CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ดอกไม้ที่ตายแล้ว (เรื่องสั้นคั่นนิยายครับ)

    สิบนิ้วที่พรมแป้นคีบอร์ดเพื่อส่งตัวอักษรเรียงร้อยให้เป็นถ้อยคำเป็นอันต้องชะงักงันพร้อมกับสมาธิเริ่มหลุดลอยเมื่อได้ยินเสียงเพลงอันคุ้นหูแทรกมาในบรรยากาศอันโพล้เพล้ของวันฝนพรำ ถึงดีกรีความร้อนระอุทางการเมืองจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี  นั่นก็ไม่มากพอที่จะดึงความสนใจของผมไปจากงานเขียนเรื่องสั้นเพื่อส่งต้นฉบับให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งได้  นอกจากสิ่งนี้  

    “ถึงแม้พี่นี้จะขี้มาว..ววว  ถึงพี่ดื่มเหล้าจนเมามาย..ยยย ไม่เคยทำร้ายน้องสักหน่อย..ยยย เอิ้ก! ”

    บทเพลงของศิลปินวงด่านเกวียนนักร้องเพลงเพื่อชีวิต สมัยผมยังเป็นเด็กถูกขับกล่อมมาจากลุงจอมขาเมาประจำซอย หากต้นฉบับมาได้ยินเข้าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์สีเผือกจะอยู่ในอารมณ์ไหน ระหว่างดีใจกับละเหี่ยใจ เพราะน้ำเสียงของแกเริ่มยานบ่งบอกดีกรีในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ลูกสาวคนเดียวเรียนจบ ได้งานทำและแต่งงาน  ดูแกจะดื่มหนักขึ้นทุกวัน  เหมือนคนมีเรื่องอยู่ในใจ  

    ‘จอม ขี้เมา’ ถูกตั้งขึ้นเป็นฉายาคล้ายกับประเพณีของทีมข่าวการเมืองประจำรัฐสภา เมื่อสิ้นปีต้องตั้งฉายาให้กับเหล่าบรรดานักการเมืองทั้งหลายกันยกใหญ่ เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ผิดกับลุงจอมซึ่งได้ฉายานี้มาชาวบ้านหลายปีจนไม่มีชื่อไหนจะเหมาะสมได้เท่านี้อีกแล้ว

    ลุงจอมกลายเป็นสิ่งคุ้นเคยของชาวบ้านแถบนี้รวมถึงตัวผมด้วย  ทุกวันหลังจากร้านของแก ‘จอมข้าวมันไก่’ ซึ่งอยู่หน้าปากซอยปิดลง แกก็เมาอย่างที่เห็นทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

    ร้านของลุงจอมกินเนื้อที่สองคูหาสำหรับการให้บริการอยู่หน้าถนนใหญ่ มีตัวแกเป็นประธานใหญ่ มีลูกเขยวัยหนุ่มฉกรรจ์อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเป็นกรรมการบริหาร  มีเด็กสาวในซอยถัดไปเป็นผู้จัดการทั่วไปรับหน้าที่เสิร์ฟสองคน  

    แน่นอนว่าผมเป็นลูกค้าของแกมายาวนาน  ลด แลก แจก แถม ตีสนิทเพราะบ้านอยู่ติดกัน  หลังๆ มานี่ผมใช้บริการ ‘กินเชื่อ’ บ่อย  ก็กว่างานเขียนจะแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้มันไม่ใช่ของง่าย  เพราะฉะนั้นผมต้องมองหาแหล่งอาหารตุนไว้ยามขัดสน

    กิจการของแกเป็นไปได้ด้วยดีตั้งแต่เลิกกับภรรยาใหม่ๆ ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทแรงกายทั้งหมดมาด้านนี้ด้านเดียวเลยประสบผลสำเร็จอย่างที่เห็น ชื่อเสียงของร้านกับรสชาติอาหารเป็นที่รู้จักของคนในละแวกใกล้และไกล เป็นเพราะความอร่อยนุ่มของไก่และมีน้ำจิ้มสูตรเด็ดเฉพาะตัว จนบรรดาพวกเซลชวนชิมทั้งหลายแหล่มาทำรายการออกโทรทัศน์เป็นที่โด่งดังไปทั่วทั้งซอย

    ความจริงลุงจอมจะหยุดขายนอนตีพุงไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีใครว่า  ด้วยเงินเก็บก้อนโตในธนาคารกับบ้านหลังใหญ่ในซอย จากน้ำพักน้ำแรงของแกมันก็มากโขอยู่  อีกทั้งคนรักของลูกสาวก่อนจะมาเป็นลูกเขย  ลุงจอมยื่นคำขาดว่าให้ลาออกจากราชการแล้วมาสืบทอดกิจการต่อจากแก ก็เต็มใจทำโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น

    ผมมารู้ภายหลัง หลังจากส่งเจ้าสาวเข้าหอแล้วว่าลุงจอมแกขู่ไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงานด้วย หากไม่ทำตามเงื่อนไงกับกติกาที่วางไว้  

    ลูกสาวของลุงจอมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยมปลายกับผม เธอเรียนจบปริญญาตรีมาก็ไปสมัครเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เคยขอร้องให้พ่อพักผ่อนอยู่กับบ้านหลังตรากตรำงานหนักมาตลอด แต่มีหรือลุงจอมจะยอม  แกเคยมาบ่นเรื่องนี้กับผมเมื่อน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไปอยู่ในตัวมากจนแทนตัวเองว่า “พี่”

    “น้องนางบ้านนาลองคิดดู คิดให้หนักๆ คิดให้ถ้วนถี่” ยามเมาเช่นนี้แกมักเรียกนามปากกาของผมเสมอ ซึ่งมาจากชื่อเต็มๆ ว่า ‘อนงค์นาง’ ใหม่ๆ ผมเคยประท้วงบ้างเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านแถบนี้รู้ว่าผมหากินกับการเขียนหนังสือ เดี๋ยวจะโดนตั้งฉายาว่า ’นักเขียนไส้แห้ง’ อีกคน แต่นานวันเข้าผมเข้าใจโดยไม่ต้องไม่มีคนบอกว่า ‘อย่าเถียงคนเมา’ ผมเลยปล่อยเลยตามเลยมาตั้งแต่นั้น  ฟังแกเล่าว่า

    “ยัยหนูมันจะไม่ให้พี่ทำงาน ชะช่า” แกตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่เหมือนโดนขัดใจ  รูปร่างค่อนไปทางผอมโอนเอนไปมา จนผมกลัวว่าแกจะเป็นลมหน้าคะมำกับขอบโต๊ะ  “เด็กสมัยนี้มันคิดว่าคนอายุหกสิบอย่างพี่ทำอารายม่ายได้”  ผมฟังออกเลยว่าลิ้นแกพันกันเสียแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายกระดกน้ำสีขาวบรรจุในขวดเล็กขนาดเท่าเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายอีกอึกใหญ่  หน้าตาเหยเกเพราะข้างขวดเขียนไว้ว่า35 ดีกรี  

    ลุงจอมยกหลังมือเช็ดริมฝีปากอย่างลวกๆ ถามผมว่า “หรือน้องนางว่าไง เห็นด้วยกับพี่มั้ย?!”

    “ครับๆ ผมว่าลุงจอมยังแข็งแรง เตะปี๊บยังดัง ฮ่าๆ”

    เพื่อยืนยันตามนั้นผมหัวเราะเสียงดังเพราะไม่อยากขัดคนเมาเหมือนครั้งก่อน อีกอย่างพูดไปเพราะความสนุกปากไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าให้เรื่องมันจบ อยากให้แกเข้าบ้านกลับไปผักผ่อน  แต่หลังจากนั้นลุงจอมก็ไม่มาคุยกับผมอีกเลย

    ตอนแรกผมไม่ได้แปลกใจอะไร  คิดไปคนเดียวว่าพอตกเย็นแกคงเมาได้ที่ อาจจะขี้เกียจแวะมานั่งคุยกับผม เพราะส่วนใหญ่แกผูกขาดการคุยอยู่คนเดียว ส่วนตัวผมก็มัววุ่นอยู่กับงานเขียนเล็กๆ น้อยๆ ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ราคาผ่อนส่ง ไม่ได้สนใจกับแกมากนัก

    ผมมานั่งคิดดูตามคนเขาพูดกันว่า ‘น้ำเมา’ หรือ ‘น้ำเปลี่ยนนิสัย’ นี่แปลก สามารถเปลี่ยนนิสัยลุงจอมผู้เงียบขรึมในภาคปกติให้เป็นคนพูดมากได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังเหล้าเข้าปาก  ส่วนมากจะหนักไปทางร้องเพลงเสียมากกว่า  แล้วใช่ว่าจะร้องตามต้นฉบับ หากไม่หยิบเอาท่อนฮุคของบางเพลงผสมกับอีกเพลงแล้วละก็  แกจะแต่งเพลงสดๆ ขึ้นมาเองโดยขอยืมทำนองเพลงโปรดมาใช้ ส่วนเนื้อร้อง  ‘ตามใจฉัน’ จนบางทีคนฟังอย่างผมก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ไปกับแกเหมือนกัน

     จนผ่านไปนานหลายวัน ผมเริ่มไม่สบายใจ

    ผมมานั่งวิเคราะห์กับคำพูดประโยคสุดท้ายที่พูดกับแกเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องที่ชาวบ้านซุบซิบโดยบอกต่อๆ กันมาว่ารู้แล้วให้เหยียบไว้  แต่วันหนึ่งมันก็ผ่านเข้าหูผมว่า สาเหตุที่ภรรยาของแกทิ้งไปเพราะ ‘ไปด้วยกันไม่ได้’ ก่อนแยกทางกันเดินนั้นเล่ากันว่าทั้งสองมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ถึงขั้นรุนแรง

    คำว่า ‘ไปด้วยกันไม่ได้’ ตามความคิดของผมมันกินความหมายกว้างมาก มีเรื่องตั้งร้อยแปดพันเก้าที่คนสองคนไม่สามารถร่วมเดินทางไปในเส้นทางของชีวิตได้  บางทีอาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างรับนิสัยตัวตนที่แท้จริงของกันและกันไม่ได้ หรือมีมือที่สาม ‘จำเลยของสังคม’ เข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็ได้  เป็นไปได้เท่าๆ กับว่าทั้งสองหมดรักต่อกันแล้ว

    ผมเพียงตั้งข้อสงสัยกับประเด็นกว้างๆ ไว้เท่านั้น ทั้งที่ผมมีข้อสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

    เสียงเพลง ‘ตามใจฉัน’ ยังคงดังมาต่อเนื่องตั้งแต่ปากซอยจนใกล้ถึงบ้านผม  ฉุดความคิดของผมให้กลับมาเงยหน้ามองร่างผ่ายผอมของลุงจอมแทนตัวอักษรบนหน้าจอมอนิเตอร์ แกเดินหน้าสามก้าวถอยหลังอีกสี่ เผลอมีออกข้างเป็นบางครั้ง กว่าจะถึงบ้านก็เล่นเอาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ยิ่งวันนี้น้ำตาฟ้าหลงฤดูโปรยปรายลงมาเปลี่ยนไอร้อนจากเมื่อตอนกลางวันพอให้ได้ชุ่มฉ่ำ ยิ่งทำให้ร่างนั้นเหมือนลูกแมวตกน้ำแลดูเปียกปอน

    ผมลังเลว่าจะเรียกแกมาเลียบเคียงถามกับข้อสงสัยบางประการดีหรือไม่  แต่ไม่ทันได้ตัดสินใจอะไรร่างของลุงจอมก็เดินเข้ามาในบ้านตรงระเบียงหน้าบ้านเปรียบเสมือนห้องทำงานของผมเสียแล้ว

    ผมเชื้อเชิญให้แกนั่ง พลางกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วงให้แกดูแลสุขภาพ ผมกลัวว่าแกจะเป็นหวัด  แต่ดูเหมือนแกจะไม่ได้ยินหรือไม่ก็ไม่สนใจฟัง มากไปกว่าเอ่ยถาม “เขียนนินายเหรอน้องนาง”

    “เปล่าครับลุง เรื่องสั้นน่ะ” ผมตอบ ขณะที่ใจคิดไปว่าวันนี้ลุงจอมคงเมาไม่มาก  ดูลักษณะการพูดก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไป บางครั้งผมยังแอบคิดว่าที่ผ่านมาแกเมาจริงหรือเมาเล่นกันแน่

    ลุงจอมเงียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก ผมหันไปมองแก บังเอิญเห็นดอกไม้ในมือของแกดอกหนึ่ง ‘ดอกหน้าวัว’ สีแดงเข้มสดใสจานรองรูปหัวใจแลดูสบายตา

    “ดอกไม้สวยจัง มีสาวที่ไหนให้มาหรือเปล่าครับ?” ผมแซว หวังให้กลับมาเป็นลุงจอมคนเดิม

    ดอกหน้าวัวในมือถูกยกขึ้นมาดูคล้ายพิจารณาอยู่ชั่วครู่  บอกขณะที่วางลงเหมือนคนหมดแรงว่า “น้องนาให้มา”

    แล้วแกก็เล่าให้ผมฟังว่าวันนี้ไปเยี่ยมเพื่อนชื่อลุงหวังมา น้องนาคือภรรยาของเพื่อน เพื่อนคนนี้เปิดกิจการขายดอกไม้หลายสาขา ให้ภรรยาวัยสาวดูแลส่วนลุงหวังชอบขายตามหน้ามหาวิทยาลัยมากกว่า  

    ผมสังเกตอาการของลุงจอมทุกระยะ ตลอดเวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเพื่อนให้ฟังดวงตาฉายแววปวดร้าวหรือไม่ก็มีเรื่องเก็บกดอยู่ภายในเมื่อแกเล่ามาถึงลูกสาววัยน่ารักของเพื่อนกับภรรยาผู้น่ารักคนนั้น

    “หวังมันโชคดี มีครอบครัวที่อบอุ่น”  

    “ลุงก็หาใครสักคนมาเป็นเพื่อนสิครับ จะได้ไม่เหงา” ผมลองตั้งประเด็นขึ้นมาดูตามที่แอบคิดสงสัย

    ลุงจอมหันมามองหน้าผมก่อนตอบเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ “ปล่อยให้ใครคนนั้นมีความสุขกับคนที่เขาสามารถให้ได้ดีกว่า ลุงมันแก่แล้ว”

    “ก็ไหนวันก่อนลุงบอกว่า ถึงจะอายุ60 แต่ก็ยังไม่แก่” ผมแย้ง  

    “มันเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นแหละน้องนาง”

    หลังจากลุงจอมบอกแล้ว เราสองคนต่างก็เงียบด้วยกันทั้งคู่  ลุงจอมนั้นนั่งมองดอกไม้จากเพื่อนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ส่วนตัวผมคิดเรื่องของแก  ตั้งแต่ภรรยาจากไปทิ้งลูกสาวไว้ให้แกดูแล ผมเห็นลุงจอมตั้งหน้าตั้งตาหาเลี้ยงครอบครัวกับทำงานหนักจนลูกสาวเรียนจบปริญญาตรี แล้วมาได้ลูกเขย จากนั้นแกก็หันหน้าเข้าขวดเหล้า เอาน้ำมีดีกรีมาเป็นเพื่อน กินจนเมามายแล้วกลับเข้าบ้าน ตื่นเช้ามาก็ยังคงทำงานได้ตามปกติ

    หรือว่าเรื่องที่ผมสงสัยมันจะเป็นความจริง! แต่ใครเลยจะกล้าถามเรื่องแบบนี้ สำหรับผู้ชายถือเป็นเรื่องใหญ่!

    “หวังมันบอกพี่ว่า ดอกไม้ก็คือดอกไม้ อย่าไปตีค่าให้ความสำคัญกับชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นพิเศษ” ลุงจอมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

    “แล้วลุงคิดว่าไง?”

    “ก็คงจะจริงตามนั้น” แกตอบเหมือนคนปลงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง “อย่าไปยึดติดหากจะให้ดอกไม้แทนความรักกับใครสักคนว่าต้องเป็นดอกกุหลาบ ดอกลิลลี่หรือดอกเบญจมาศ  อาจเป็นดอกหน้าวัว ดอกดาวเรืองสักดอก หากคนให้กับคนรับมีความรักอยู่ในหัวใจ มันก็สวยงามได้เสมอ ”

    “ผมว่าลุงเปลี่ยนไปนะ”

    “มันถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงเสียที”

    “หมายความว่า?”

    ลุงจอมถอนหายใจเฮือกใหญ่  แกบอกต่อไปว่า “ถึงดอกไม้ในใจพี่จะตายนานแล้ว แต่กับดอกไม้ที่จะเกิดออกมาดูโลกไม่กี่วันข้างหน้านี้ต้องสวยงามและสดใส เพราะฉะนั้นพี่คิดว่าควรเลิกทำตัวแบบที่แล้วมาเสียที  ไม่อยากให้หลานติดภาพคุณตาขี้เมา”

    แล้วจากนั้นแกก็ชวนคุยเรื่องที่จะได้หลานเสียส่วนใหญ่ ตลอดการคุยเรื่องนี้ดูสีหน้าแกจะแช่มชื่นขึ้นทันตาเห็น  ก่อนลากลับแกหันมาทวงถามกับผมว่า “เมื่อไหร่พี่จะได้เป็นพระเอกในนิยายของน้องนางบ้างนะ”  ผมเพียงยิ้มรับพลางปรายตามองตัวอักษรบนหน้าจอมอนิเตอร์  เพราะเมื่อกลางปีผมเคยรับปากเล่นๆ ว่าจะเขียนให้แกเป็นพระเอกสักเรื่อง

    ลุงจอมเข้าบ้านไปแล้ว คงปล่อยให้ผมนั่งมึนกับข้อสงสัยในใจ  ‘ดอกไม้ที่ตายแล้ว’ ตามที่แกพูดหมายความว่าอย่างไรกัน?

    หากความหมายตามที่ลุงจอมพยายามเก็บซ่อนมันไว้ หมายถึงดอกไม้จะสวยงามมีความหมายเพียงใดก็ถึงวันแห้งเหี่ยวโรยรา อาจจะอับเฉาก่อนจะร่วงโรยตามเวลาอันควรก็สุดจะเดา ความสดใสหอมระรื่นกลายเป็นเพียงอดีตให้คะนึงหา เพียงแต่ว่าเราจะจดจำความหอมหวานเหล่านั้นได้นานแค่ไหน ถวิลหาต่อหรือไม่?

    สำหรับผม ‘ดอกไม้ที่ตายแล้ว’ ก็ยังคงเป็นดอกไม้อยู่วันยังค่ำ ไม่ได้ยืนต้นตายตามที่หลายคนเข้าใจ เพียงแต่จะให้สดใส เหมือนเมื่อครั้งชูช่อก้านดอกพลิ้วไหวเมื่อยามลมพัดคงทำไม่ได้  หากเปรียบดั่งมิตรภาพก็หวังว่าคงไม่ถูกกีดกั้นด้วยคำนำหน้านามเหมือนที่เคยโดนมาอีก ไม่อย่างนั้นดอกไม้ในใจผมมันคงได้ตายไปตามลุงจอมจริงๆ

    ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ลุงหวังเพื่อนลุงจอมพูดแล้วผมว่า แกคงเป็นผู้ชายที่มีมุมมองโลกที่แปลกดี

    ผมหวังว่าลุงจอมคงได้อิทธิพลทางใจมากพอ จากการไปเยี่ยมเพื่อนครั้งนี้

    ผมสูดลมหายใจลึกๆ สามสี่ครั้ง หลับตาทำสมาธิอยู่พักใหญ่ แล้วความคิดอันตันตื้อเมื่อสักครู่ก็พบทางสว่าง ผมพรมนิ้วบนแป้นคีบอร์ดใช้ชื่อเรื่องสั้นว่า ‘ดอกไม้ที่ตายแล้ว’ ผมตั้งความหวังไว้ว่ารอให้เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ก่อนแล้วค่อยบอกลุงจอมตามสัญญา        

    เมื่อก่อนผมเคยมีอคติต่อภรรยาของแกที่ทิ้งลูกและสามีไป
    ยามนี้...ผมได้แต่ทอดถอนใจคิดสะระตะถึงความจริง ‘ก็แกสวยและยังสาวปานนั้น!’ คงไม่อยากเป็นดอกไม้อับเฉา ของดอกไม้ที่ตายแล้วอย่างลุงจอมหรอก !

    ++++++++
    จบครับผม
    ด้วยความเคารพ นางค์ลองเขียนแนวใหม่ดู  ติติงได้หากอ่านแล้วไม่เข้าใจ

    แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 49 10:04:01

    จากคุณ : อนงค์นาง - [ 20 มี.ค. 49 10:03:40 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป