ในฮานอย มีหัวใจ
อันโตนิโอ
หัวใจของฮานอยอยู่ที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม...
ผมอ่านเรื่อง ม่านมายา ของ เดือง ทู เฮือง ที่แปลโดยคุณไกรวรรณ สีดาฟอง จบไปแล้วสองรอบ ภาพเมืองฮานอยฟุ้งซึมขึ้นมาราวกับความฝัน ลอยอ้อยอิ่งระเรี่ยกับลมหายใจแห่งชีวิตจริงราวกับจะกระตุ้นให้เกิดความอยากไปพบประสบด้วยดวงตา ผมอ่านบทสนทนาในเรื่องนี้ จำได้แทบทุกประโยค จำได้ว่าลินห์เป็นสาวฮานอยผู้ยึดมั่นในอุดมคติ แม้กัดกินก้อนเกลือเธอก็ยอมเพื่อให้ได้อยู่กับสามีผู้มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง เธอเกิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งตรงถนนฮาง ก๋า ทว่าเงวี้ยน สามีของลินห์กลับสำรอกอุดมการออกเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว และเตริ่นเฟือง มือที่สามผู้พรากดวงใจไปจากเงวี้ยน เขาเป็นชายสูงวัย สง่างามด้วยชาติตระกูลและความสามารถ แต่นั่นใช่ภาพที่แท้ของเขาแน่หรือ ตัวละครในเรื่องม่านมายาเติมภาพของฮานอยให้มีสีสันแล้วยังได้ทั้งกลิ่นและเสียงครบสมบูรณ์เหลือเกิน ความประทับใจของฮานอยเกิดขึ้นอีกครั้งในเรื่องเล่าของคุณลุงคำสิงห์ ศรีนอก ในเรื่อง เวียดนาม ความห่างเหินที่อยู่ติดรั้วบ้าน ผมกระซิบบอกให้ก็ได้ว่าหนังสือเล่มนี้ผมอ่านไปแล้วไม่ต่ำกว่าห้ารอบ คุณลุงเล่าเรื่องที่ไปเดินเล่นแถวถนนยา ชัง ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านขายภาพเขียน งานศิลปะต่าง ๆ แล้วคุณลุงก็ยังเล่าเรื่องที่ไปเยือนวัน เหมียว หรือวิหารแห่งวรรณกรรม มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามซึ่งทำเอาผมฝันเห็นแผ่นศิลาจารึกชื่อจอหงวนบนหลังเต่ายักษ์เรียงราย ในยามค่ำคืนหนึ่ง คุณลุงคำสิงห์เล่าว่าได้ไปเยือนนักเขียนเวียดนามผู้ยิ่งใหญ่นามว่า เบ๋า นินห์ ผู้เรียงร้อยเลือดเนื้อของเขาขึ้นมาเป็นตัวอักษรเรื่อง The Sorrow of War และได้ชวนกันไปนั่งสังสรรค์กันในร้านอาหารริมทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมอันสงบนิ่งในยามราตรี
หัวใจของฮานอยอยู่ที่ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม... และพลิ้วน้ำของมันก็เปรียบดังชีพจร ลมโบกโชยจากใจกลางทะเลสาบก็เป็นราวกับลมหายใจทำให้ฮานอยมีชีวิตชีวา ไม่หวือหวาโดดเด่นมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่างาม สมถะ กำลังดี...
ฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้เก่าแก่ จะว่าฟังแล้วสนุกก็ใช่ ทว่าในความสนุกนั้นคือเรื่องราวแห่งการต่อสู้ การสูญเสียอิสรภาพและการกอบกู้เอกราชจากศัตรูผู้มากพละกำลังครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องที่ว่าสนุกนี้คือบทจำลองของการสูญเสียชีวิตโลหิตและน้ำตา ปริมาณของมันคงมหาศาล หลั่งไหลลงในสายน้ำจนเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำขุ่นจึงเรียกแม่น้ำใหญ่สายนี้ว่า ซมฮม หรือ แม่น้ำแดง เมื่อผมเดินทางไปถึงเว้ ชาวเว้คนหนึ่งเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังอย่างย่นย่อ ผมเข้าใจเพราะเคยอ่านมาบ้างแล้ว แต่ประโยคหนึ่งที่เขาพูดออกมาว่า ยูโน้ เวียดนัมมี่ (เวียดนามิส) เวรี่แซด...ไชน่า วันเทาเซ่นเยียร์ เด็นฟั๊ง (ฝรั่งเศส) ฮันเดร็ดเยียร์ แอนด์เด็นอเมริกา...วีเวรี่แซด...เขาโคลงศีรษะช้า ๆ ในแววตาขณะเอ่ยวลีสุดท้ายเหม่อมองไปยังฟากอดีตอันขมขื่น บทสรุปนั้นทำเอาผมนั่งซึม รู้ลึกซึ้งไปถึงก้นบึ้งของความเป็นชนชาติเวียดนามมากกว่าเดิม
ผมสะพายเป้ออกจากบ้านย่านบางนาเวลา 7.30 น. พอเที่ยงเราสองคนก็มาเหยียบอยู่บนภาคเหนือของแผ่นดินอันนัมตรงตำแหน่งที่เรียกว่าสนามบินนานาชาตินอยไบ สนามบินแห่งนี้เล็กและจะว่าไปก็ไม่ทันสมัยอย่างที่ประเทศสังคมนิยมส่วนใหญ่ยังเป็นกันอยู่ แต่เราก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจหรือผิดหวังสักนิดเพราะคิดกันไว้แล้วว่ารูปการณ์มันก็คงเป็นแบบนี้แหละ เจ้าหน้าที่ล้วนหน้าตาขรึม ไม่ยิ้มเลย แต่งตัวด้วยเครื่องแบบหลวม ๆ แต่ดูน่าเกรงขามอยู่เหมือนกัน พ้นจากด่านตรวจคนเข้าเมือง ต่ายสอบถามข้อมูลจากพนักงานขายบัตรโทรศัพท์ตรงบริเวณทางออกชั้นล่างว่าเราควรจะเข้าเมืองโดยวิธีใดดี เธอแนะนำให้นั่งแท็กซี่ซึ่งจะเป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด แต่ก็แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจะสูงพอสมควร จากนอยไบไปถึงกลางใจเมืองฮานอยระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ค่าแท็กซี่นั้นไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 ด็อง หรือตีเป็นเงินเหรียญสหรัฐซึ่งสามารถใช้ได้ทั่วประเทศก็จะอยู่ราว ๆ 10-15 เหรียญ และหากวัดด้วยเงินไทยก็จะตกอยู่ราว ๆ 400-450 บาท นอกจากรถแท็กซี่แล้วยังมีรถตู้ เป็นรถตู้บริการของสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ ค่ารถรู้สึกจะคนละ 4 หรือ 7 เหรียญไม่แน่ใจเพราะผมไม่ค่อยได้สนใจฟังนัก ใจมัวแต่รอให้เขาอธิบายให้เสร็จก่อนเพื่อที่จะได้ถามอีกคำถามหนึ่งว่า มีรถเมล์จากนี้ไปถึงฮว่านเกี๋ยมหรือไม่
สาวเวียดนามพนักงานขายบัตรโทรศัพท์มองหน้าผมยิ้ม ๆ ไม่ใช่ยิ้มเยาะแต่เป็นยิ้มที่เหมือนกับว่าอารมณ์ดี เธอเขียนหมายเลขรถประจำทางให้ผมแล้วชี้ไปยังตำแหน่งของป้ายรถซึ่งจะต้องเดินออกไปอีกราว ๆ 200 เมตร เรากล่าวคำขอบคุณ และเธอก็ตอบแทนกลับด้วยยิ้มอบอุ่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง
รถบัสหมายเลข 17 พาเราวิ่งปุเลง ๆ มาตามถนนสายเล็ก ๆ มีคนขึ้นลงรถอยู่ตลอดเวลาเหมือนรถเมล์บ้านเรา บนรถมีผมกับต่ายและฝรั่งหัวโล้นตัวเท่าเราสองคนรวมกันอีกคนหนึ่งที่เป็นชาวต่างชาติ นอกนั้นเป็นคนท้องถิ่นล้วน ๆ ก่อนรถออก กระเป๋ารถมาเก็บค่าโดยสารคนละห้าพันด็อง ตีเป็นเงินไทยแค่ 12-13 บาทเท่านั้น นับว่าถูกมากเพราะมีแอร์ด้วย ไม่ต้องง้อแท็กซี่หรือรถตู้ให้เปลืองสตางค์ แต่อาจจะไปถึงช้าสักหน่อยซึ่งเราก็ไม่ได้กังวลอะไรกับตรงนี้ บนรถมีคนหลากหลายอาชีพ นักศึกษาแต่งตัวเหมือนเด็กอาชีวะคือสวมเชิ้ตขาวแขนยาวพับแขนและนุ่งกางเกงยีนส์ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผมเดาว่าต้องเป็นเด็กอาชีวะเพราะเคยอ่านจากหนังสือหลายเล่มที่บอกถึงการแต่งกายของนักเรียนในระดับต่าง ๆ กัน ตลอดเส้นทางไม่เห็นคนแต่งตัวดีแบบหนุ่มสาวออฟฟิศบ้านเราเลยสักคน อย่างเก่งก็แค่สวมเชิ้ตแขนยาวสะอาดสะอ้านนุ่งกางเกงสแล็ครองเท้าหนัง ส่วนผู้หญิงก็คล้ายกันคือไม่มีใครนุ่งกระโปรงและเสื้อผ้าก็เรียบ ๆ เหมือนกันหมด
ผู้โดยสารบางคนไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว พอพนักงานลุกไปจะเก็บเขาก็ชูบัตรที่เคลือบด้วยพลาสติกใสขึ้นมาให้ดู บัตรนี้ท่าจะขลังมาก เล่นเอากระเป๋ารถชะงักแล้วทรุดลงนั่งตามเดิม เข้าใจว่าคงเป็นบัตรข้าราชการหรืออะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ตั๋วรายเดือน หันไปถามต่าย ๆ ก็ไม่รู้ จะถามฝรั่งร่างยักษ์ข้างหลังก็ดูหน้าตาน่ากลัวเกินไป เลยได้แต่นั่งเดาไปตามเรื่อง รถวิ่งผ่านบ้านเรือนที่ดูคล้ายกับชนบทเมืองไทย เหมือนถนนเส้นเชียงใหม่ ลำพูน ผิดแต่ไม่มีต้นยางขนาบสองข้างถนน รถยนต์ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกหรือรถที่ใช้ในการเกษตร จะหารถยนต์ส่วนตัวแบบถนนบ้านเรานั้นค่อนข้างบางตาเต็มที นาน ๆ ถึงจะเห็นผ่านมาสักคัน ที่เป็นเจ้าถนนตัวจริงก็คงต้องเป็นมอเตอร์ไซค์และจักรยาน ขับขี่กันฉวัดเฉวียนน่าเสียวไส้แล้วก็บีบแตรใส่กันอย่างกับคนโรคจิต ผู้โดยสารขึ้นลงตลอดเส้นทางแต่รถก็ไม่แน่น ถึงที่นั่งจะเต็มแต่ก็ยืนโหนกันได้ห่าง ๆ บัตรเบ่งยังมีให้เห็นตลอดทาง นายกระเป๋ารถดูท่าหงุดหงิดเหมือนกันแต่ก็ไม่เห็นบ่นว่าอะไรนอกจากทำปากขมุบขมิบนิด ๆ หน่อย ๆ
ผมบอกกระเป๋ารถว่าเราจะลงตรง โอลด์ควอเตอร์ ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าอันมีทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมเป็นศูนย์กลาง กระเป๋ารถฟังคำนี้ออกเพราะคงได้ยินบ่อยก็พยักหน้า ส่วนฝรั่งข้างหลังเราพยายามจะถามบ้างว่าถ้าถึงที่ทำการของสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ให้บอกเขาด้วย เพราะเขาจะไปคอนเฟิร์มตั๋วอะไรสักอย่าง กระเป๋าทำหน้าบอกไม่ถูก พวกเล่นพูดเสียยืดยาว ครั้นผมจะแปลให้ฟังก็จนปัญญา
รถเมล์วิ่งขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแดงและหยุดจอดตรงส่วนที่เรียกว่าตลาดดงซวน กระเป๋ารถสะกิดไหล่ผมบอกให้ลงตรงนี้ ก้าวแรกบนฮานอย บนท้องถนนริมฝั่งแม่น้ำแดง การจราจรบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มอเตอร์ไซค์ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคันวิ่งสวนกันขวักไขว่และหลบหลีกกันไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมกับต่ายยืนมองโลกใหม่ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกเป้ขึ้นสะพายหลังมุ่งหน้าสู่ย่านเมืองเก่าซึ่งห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร
...
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
23 มี.ค. 49 13:42:30
]