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมิใช่หรือ? รัฐบาลเป็นของประชาชน ฉะนั้นกิจการทุกอย่างที่รัฐบาลดูแลย่อมหมายถึงกิจการนั้นๆย่อมเป็นของประชาชน
แน่นอน... กิจการเหล่านั้นย่อมไม่ได้เป็นของประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งของผู้สนับสนุนรัฐบาล หรือผู้คัดค้านรัฐบาล แต่เป็นของประชาชนทุกคนซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกัน
ฉะนั้นการปิดกั้นสื่อที่รัฐดูแลเพื่อหวังผลทางการเมืองด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือจะอะไรก็ตามแต่ จึงดูเหมือนเป็นการแย่งชิงมวลชนอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกันหากรัฐบาลใจกว้าง เสนอข่าวการชุมนุมของฝ่ายคัดค้านบ้าง ก็ไม่แน่ว่าเสียง 19 ล้านเสียงนั้นจะลดน้อยลงเหลือมากเพียงใด... และอาจไม่มีความมั่นใจว่าจะได้รับการเลือกตั้งเข้าสภาด้วยเสียงข้างมากอีกครั้ง
๐๐๐
สถานการณ์ทางการเมืองของบ้านเมืองกำลังจะดำเนินไปสู่หนทางออกอย่างไร? หากว่าทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความยึดมั่นในจุดยืนของตนอย่างเข้มแข็ง ต่างเลือกการยอมหักแต่ไม่ยอมงอ? หากความหมายของการยอมหักของแต่ละฝ่ายหมายถึง 'ชัยชนะ' แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร หากเมื่อชัยชนะหมายถึงการแตกหัก ล่มจมของประเทศ--ของประชาชนไทยทุกคน!
ความแตกแยกทางความคิดของคนไทยในห้วงยามนี้ได้แบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างเห็นได้ชัด ลำพังแต่แตกแยกทางความคิดนั้นย่อมเป็นสิ่งคนทุกคนพึงกระทำได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด และแสดงมันออกมา และอย่างควรจะเคารพความคิดของผู้อื่นที่มีความเห็นแตกต่างไปจากตนเองด้วยด้วย
...สองวันก่อนผมพบเด็กวัยรุ่นสองคนซึ่งกำลังยืนแจกใบปลิวเชิญชวนให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาเข้าร่วมการชุมนุมในวันนี้ (5 มี.ค.) อยู่ที่มุมถนนท่าเรือข้ามฟาก ลักษณะอาการของสองหนุ่มนั้นดูลนลานนิดๆ เหมือนรู้สึกว่าตนเองทำผิดอะไรสักอย่าง... ผมรับใบปลิวนั้นมาพร้อมกับถามว่าทำไมไม่ยืนแจกให้มันสง่าผ่าเผยกว่านี้? เขาสองคนยิ้มแหยๆ บอกผมเบาๆว่า 'กลัว!' ผมไม่ได้ถามเขาต่อหรอกว่าที่ว่ากลัวนั้น กลัวอะไร?
แต่ผมพอเข้าใจ... ผมถามตัวเองว่า เป็นผมบ้างผมจะรู้สึกเหมือนเขาหรือไม่?! มันจะคุ้มกันมั้ยหากว่าเราโดนอีกฝ่ายเข้ามาชี้หน้าด่า หรือปรี่เข้ามาทำร้ายร่างกายเพียงเพราะเราคิดเห็นแตกต่างกัน?
บางครั้งความรุนแรงมักมาก่อนเหตุผลเสมอ... และคนในสังคมส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ความรู้สึก รัก ชอบ โกรธ หลง เกลียด อย่างไม่มีเหตุผลนั้นได้แผงอยู่ใจจิตใต้สำนึกของคนอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือสัญชาตญาณ
ดูเหมือนสิ่งเดียวที่จะระงับมิให้ความรุนแรงเกิดขึ้นนั่นคือ 'การใช้สติ'
หากติดตามข่าวสารจากสื่อทางซีกรัฐบาลไม่ได้ เรายังมีหนทางหาข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆที่ประกอบด้วยบทความเชิงวิเคราะห์อยู่ด้วยกันอย่างหลากหลาย อ่านอย่างมีการเปรียบเทียบพินิจพิเคราะห์พิจารณาไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ บางที... เราอาจจะเห็นความจริงได้มากขึ้นว่า การกระทำจากกลุ่มทั้งคนสองฝ่ายนั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า 'ผลประโยชน์' ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และหากว่าคนอย่างทักษิณออกไป ก็มิใช่ว่าเราจะไม่ได้ 'คนอย่างทักษิณ' ** กลับเข้ามา และบางที... เราอาจมองเห็นหนทางของทางออกของปัญหา
ทางออกของปัญหาอยู่ตรงไหน? ถ้าหากไม่ใช่ทางที่เดินเข้าไป! @
ด้วยมิตรภาพ
5 มีนาคม 2549
kopkop90@hotmail.com
* บางส่วนจากการปราศรัยของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อนนำขบวนผู้ร่วมชุมนุมเคลื่อนขบวนออกจากท้องสนามหลวงเมื่อเวลาประมาณยี่สิบเอ็ดนาฬิกาเศษของค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2549
**คนอย่าง 'ทักษิณ' เป็นอย่างไร - บทความของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ท่านสามารถอ่านได้จาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1332 ประจำวันที่ 24 ก.พ. - 2 ม.ค. 2549
จากคุณ :
อานันท์-โจนาธาน
- [
6 มี.ค. 49 00:28:59
]