CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    = [ บั น ทึ ก ข อ ง (อ ดี ต) นั ก กี ฬ า ] =

    คำว่า “นักกีฬา” ไม่เคยอยู่ในสาระบบของชีวิตฉันเลยสักครั้งตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ด้วยการปลูกฝังของพ่อที่ว่า

    “ครอบครัวของเราไม่เคยมีใครเป็นนักกีฬาทีมชาติ เพราะฉะนั้นก็อย่าได้พยายามเลย”

    คำพูดที่เหมือนจะหักหาญน้ำใจของพ่อนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายจะดูถูกเหยียดหยามใคร หากแต่ต้องการให้พวกฉัน
    มุ่งหวังต่อการเรียนอย่างเดียวเท่านั้น และนั่น...ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อไม่เคยจะสนับสนุนให้ฉันได้เล่นกีฬาอะไร
    แบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้งจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    แต่ถึงกระนั้น ในวันหนึ่งฉันก็ได้เริ่มต้นในสิ่งที่พ่อไม่เคยเห็นด้วยตั้งแต่ต้น

    ในช่วงที่ฉันเรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่ง (ครั้งที่สอง เพราะซิ่วมาจากที่อื่น) เผอิญวันนั้นฉันได้รับหมอบหมายจากรุ่นพี่ให้
    เฝ้าบูธชมรมพัฒนาชนบทของภาควิชา แต่พอนั่งเฝ้านานๆ เข้าก็เลยเซ็ง จึงแว่บออกไปเดินชมบูธของแต่ละชมรม
    แทน

    ฉันเดินดูชมรมโน้นนี้ไปอย่างเรื่อยเปื่อย ชมรมโบลว์ลิ่ง...ดูท่าจะไม่เวิร์ค เล่นโบลว์ลิ่งเป็นกับชาวบ้านเขาที่ไหน
    ชมรมบาสเก็ตบอล...อี๋...มีแต่ผู้ชายขี้เก๊ก ไม่เอาหรอก ชมรมหมากล้อม...คนโง่ๆ อย่างฉันขนาดเล่นหมากฮอส
    ยังแพ้เลย ฉันมองชมรมเหล่านั้นจิตที่เต็มไปด้วยอคติ จนกระทั่งมาหยุดอยู่บูธของชมรมหนึ่ง

    ผู้หญิงที่แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาหญิงเช่นเดียวกับฉันดูน่ารักและเรียบร้อย ผิดกับป้ายชมรมที่ติดธงชาติเกาหลีใต้
    ไว้เด่นหรา ดูขัดตาฉันยังไงพิกลๆ ผู้หญิงผอมๆ บางๆ แบบนี้น่ะเหรอที่เป็นสมาชิกชมรมนี้ ดูแล้วก็ไม่เข้ากัน
    เสียเลย

    และดูเหมือนว่าจะรู้ตัวว่ามีคนยืนอยู่หน้าบูธ เธอเลยหันมาทางฉันและส่งรอยยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

    “สนใจสมัครเข้าชมรมเทควันโดมั้ยคะน้อง?”

    ฉันทำหน้าประหลาดใจ “ชมรมนี้กับหุ่นอย่างหนูคงไม่ไหวมั้งคะพี่”

    ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “เรื่องหุ่นไม่เกี่ยวหรอกค่ะน้อง พี่จะบอกให้ว่าหุ่นอย่างน้องเนี่ย
    เล่นแล้วมีอนาคตแน่ๆ”

    “จริงอ่ะพี่?” ฉันคิดว่าหลายๆ คนคงคิดอย่างฉัน ก็ในเมื่อหุ่นตัวเองอย่างกะหมียักษ์ แล้วจะมาเล่นกีฬาประเภท
    ใช้ความคล่องตัวแบบนี้ได้ยังไง

    “จริงสิ ไม่เชื่อลองเข้ามาซ้อมๆ ดูก่อนก็ได้ พวกพี่ซ้อมกันที่หอประชุมทุกวันแหละ”

    “แล้วพวกพี่ซ้อมกันกี่โมงล่ะคะ?”

    “ห้าโมงเย็นทุกๆ วันค่ะ มาให้ได้นะคะ พี่จะรอ” เธอส่งยิ้มให้กับฉันอีกครั้ง ก่อนที่จะยื่นใบปลิวให้กับฉัน
    ก่อนที่ฉันจะเดินจากบูธนั้นไป

    หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ฉันก็ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในหอประชุมของมหาวิทยาลัยตอนห้าโมงเย็น

    ...ไม่คิดเลยว่า การตัดสินใจครั้งนั้นจะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปพักหนึ่ง...

    ****************************

    จากวันแรกที่ไปลองดูเขาเล่นเฉยๆ กลับกลายเป็นว่าฉันโดนจับแหกแข้งแหกขาเพื่อยืดกล้ามเนื้อ แถมยังหกล้ม
    ตอนหัดเตะอีกต่างหาก ตอนที่ล้มนี่ทั้งจุกทั้งอาย จนคิดว่า พรุ่งนี้จะไม่มาแล้ว อายเว้ย! แต่ผู้หญิงคนนั้นก็พูดกับ
    ฉันระหว่างที่เรากำลัง คูลดาวน์ด้วยกัน (เล่นกีฬาเสร็จแล้วต้อง cool down นะคะ)

    “ตอนพี่เล่นแรกๆ ก็อย่างนี้แหละ หกล้มจนจุกเหมือนกัน อายชะมัดเลย”

    ฉันมองหน้าเธอแบบไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะตลอดเวลาที่ซ้อมอยู่ ฉันลอบสังเกตการเล่นของเธอ ฝีมือของเธอนับว่า
    ‘เก่ง’ กว่าพวกฉันมาก และไม่น่าเชื่อว่าคนผอมๆ แบบนี้ จะเตะหนักจนเสียงดังก้องหอประชุมได้

    “จริงเหรอ อย่างพี่น่ะเหรอคะ เคยล้ม”

    เธอหัวเราะ “โอ๊ย...มีบ่อยไป ตอนนี้บางทีก็ลื่นล้มอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนั่นแหละ”

    “ยังไงก็พยายามเข้านะ พี่ว่าเราต้องไปโลดแน่ๆ เลย”

    ฉันไม่เคยคิดว่า คำพูดของเธอในวันนั้นจะเป็นจริง เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬา
    อะไรขนาดนั้น ไหนจะตัวโต อืดอาด และขี้เกียจแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง แต่ฉันก็ยังมาหัดเล่นเทควันโด
    ทุกวันๆ โดยการสอนของผู้ชายสองคนที่ตอนนี้เสมอเป็นพี่ชายคนที่สอง และ สามของฉันไปแล้ว

    คนที่สอนฉันคนแรก เป็นโค้ชให้กับทีมของมหาวิทยาลัยแบบกลายๆ แต่เนื่องจากวัยวุฒิที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้เขาดู
    เหมือนรุ่นพี่ มากกว่าที่จะเป็นโค้ช เขาเห็นฉันในวันแรกก็จับฉันมาแยกซ้อมเดี่ยว จับฉีกขา ดัดตัว และอื่นๆ
    ที่แสนจะทรมาน โดยให้เหตุผลว่า

    “ตัวแกท่าจะนิ่มดี เพราะฉะนั้นต้องหัดให้เป็นเร็วๆ จะได้มาเป็นคู่ซ้อมให้ฉัน”

    เขาซ้อมฉันอย่างหนัก เหมือนกันเพื่อนร่วมรุ่นอีกห้าหกคนที่โดนจับมาแยกซ้อมเหมือนกันฉัน ณ เวลานั้นฉันแทบ
    จะไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากว่า

    “ฉันอยากจะเหยียบหน้าหมอนี่เร็วๆ จัง”

    ด้วยทิฐิอันนั้นทำให้ฉันขยันซ้อมมากขึ้น และพยายามมากขึ้น จนในวันหนึ่ง...

    ฉันก็ได้ซ้อมแบบต่อสู้กับโค้ชคนนี้เสียที และผลที่ได้ก็คือ... รอยฟกช้ำที่ติดตัวมาทุกวัน...ทุกวัน... จนแม่และพ่อ
    เริ่มไม่พอใจ

    “ตั้งแต่เกิดมาจนโต แม่ยังไม่เคยตีเราเลย แล้วนี่อะไร ไปให้ชาวบ้านเขาเตะเขาต่อย แม่ว่าหนูเลิกเล่นเถอะนะ”

    นั่นเป็นคำทัดทานของแม่ หากแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ การได้ซ้อมแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกสนุก... สนุกที่ฉันสู้เขาไม่ได้สักที
    และทำให้พยายามอย่างยิ่งที่จะหาวิธีที่จะเอาชนะ แต่จนแล้วจนรอด...ฉันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จสักที

    ฉันไม่เคยรู้เหตุผลที่เขาชอบเรียกฉันเข้าไปซ้อมแบบต่อสู้จริง จนกระทั่งจู่ๆ เขาก็เรียกพวกเราในชมรมมานั่ง
    รวมตัวกัน (ทั้งชมรมมีสมาชิกราวๆ 12 คน จาก 50 คนในตอนแรกๆ) และบอกว่าฉันและเพื่อนอีกห้าคน
    ได้เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย

    แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างที่อยู่ดีๆ ก็โดนแขวนป้ายห้อยคอว่าเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย แต่ฉันก็มุ่งมั่น
    กับการซ้อมมากกว่าเดิมเพื่อให้ผลงานออกมาดี

    แต่ในท้ายที่สุด... การแข่งขันครั้งแรกของฉันก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ด้วยความตื่นสนามและคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละชั้น
    (ได้ข่าวว่าเป็นถึงเยาวชนทีมชาติเก่าเชียว) การพ่ายแพ้ครั้งแรกทำให้ฉันเศร้าไปบ้าง แต่ด้วยคำพูดของพี่สาวที่
    ชักชวนฉันมาเล่นก็ทำให้ฉันฮึดสู้ได้อีกครั้ง

    “แพ้ครั้งแรกไม่ได้หมายความว่าจะแพ้ไปตลอดหรอกนะ”

    เพียงแค่นั้นน้ำตาของฉันก็ร่วงพรู

    ...ความเจ็บปวดจากการพ่ายแพ้มันเป็นแบบนี้นี่เอง...

    *****************************

    หลังจากนั้นมา ฉันก็ซ้อมหนักขึ้น พยายามมากขึ้น เพื่อจะพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าจะทำได้ และผลของ
    มันก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเมื่อฉันได้เหรียญทองในการแข่งขันเล็กภายในจังหวัด การเล่นของฉันเป็นที่กล่าวขวัญของ
    คนที่ได้เห็นไประยะหนึ่งในทำนอง

    “ตัวอย่างกับยักษ์ แต่กระโดดแบ็คคิกพลิ้วอย่างกะรุ่นพินเวทเลย (รุ่นน้ำหนักน้อยสุด)”

    หลังจากนั้นฉันก็เข้าแข่งทัวร์นาเม้นต์ภายในจังหวัดอีกสามสี่ครั้ง แพ้บ้าง ชนะบ้าง สลับกันไป จนฉันขึ้นปี 3 ฉันก็
    ได้รับใช้มหาวิทยาลัยอีกครั้ง พร้อมกับพี่สาวผู้ชักชวนให้ฉันเข้ามาเล่น

    “พี่ว่าฉันจะสู้เขาได้ไหม?” ฉันเอ่ยถามเธอในวันที่เราต้องทำการแข่งขัน การแข่งครั้งนี้ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงการ
    พ่ายแพ้ครั้งแรก และมันก็ทำให้ฉันหวั่นใจมาก

    เธอคาดสายคาดเอวสีแดงให้กระชับพร้อมกับเช็คความแน่นหนาของเครื่องป้องกันที่ฉันสวมให้เมื่อครู่ก่อนจะ
    ตบบ่าฉันหนักๆ

    “ตัวของเธอในวันนี้ไม่เหมือนเมื่อสองปีที่แล้ว เราซ้อมด้วยกัน พัฒนามาด้วยกัน มาถึงวันนี้...เราต้องทำให้ดีที่สุด”

    พี่สาวคนนี้ของฉันเก่งมาก เธอชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อย่างสวยงาม เช่นเดียวกับฉันที่ผ่านเข้ารอบมาได้
    เช่นกัน ความตื่นเต้นและความกดดันทำให้ฉันเครียด แม้กระทั่งก่อนจะลงสนามแข่งแล้ว แต่ฉันยังคงเงียบ
    และยืนไม่พูดจาในขณะที่เธอกำลังมัดเครื่องป้องกันให้กับฉัน

    “ข้างโน้นสายดำดั้งที่ 2 ด้วยสิพี่ ฉันจะชนะไหมนี่?” ฉันเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบไปนาน มือทั้งสองข้าง
    เย็นเฉียบในขณะที่กำลังดึงสายคาดเอวสีเขียวเข้มให้กระชับแน่น

    เธอไม่ได้ตอบฉันแต่อย่างใด แต่กลับหยิบเฮดการ์ดมาสวมให้กับฉันเหมือนแม่สวมเสื้อผ้าให้ลูก

    “เราจะคว้าเหรียญทองมาด้วยกันนะ...” แล้วเธอก็ดันฉันให้เดินไปรายงานตัวที่โต๊ะของกรรมการ

    เมื่อถูกเรียกตัวเข้าสนาม ฉันเห็นเธอกำลังเตรียมตัวลงสนามเช่นกัน มุมสีแดงมีพี่ชายที่เป็นโค้ชนั่งทำหน้าตายอยู่
    และอีกด้านหนึ่ง ก็คือฝ่ายตรงข้ามของฉัน

    รูปร่างของฉันและคู่แข่งค่อนข้างสูสีกัน ผิดแต่ว่าคู่แข่งของฉันตัวค่อนข้างสูงและดูเหมือนจะเก๋าเกมส์ในสนาม
    มากกว่า

    ทันทีที่เสียงสัญญาณเริ่มยกดังขึ้น ฉันก็เริ่มเกมบุกทันที ยกแรกฉันได้เปรียบเรื่องความเร็วที่มีมากกว่า จึงทำแต้ม
    นำไปได้ แต่ในปลายยกสอง ฉันโดนผลักออกนอกสนามและโดนล้มทับ... และนั่น ทำให้ข้อเท้าของฉันพลิก

    “ไหวหรือเปล่าไอ้หมี” พี่ชายเอ่ยถามฉันหลังจากเห็นสภาพข้อเท้าที่บวมเป่งของฉัน

    “ตอนนี้คะแนนเท่าไหร่แล้วพี่” ฉันเอ่ยถามทั้งที่ยังเหนื่อยหอบและรู้สึกปวดแปลบไปทั่วข้อเท้าด้านซ้าย

    “ห้าต่อแปด แกนำอยู่สามแต้ม” เขาหันกลับมาบอกฉันก่อนจะถามอีกที “ไหวไหม?”

    ฉันกัดฟันพยักหน้า ปลายยกสองแล้ว น่าจะมีเวลาพักสักนาทีเพื่อหายใจและวางแผนการเล่นในยกหน้า

    “เต้นไปรอบๆ สนามก่อนก็แล้วกัน ถ่วงเวลาไว้จนกว่าจะหมดยก” เขารีบบอกฉันรัวเร็วพร้อมกับฉีดเสปรย์ชาให้
    ข้อเท้าของฉัน

    ฉันพยายามทำตามที่พี่ชายบอก แต่แล้วฉันก็โดนตีตื้นเป็น เจ็ด ต่อ แปด คะแนน และพอในยกที่สาม ในขณะที่
    ฉันเตะแบ็คคิกทั้งที่ข้อเท้าปวดแปลบ ทำให้ฉันเซไปริมสนาม และเป็นโอกาสทองที่ทำให้คู่ต่อสู้ปรี่เข้ามาซ้ำหมาย
    จะเอาคะแนน

    ในท่าหันหลังให้คู่ต่อสู้ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรในการแก้ไขสถานการณ์ และก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากในหัว

    “ขาซ้ายอยู่หน้า ขาขวาอยู่หลัง กระโดดพลิกตัวขึ้นในจังหวะเดียวกับที่จะถีบขาซ้ายไปด้านหลัง”

    เพียงแค่นั้น ฉันก็ได้ยินเสียงพลั่ก และความนุ่มหยุ่นๆ ตรงฝ่าเท้าซ้าย และเมื่อมองเห็น ฉันถีบเข้าปลายคางคู่ต่อสู้
    เต็มแรง พร้อมกับเสียงกองเชียร์ที่อยู่ข้างๆ กู่ร้องด้วยความสะใจ

    กรรมการรีบเข้ามาแยกฉันให้ห่างจากคู่ต่อสู้ที่นอนกองกับพื้น แล้วเริ่มนับหนึ่งถึงสิบ ความคิดของฉันในขณะนั้น
    รู้สึกเหมือนเวลาค่สิบวินาทีช่างยาวนานเหลือเกิน และภาวนาขอให้คู่ต่อสู้อย่าได้ลุกขึ้นมาอีกเลย เพราะฉันคงจะ
    สู้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

    และเมื่อกรรมการนับถึงสิบ ก็เข้ามายกมือของฉันขึ้นเป็นสัญญาณว่าฉันเป็นฝ่ายชนะ ก่อนที่สติจะเลือนรางลง
    พร้อมกับพี่ชายที่รีบวิ่งเข้ามาพยุง

    “เห็นไหม บอกแล้วว่าแกทำได้” เขากระซิบบอกฉันด้วยความยินดี และเมื่อออกมาจากนอกสนาม พี่สาวยืนยิ้มรอ
    ฉันอยู่ สภาพของเธอทำให้ฉันรู้ว่าเธอแข่งเสร็จแล้วเช่นกัน

    “ในที่สุด เราก็คว้าเหรียญทองมาได้ทั้งคู่”

    ฉันยิ้มด้วยความดีใจ และเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ต่างก็เข้ามากอดแสดงความดีใจกับเราทั้งสองคน....

    **********************

    ฉันมองข้อความที่เขียนพรรณนาในสมุดแล้วอมยิ้ม หวังว่าถ้าหากน้องๆ ในชมรมได้เข้ามาอ่าน คงจะดี พวกเขา
    จะได้รู้ว่า ถ้าหากมุ่งมั่นและพยายามแล้ว ความสำเร็จก็คงไม่ไปไหนไกลแน่นอน

    อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อต้นปีที่แล้ว ทำให้เข่าของฉันพังเสียหายและไม่สามารถเล่นเทควันโดได้อีกต่อไป
    แต่อย่างน้อย แม้จะเล่นไม่ได้ ฉันก็ยังสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักกีฬา ที่ไม่เคยยอมแพ้ แม้จะพ่ายแพ้
    เกมในสนาม แต่ถ้าหากเรามุ่งมั่นและต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้แก่ใจตัวเอง เราก็คงจะสัมผัสกับชัยชนะเข้าสักวันหนึ่ง

    ไม่มีใครแพ้ตลอดไป ถ้าหากไม่ยอมแพ้ใจตัวเองเสียก่อน...

    แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 49 18:35:46

     
     

    จากคุณ : ตัว(Z) - [ 10 มี.ค. 49 18:31:35 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป