CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เพื่อนยาก

    เรื่องสั้น

                                           เพื่อนยาก
                                                                                                     

    วันนั้นเป็นวันเงินเดือนออก ผมได้รับโทรศัพท์จาก พงษ์ เพื่อนเก่าเมื่อสมัยเป็น  นักเรียนมัธยมบด้วยกัน บอกว่าจะมารับไปกินข้าว  
    ผมก็เตรียมเก็บเอกสารบนโต๊ะใส่ลิ้นชัก แล้วก็รีบออกจากสำนักงาน ไปที่ป้ายรถเมล์ใกล้กับที่ทำงานนั้นเอง

                       ผมกับพงษ์ไม่ได้พบกันมานาน ตั้งแต่เขาสำเร็จจากโรงเรียนนายสิบ และออกรับราชการในหน่วยที่อยู่ต่างจังหวัด นาน ๆ เข้ามากรุงเทพ จึงจะนัดพบกันสักครั้งหนึ่ง   โดยส่วนใหญ่ผมก็จะเป็นเจ้ามือ เพราะมีรายได้มากกว่าเขา

                       เขาเคยหายหน้าไปเกือบสิบปี แล้วเขาก็มาหาผมตอนเย็นวันหนึ่ง และบอกว่าได้ลาออกจากราชการเสียแล้ว สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากมาย นอกจากนายเขาหา ว่ากินเหล้าในเวลาราชการ  
    เกือบจะได้เกิดคดีทำร้ายร่างกายผู้บังคับบัญชาอีกต่างหาก  เขาก็เลยยื่นใบลาออกเสีย ก่อนที่จะถูกไล่ออก

                       คราวนั้นผมถามว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เขาก็ว่าลงมากรุงเทพเพื่อ   ติดตามเรื่องขอรับเบี้ยหวัดที่มีสิทธิจะได้  แต่ขณะนั้นเงินหมดกระเป๋าแล้ว

    ผมจึงต้องเป็นผู้ที่รับภาระเลี้ยงอาหารเย็น แล้วก็พาไปนอนค้างที่บ้าน พอรุ่งเช้าเขาก็รีบลากลับโดยขอยืมเงินเป็นค่ารถกลับ และเผื่อไว้สำหรับค่าครองชีพต่อไปอีกประมาณเดือนหนึ่ง  เพราะเขาไม่มีครอบครัว

                       ผมก็มอบเงินให้เขาไปตามจำนวนที่ขอ แต่ใจไม่ได้คิดว่าให้ยืม เพราะคาดว่าคงจะไม่ได้คืนแน่ เมื่อผมยังพอจะหาได้ง่ายกว่าเขา ซึ่งหมดหนทางแล้ว  ผมก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธได้อย่างไร และก็นึกว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

                       คราวนี้ก็หายไปอีกสิบกว่าปี เมื่อพบหน้าเขาที่ศาลาพักผู้โดยสารรถเมล์    เขารีบถลาเข้ามาจับมือ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  ทั้ง ๆ ที่เครื่องแต่งกายดูโทรมและขมุกขมอมเต็มที

    " เพื่อนเอ๋ย ดีใจจริง ๆ ที่เพื่อนว่าง "  

    เขาเอ่ยเป็นประโยคแรก

    " ไปกับเราได้ตลอดทั้งวันนะ วันนี้น่ะ "                          ผมคิดถึงงานที่ยังค้างอยู่ในลิ้นชัก และหาหนทางบ่ายเบี่ยง เพราะคาดว่าอย่างไรเสีย ก็คงต้องหมดอีกหลายเงิน แต่ยังไม่ทันตอบ เขาก็ชิงสรุปว่า

    " ช่วยไปเป็นเพื่อนเราที่กระทรวงหน่อยเถอะ  เรามารับเงินบำเหน็จ   เป็นก้อนเดียว หลายพันด้วยซี ตกลงนะเพื่อน เราไม่รู้จะไปหาใครแล้ว "                    

                       ผมจึงเลิกคิดที่จะปฏิเสธ แต่มื้อกลางวันนั้นผมต้องเลี้ยงเขาก่อน พอถึงตอนบ่าย   เข้าไปรับเช็คในกระทรวงแล้ว เขาก็ให้ผมนำไปเบิกเงินสดที่ธนาคาร  

    ขณะนั้นแม้แต่กระเป๋าสตางค์เขาก็ไม่มี เอาเงินยัดใส่กระเป๋ากางเกงตุ่ยทั้งสองข้าง  

                       จากนั้นก็เที่ยวเดินหาซื้อของใช้จิปาถะ ตั้งแต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทั้งชั้นในชั้นนอก และเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมทั้งนาฬิกาข้อมือด้วย เราพากันตระเวนกันไปทั่วย่านการค้าในสมัยนั้น เมื่อจะซื้ออะไร เขาจะต้องเผื่อให้ผมด้วยเสมอ แต่ผมก็ปฏิเสธทุกครั้งว่าผมมีพอใช้แล้ว และคอยเตือนว่าเงินนี้เป็นก้อนสุดท้าย ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว  ควรจะเก็บหอมรอมริบ เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์เมื่อกลับไปอยู่บ้านดีกว่า  

                       จนกระทั่งถึงร้านขายทองแถวเยาวราช เขาขอดูแหวนปลอกมีดเกลี้ยง  ไม่มีลวดลาย วงที่เล็กที่สุดคงจะหนักเพียงแค่สลึงหย่อน ๆ สอบถามราคาแล้ว วงหนึ่งไม่ถึงสองร้อยบาท เขาต่อแล้วต่ออีกจะเอาสองวง จนเถ้าแก่ต้องยอมตกลงราคาตามลูกตื๊อของเขา ตัวเขาใส่วงหนึ่ง

    อีกวงหนึ่งเขาให้ผม  พร้อมกับขอร้องอ้อนวอนว่า ถ้าคราวนี้ไม่รับก็ถือว่าไม่ต้องเป็นเพื่อนกันอีกต่อไป  

    ผมก็ซึ้งในน้ำใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องรับไว้ เขาก็ดีใจมากชวนกันไปกินเหล้าต่อ แล้วลงท้ายก็กลับมานั่งคุยอยู่ที่บ้านผม รอเวลาที่จะไปขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน เพื่อกลับบ้าน

                       เขาบอกว่าไปคราวนี้ คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาพบหน้ากัน เพราะไม่มีธุระอะไรที่กรุงเทพแล้ว  ผมพอจะมีอะไรให้เขาไปเป็นที่ระลึกบ้าง  

    ผมก็บอกตามตรง ว่าผมเป็นคนไม่มีสมบัติอะไร เขาบอกว่าไม่ขอของมีค่าอะไรอยากได้แต่พระเครื่อง พอจะมีบ้างไหม จะเอาไว้เป็นที่ระลึกจากผม ซึ่งเป็นเพื่อนที่มีคุณต่อเขายิ่งกว่าใคร

    ผมก็ไปยกเอากล่องพระเครื่อง ที่วางไว้บนหิ้งพระ  หน้าพระพุทธรูปบูชาประจำบ้าน มาให้ทั้งกล่อง แล้วก็ออกปากอนุญาต ให้เลือกเอาไปตามชอบใจกี่องค์ก็ได้

                       เขาเลือกอยู่พักใหญ่ ก็หยิบเหรียญอันหนึ่งขึ้นจบเหนือหัว  บอกว่าจะขอองค์นี้องค์เดียว อยู่กับผมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาจะเอาไปห้อยคอเพราะมีห่วงอยู่แล้ว   ถ้าโชคดีก็จะได้เลี่ยมทองใส่สร้อยทองให้งามไปเลย  

    ผมไม่ใช่นักเลงพระจึงถามว่าพระอะไร เขาบอกด้วยความเคารพเลื่อมใสว่า หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ

                      เรื่องที่ผมเล่ามานี้ เป็นเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  พงษ์ ไม่เคยได้กลับมาหาผมอีกเลย  เมื่อกลับไปยโสธรบ้านเกิดของเขาแล้ว ก็เงียบหายต๋อมไป  

    ผมเคยคุยถึงเรื่องนี้ให้เพื่อนคนอื่น ๆ ฟัง  ต่างก็พากันบ่นเสียดาย ว่าผมได้ให้พระเครื่ององค์ที่ดี มีคุณค่าที่สุดของผม แก่เขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เพราะในปัจจุบันนี้มีมูลค่าสูงเป็นหมื่น ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมก็ไม่มีความรู้

          แต่ผมก็ไม่เคยเสียดายอาลัยอาวรณ์อะไร  เพราะผมเต็มใจให้เขาไปจริง ๆ  อยากจะให้สิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดของผมแก่เขา เพื่อตอบแทนน้ำใจอันซื่อตรงของเพื่อนผู้ยากไร้ ให้เขาภูมิใจว่ายังมีเพื่อนผู้หวังดีต่อเขา

    ผมจะดีใจมาก ถ้าเขาห้อยหลวงพ่อองค์นี้แล้ว เขามีความสุขความเจริญ รุ่งเรืองกว่าเก่า จนไม่ต้องมาหามาพึ่งพาผมอีก

    หรือแม้หากเขาตกทุกข์ได้ยากลงไป จนถึงกับต้องเอาพระไปจำหน่าย ถ้ามูลค่าของหลวงพ่อมีมากเท่าที่ใครต่อใครกล่าวขวัญ  ผมก็ยินดีที่มูลค่านั้นจะช่วยให้เขาได้รอดพ้น จากความยากจนค่นแค้นลงได้ ผมขออนุโมทนาด้วยใจจริง

                       จนถึงวันนี้ เป็นวันที่อยู่ระหว่างขึ้นปีใหม่ แต่ผมก็อยู่บ้านมาตลอดตั้งแต่ปีก่อนเพราะเกษียณอายุราชการแล้ว

    ขณะที่เอากล่องซึ่งบรรจุพระเครื่องเต็มทั้งสามกล่อง ออกมาทำความสะอาดปัดฝุ่นในยามว่าง หลังจากที่ไม่ได้ดูแลมาหลายปี  

                       ลูกชายคนโตซึ่งได้หายหน้าออกจากบ้านไป  ตั้งแต่ก่อนจะสิ้นปี ค่อย ๆ  ย่องขึ้นบันได มายกมือไหว้สวัสดีอยู่ข้าง ๆ  ยังไม่ทันจะได้ไต่ถามว่าหายหัวไปไหนมาตั้ง ๒- ๓ คืน  เขาก็ชิงบอกเสียก่อน

    " ผมไปงานปีใหม่บ้านเพื่อนที่ บางกรวย นนทบุรี "  

    เขาเล่าต่อ          

    " ที่บ้านนั้นเขามีดนตรีไทย ผมก็เลยเข้าร่วมวงกับเขา "

    ลูกชายคนนี้เรียนดนตรีไทยตั้งแต่ชั้นมัธยม  เคยออกโทรทัศน์หลายครั้ง

    " เป็นวงดนตรีของชาวบ้านแถวนั้น ผมร้องส่ง เพลงการเวกเล็ก "

    เขาคุยต่อ ไม่เว้นจังหวะให้ผมซัก

    " คุณลุงคนหนึ่งท่านชอบใจมาก พอจบเพลงท่านเรียกเข้าไปใกล้ ๆ ชมว่าเสียงดี  ร้องได้ดี แล้วก็ถอดพระเครื่องออกจากสร้อยคอ ใส่ฝ่ามือให้เป็นรางวัล นี่ไงครับ "  

    เขาส่งเหรียญสีทองแดงคร่ำคร่าหุ้มด้วยพลาสติกให้ผม บอกว่า

    " คุณพ่อช่วยดูซิครับ ว่าพระอะไร "

    ผมหยิบเหรียญนั้นขึ้นพิจารณาอย่างละเอียด แล้วก็ขนลุกชันไปทั้งตัว

    คุณพระช่วยผมอุทานอยู่ในใจ

    ด้านหลังของเหรียญนั้น เป็นอักขระขอมลบเลือนจนเกือบหมดแล้ว แต่ด้านหน้ามีอักษรจารึกชัดเจนว่า พระครูญาณวิลาศ (แดง)  พ.ศ.๒๕๐๓ อายุ ๘๒ ปี

    ผมคิดถึงพงษ์เพื่อนยากขึ้นมาจับใจ  

    ขออย่าให้เป็นเหรียญเดียวกัน  กับที่ผมให้เขาไปเลย.                
                                                                       ##########

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 20 มี.ค. 49 06:24:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป