CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    7 วันที่ไพศาลี 49

    12-2-49
    เช้านี้ตื่นตี 3.25 น. เตรียมตัวเดินทางไปพุทธสถานศาลีอโศก  นัดกันว่าตี 4 ล้อหมุน  ปรากฏว่าไปถึงที่นัดหมาย  รถยังไม่มาซักกะคัน  มีรถไป 2 คน  ซักพักรถอีกคันถึงมา  และแจ้งว่า  รถตู้ขอบคุณ(ไปยืมบริษัทข้าง ๆ มา  ชื่อบริษัทขอบคุณ)  ลุงมงคลล็อคเบรคล้อหรืออะไรซักอย่างนะ  แล้วไม่มีกุญแจไข  คนยืมลืมดูว่ามีกุญแจแค่ดอกเดียว  ดอกที่จะไขเบรคล้อ(ขอเรียกอย่างนี้ละกันนะ)  ไม่มี    พี่ขวัญก็ติดต่อคนที่มีกุยแจของบริษัทขอบคุณ  โทรไปถามคนดูแลรถขอบคุณ  พอได้กุญแจแล้วก็ต้องนั่งแท็กซี่เอากุยแจไปให้  ช่วงรอ  ฉันกลับไปที่บริษัทนอนรอดีกว่า  เพราะรอที่ลานจอดรถยุงหึ่งเลย  อยู่เฉยไม่ได้  ต้องขับตัวตลอดเวลา

    ฉันเพิ่งนอนไป 1 ชม.เอง  เพราะนั่งทำงาน  มีปัญหากับโปรแกรมที่เปลี่ยนเวอร์ชั่นใหม่  เวอร์ชั่นเก่ากับใหม่มีการทำงานบางอย่างไม่เหมือนกัน  ฉันจะประมวลผลข้อมูลปีที่แล้ว  คือ  จะลบทิ่ง  แต่มันบอกว่า  ต้องผ่านข้อมูลเรียบร้อยก่อน  ดีนะที่สำรองข้อมูลก่อนทำ  เกือบลืมแล้ว  พอผ่านข้อมูลเสร็จ  ดั๊น…ไม่ยอมให้ผ่านบางรายการ  แล้วกันสิ  จะทำไงดีเนี่ย  เลยต้องเอาข้อมูลสำรองลงทับใหม่  เดี๋ยวต้องคิดหาวิธีแก้ก่อน  เฮ้อ…ปวดหมอง

    รถมารับตอน 6 โมงกว่า ๆ  ขึ้นรถปั๊บก็รีบนอนต่อเลย  รถอีกคันเดินทางไปกันก่อนแล เราไปทีมสุดท้าย  อิอิ  ก็ดีเหมือนกัน  ได้นอนต่อ  แล้วรถก็ว่างด้วย  ฮี่ ๆ

    เดินทางมาถึงนครสวรรค์  ประมาณ 10 โมงเช้า  ลุงมงคลเป็นอะไรไม่รู้เกิดจำทางเข้าไม่ได้  ขับเลยไปจะเข้าตัวเมืองนครสวรรค์  ต้องโทรถามเส้นทางแล้วขับรถย้อนกลับ  ฝนก็ตกอีก  ตายละหว่า?  ชุดสร้างบ้านที่เอามา(เครื่องนอน)  เป็นชุดเล็กที่ไม่ได้เตรียมพร้อมเรื่องฝนตก  แต่พอเข้าใกล้ศาลอโศกฟ้าก็ใสขึ้น  ป้าแซวว่า  เราหาไม่เจอเพราะฝนตก (อ. ที่เราจะไปคือ อ.ตากฟ้า) ฟ้ามันเปียกไง  อิอิ  ที่ศาลอโศกมีฝนตกนิดหน่อย  พอให้ดินนุ่ม  ไปถึงพ่อท่านกำลังเทศน์อยู่  ฉันก็ไปเดินหาที่นอน  เลือกที่เหมาะ ๆ ใต้ต้นไม้  แต่ปีนี้ต้นไม้ดูแห้งแล้งกว่าปีก่อน  หลาย ๆ ต้นเหลือแต่กิ่งก้านสาขาอันโดดเดี่ยว  จากนั้นเราก็ไปทานข้าว  แล้วกลับมาช่วยน้องต่ายกางเต้นท์  ไปขนฟางมาปูพื้นที่เปียกแล้วก็เป็นหลุมเป็นแอ่ง  ทำให้นุ่มนิ่มเหมือนนอนที่นอนเลย  อืม…ไม่ค่อยชอบหรอก  ชอบพื้นเรียบ ๆ ดีกว่า  ปรับปรุงที่นอนเสร็จก็ไปศาลาค้า  ลืมเอาแปรงสีฟันมาอีกแล้ว  

    ตอนบ่ายเข้าศาลาฟังธรรม  แม้จะบ่ายแล้ว  แต่อากาศก็ยังดีมาก ๆ  เย็นสบายดี  ฉันเลือกนั่งริมศาลา  ตอนนี้มีปัญหาเรื่องเข่า  นั่งขัดสมาธินาน ๆ เวลาลุกขึ้นจะเจ็บ  ต้องค่อย ๆ ลุกยังกะคนแก่แหนะ  เฮ้อ…  ใช้เท้าออกแรงเตะอะไรก็ไม่ได้  มันไม่มีแรง  การเดินเหินก็ปกติดี  แต่ถ้าต้องนั่งพื้นนาน ๆ  การเดินก็จะมีปัญหานิดหน่อย  มันไม่คล่องแคล่วอย่างเดิม  ฉันคิดว่า  กล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าคงอักเสบ  ตอนนี้ก็เป็นมาเข้าเดือนที่ 3 แล้วล่ะ  

    ภาคบ่าย  รายการเอาแต่ใจตัว  คือชั่วโดยอัตโนมัติ  จะดีได้ต้องหัดให้ หัดเสียสละ  ดำเนินรายการโดย สมณะสมชาติโก  ท่านเล่าว่า  ตอนมาเตรียมงาน   อากาศร้อนมาก  พอพวกเรามาฝนก็ตก ทำให้อากาศเย็นสบาย

    สิกขมาตรินฟ้า  เล่าถึงพุทธศาสนาในใต้หวัน  คือ  มูลนิธิฉือจี้(แปลว่า  เมตตากรุณา)  ผู้ก่อตั้งคือ  ภิกษุณี  ตอนนี้มีอายุ 70 ปี  มีสมาชิกทั่วโลก 5 ล้านคน  มีโรงพยาบาล  มีสถานีโทรทัศน์ของตัวเอง   ซึ่งออกรายการ 24 ชม.  ทั่วโลกเกี่ยวกับธรรมะ  สร้างโดยการแยกขยะไปขาย  มีคุณยายคนหนึ่งพูดว่า  ชีวิตเขาอยู่บ้านไม่มีประโยชน์อะไรเลย  แต่เขามาช่วยแยกขยะที่นี่รู้สึกชีวิตมีค่า  และได้รีไซเคิ้ลชีวิตตัวเองด้วย  จะมีห้องถนอมบุญ  ซึ่งเป็นที่ขายขยะที่ยังนำกลับไปใช้ได้  เป็นการช่วยยืดอายุขยะ  และเงินที่ขายได้  นำไปช่วยการทำสถานีโทรทัศน์  ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใจ  ขอบคุณคนที่มาให้เขาได้ช่วยเหลือ  เพราะทำให้เขามีโอกาสได้ทำความดี(สุดยอด…..!!  ของความคิดเลย  คิดได้ยังไง)  เวลาเขาจะให้ของใคร  ฉือจี้จะนอบน้อมในการให้มาก ๆ เพราะเหมือนกับว่า  ช่วยรับของหน่อยเถิด  เพราะคุณช่วยให้เขาได้ทำความดี


    เขาสร้างโรงพยาบาลด้วยเงินบริจาคของแม่บ้าน 30 คน  โดยให้หยอดกระปุกวันละ 1 เหรียญทุกวัน  แม่บ้านถามว่า  หยอดเดือนละ 30 เหรียญไม่ได้เหรอ  ภิกษุณีตอบว่า  การหยอดกระปุกเดือนละครั้ง  ทำให้เรานึกถึงความดีเดือนละครั้ง  แต่ถ้าหยอดทุกวัน  ทำให้เรานึกถึงความดีทุกวัน  (หืม…….เห็นด้วยนะ  เข้าใจคิดมาก ๆ เลย)  

    ภิกษุณีมีแรงบันดาลใจในการก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ขึ้นมาเนื่องจาก  เคยไปรพ. เห็นรอยเลือดของหญิงชาวเขาที่แท้งลุกมาถึงรพ.  แต่ไม่มีเงิน  จึงต้องกลับไปตายที่บ้าน  ภิกษุณีเกิดความคิดว่า  เขาก็เป็นคนดีมีเมตตา  ทำไมเราช่วยเขาไม่ได้  คนศาสนาคริสต์เคยมาถามว่า  ศาสนาพุทธได้ทำอะไรให้ประชาชนบ้าง  เคยไปช่วยเหลือใครไหม  เคยรักษาใครไหม  เคยไปช่วยสอนหนังสือไหม  จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ภิกษุณีก่อตั้งมูลนิธฉือจี้ขึ้นมา  ถ้าโลกประสบภัยภิบัติที่ไหน  ฉือจี้ต้องไปก่อนและกลับทีหลัง  วันไหนไม่ทำงานวันนั้นไม่ต้องกิน  เน้นความสะอาด  ใช้พลังของจิตอาสา  มารยาทสังคมที่สุภาพและมีน้ำใจ

    ขณะร่วมประชุมกับคณะบดีมหาวิทยาลัยแพทย์ของฉือจี้  ท่านคณะบดีจะคอยมองว่า  น้ำชาใครหมดจะคอยเติมน้ำชาให้   โรงพยาบาลของฉือจี้มีขนาดใหญ่กว่า รพ.ศิริราชถึง 5 เท่า  มีอาสาสมัครมาช่วยทำความสะอาดวันละ 200 คน  ไม่มีพนักงานทำความสะอาด (ไม่น่าเชื่อเนอะ!! อัศจรรย์!)  พระพุทธรูปที่ฉือจี้จะเป็นรูปช่วยเหลือโลก  ต่างกับพระพุทธรูปในประเทศไทยที่เป็นรูปนั่งหลับตาสมาธิ  ชาวฉือจี้จะมีความกระตือรือร้นตลอดเวลาเสมอ

    ของฝาก
    -ถ้าเราไม่อยากให้ใครบังคับเรา  เราก็บังคับตัวเองซะ
    -การทำใจเตรียมพร้อมไว้ 50 50 ทำให้เราไม่ต้องปรับใจมาก
    -ความดีมีละเอียด  ความเกลียดให้ละก่อน
    -4 ให้  ไม่ 6   ได้แก่  1. ให้อภัย 2. ให้เวลา 3.ให้ความเข้าใจ 4. ให้ความร่วมมือ  
                                  1.ไม่สวนคำพูด   2.ไม่แนะนำสั่งสอน(เมือยังไม่ถึงกาละ)  3.ไม่ด่วนสรุปความผิดของผู้อื่น
                                  4. ไม่ปฏิเสธ  5. ไม่พูดถึงความไม่ดีของผู้อื่น  6. ไม่พูดถึงความดีของตัวเอง

    ภาคบ่ายหลับไปนิดหน่อย  แหะ แหะ

    ภาคค่ำ  รายการคลื่นลูกใหม่  โดยสิกขมาตผาแก้ว
    คนแรก  คุณสุวรรณา  อาชีพพยาบาล  ได้อบรมสัจจะธรรมชีวิตที่ปฐมอโศก  หลังจากอบรมแล้วกลัวบาปจึงเลิกกินเนื้อสัตว์  เคยชอบแต่งหน้า  ก็รู้สึกว่า  เสียเวลา  จึงเลิกแต่ง
    คนที่สอง  คุณสมบูรณ์  อาชีพทำไร่อ้อย  เคยทำเล้าไก่  ก่อนไปอบรมสัตตะธรรมฯ  เป็นคนชอบทำบุญ  หาบุญ  แต่ไม่รู้ว่า  บุญคืออะไร  ไปอบรมแล้วได้ฟังว่า  ทำบุญแล้วบาป  จะขาดทุนย่อยยับ  ฟังเสร็จมาคิดว่า  ตัวเองเลี้ยงไก่  ไปวัดก็ฆ่าไก่ไปทำบุญ  ก็เลยเลิกเลี้ยง  ผลจากการเลี้ยงไก่ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้  พอเลิกเลี้ยงไก่ก็มาปลูกผักไร้สาร  ทำเต้าหู้  เพาะถั่วงอก  ตอนนี้สุขภาพดีขึ้นมาก  ไม่ต้องกินยาเช้า  กลางวัน  เย็น  อีกแล้ว
    คนที่สาม  อบรมที่ศรีบูรภาอโศก  เคยติดห้วย  เล่นเหล็กไหล  เสียทั้งบ้าน  รถ  ที่ดิน  ตอนนี้เลิกหมดแล้ว  กินมังสวิรัติ
    คนที่สี่  คุณบุญส่ง  จ. สระบุรี  เคยทำงานบริษัทมา 20 ปี  เงินเดือน 2 หมื่นกว่า  แต่ก็เอาไปกินเหล้า  สูบบุหรี่  มีงานเลี้ยงสังสรรทุกวัน  เล่นห้วย  เงินเดือนไม่พอใช้  มีหนี้สินเยอะแยะ  ได้ไปอบรมที่ปฐมอโศกปี 46  หลังจากอบรมแล้ว  ชีวิตครอบครัวดีขึ้น  เลิกกินเหล้า  สูบบุหรี่  สุขภาพดีขึ้น  มีความตั้งใจจะถือศีล 5  เริ่มปลูกผักไร้สารพิษ  ปี48  จึงลาออกมาทำกสิกรรมไร้สารพิษ  ทำกินเอง  แจกเพื่อนบ้าน  เหลือถึงจะขาย  ชีวิตมีความสุข  ตื่นเช้าแต่ก่อนนอนดึกตื่นสาย  ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง  ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยทำเลย
    คนที่ห้า  คุณนาฎพัฒน์  เป็นพยาบาล  มักจะขึ้นเวรเพื่อหาเงิน  ทำให้สุขภาพไม่ค่อยดี  ได้ไปอบรมที่ปฐมอโศก  พอกลับไปบ้าน  ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจทานมังสวิรัติ  แต่พอกลับไปกินเนื้อสัตว์  ก้เกิดการอาเจียนอย่างรุนแรง  เลยคิดว่า  ร่ายกายไม่รับแล้ว  เลยตั้งใจกินมังสวิรัติตั้งแต่นั้นมา  ฝึกเป็นคนเสียสละ  เห็นใจคนอื่น  ทุ่มเทให้ประชาชนมากขึ้น

    คุณสำเนียง  อบรมที่ศรีบูรพา  ประทับใจสังคมที่นั้น  เปลี่ยนแปลงตัวเองคือ  กินมังสวิรัติ  อาชีพทำไร่  ให้ใช้ที่ดินเพื่อทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกัน  สอนอาชีพให้คนที่สนใจ

    คุณโสธร  อรมที่ปฐมอโศก ปี 46  เปลี่ยนตัวเองคือ  การแต่งตัว  เลิกแต่งตามแฟชั่น  การใช้จ่ายลดลง
    คุณเรณู  อบรมที่ศรีบุรพา  ที่ไปอบรมตั้งใจไปเรียนสูตรปุ๋ยหมัก  กลับมาแล้วปลูกต้นไม่เพื่อทานเอง  ขายถูก ๆ แถมด้วย  ให้เก็บผลไม้เองถ้ามาที่บ้าน

    คุณอะไรจำชื่อไม่ได้  คนนี้แต่ก่อนหนัก  112 กก.  ตอนนี้หนัก 98 กก. สุขภาพไม่ดี  ปวดขา  เดินไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้า  ต้องไปฉีดยาทุกอาทิตย์  หัวหน้า ธกส. บอกให้ไปประชุมอบรมที่ศรีบูรพา  กลับมาก็กินมังสวิรัติ  น้ำหนักลด   หายปวดขา  ไม่ต้องไปฉีดยา  ไม่ปวดหัว

    คุณสำเรียง  ไปอบรมที่ศรีบูรพา ปี 45  เกือบหนีกลับบ้าน  แต่เห็นคนคนอื่นอยู่ได้ก็เลยอยู่  แล้วก็ศรัทธาสมณะที่ฉันมื้อเดียว  พาลูกไปกราบ  แค่ได้กราบก็ชอบ  เคยชอบแต่งงตัวก็เลิกแต่งตัว  เน้นการทำดี  ให้ไปช่วยงานอะไรในชุมชนไปหมด  ทำงานบริษัท  ในปี 48  ได้เป็นคนดี 1 ในร้อย  ของบริษัท

    คุณบุญรวม  ผู้จัดการสาขา ธกส. อ.วังม่วง  จ. สระบุรี  เดิมเป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน  เป็นคนจัดลูกค้า ธกส. หลายอาชีพ  ขอให้เป็นคน  จัดไปอบรมหมด  ทั้งเด็ก  ทั้งคนแก่  เพราะรู้สึกประทับใจ  ว่านี้คือพุทธที่แท้จริง  ตั้งใจทานมังสวิรัติ  ถือศีล 5  เลยหลังจากอบรมเสร็จ  ทำตัวเป็นตัวอย่าง  ได้อานิสงฆ์คือ  สุขภาพดีขึ้น  โรคเกือบหายไปหมด  เดิมเป็นโรคเยอะมาก  มีเงินทองเหลือมากขึ้น  เลิกอบายมุขได้  เลิกติดกาแฟ  ซื้อรถได้ 2 คัน  ภายในเวลา 3 ปี  คิดว่าชีวิตดีขึ้นมาก ๆ เลยอยากให้คนอื่นดีด้วย  ก็เลยจัดพาคนไปอบรมทั้งไหว้  ทั้งบังคับ  แล้วคอยติดตามผลว่า  แต่ละคนที่ไปอบรมแล้วเป็นอย่างไร  สร้างกิจกรรมต่อเนื่อง  เช่น  ฟังธรรมร่วมกัน  ทำกสิการไร้สารพิษ  เขาคิดว่า  การปฏิบัติธรรมต้องมีการรวมกลุ่มกัน  ถ้าอยู่โดดเดี่ยวก็จะถูกกลืนไป  กิจกรรมฟังธรรมค่ำอังคาร  โดยมีการสวดมนต์  ฟังหลวงพ่อวีซีดี  ถ้าไม่มีสมณะไป  

    เขาคิดว่า  เขาทำแล้วดี  รู้สึกสงสารชาวบ้าน  อยากให้มีการพัฒนาจิตวิญญาณ  อยากทำบุญอยากทำประโยชน์  มีภาพกิจกรรมให้ดูด้วยล่ะ  กิจกรรม  เช่น  ปลูกผักไร้สารพิษร่วมกัน  ทานข้าวร่วมกัน  มีการรวมกลุ่มมา 2 ปีกว่าแล้ว    มีคำถามว่า  เงินที่ให้กู้  ทำให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงหรือ  ผู้จัดการตอบว่า  เงินเป็นปัจจัยเริ่มต้น  แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย   อยู่ที่การจัดสรรเงิน  ฉันคิดว่า  นี่คือลักษณะองคนที่เป็นหัวหน้า  ที่กล้าคิดกล้าทำ  มีความคิดสร้างสรรค์

    โรงงานน้ำตาลสระบุรี  มีโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา  ครั้งแรก  ส่งคนไปอบรม 50 คน  เกิดการเปลี่ยนแปลง  คือคนงานเลิกเหล้า  ทานมังสวิรัติ  เลิกอบายมุข  จึงมีการอบรมรุ่นที่ 2  ต่อไป  รุ่นที่ 2  กลับมาก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ดี  มีกิจกรรมต่อเนื่องร่วมกัน  เป็นต้น

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 21 มี.ค. 49 23:37:24 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป