ปี Jian’an ที่ 16 211 AD
(1 กุมภาพันธ์ 211 – 19 กุมภาพันธ์ 212)
ในฤดูใบไม้ผลิ เดือนแรก โจผีบุตรคนโตโจโฉถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพสุภาพชนของราชสำนักในทุก ๆ กิจการพร้อมด้วยทีทำการของตัวเอง มีหน้าที่ช่วยเหลือเฉิงเซี่ยง
ในเดือนที่สาม โจโฉส่งจงฮิวขุนพลประจำเมืองหลวงไปโจมตีเตียวฬ่อ และแฮหัวเอี๋ยนและแม่ทัพคนอื่นถูกสั่งให้นำทัพจากโฮต๋องไปช่วยจงฮิว
โกหยิว ขุนนางผู้น้อยในฝ่ายคลังเสบียงแย้งว่า ถ้ากองทัพส่วนใหญ่ยกทัพไปตะวันตก ฮันซุยและม้าเท้งจะต้องสงสัยว่าเราจะโจมตีพวกเขา พวกเขาจะร่วมมือกันป้องกันตัวเอง ท่านควรจะยึดดินแดนทั้งสามนั้นก่อน เมื่อท่านยึดเมืองพวกนั้น ท่านก็สามารถระดมทัพโจมตีฮันต๋ง แต่โจโฉไม่เห็นด้วยกับเขา
เหล่าผู้นำในด่านล้วนแต่สงสัยในพฤติกรรมโจโฉ ม้าเฉียว หันซุย เฮาชวน เทงหงิน เอียวฉิว ลิขำ เตียวหัว เหลียงเหง เซงหงี ม้าอ้วน และลูกน้องของพวกเขา ทั้งสิบหัวเมืองต่างลุกฮือขึ้นก่อกบฏ กองทัพพวกเขามีคนกว่าหนึ่งแสนคน พวกเขาตั้งมั่นรักษาการณ์ที่ด่าน Tong
โจโฉส่งแม่ทัพผู้นำความสงบสู่ตะวันตก โจหยินมานำทัพเพื่อต่อต้านกบฏกลุ่มนี้ มีราชโองการสั่งให้ทหารทุกคนตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่ง ห้ามมาร่วมก่อสงครามนี้เด็ดขาด
โจผี แม่ทัพสุภาพชนแห่งราชสำนักในทุกกรณี ถูกทิ้งให้ครองเมือง Ye พร้อมด้วยแม่ทัพผู้แสดงความมั่นคง เทียหยกมาเป็นที่ปรึกษากองทัพ Xu Xuan แห่งกองเหลงมาเป็นแม่ทัพซ้ายจัดการกิจกองทัพ Guo Yuan จัดการเรื่องบริหารบ้านเมืองต่าง ๆ
ในฤดูใบไม้ร่วง เดือนที่เจ็ด โจโฉนำทัพโจมตีม้าเฉียวและพวก บรรดาที่ปรึกษาต่างพูดว่า ทหารฝ่ายด่านตะวันตกนั้นเชี่ยวชาญการใช้หอกยาว แม้ว่าเราจะฝึกทหารของเราอย่างหนัก ทำการคัดเลือกทหารอย่างดี เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะพวกเขาได้
ข้าเป็นคนเดียวที่วางแผนการโจมตีนี้ โจโฉกล่าว ไม่ใช่ศัตรู พวกโจรกบฏอาจจะเชี่ยวชาญการใช้หอกยาว แต่ข้าสามารถทำให้พวกมันไม่อาจใช้อาวุธที่ตัวเองถนัดได้ พวกท่านจงคอยดูเถิด
ในเดือนที่แปด โจโฉมาถึงด่าน Tong และตั้งขบวนทัพต่อสู้กับม้าเฉียวและพวกเพื่อดึงความสนใจ แล้วโจโฉก็ลอบส่งซิหลงและ จูเหลง นำทัพสี่พันคนข้ามทางแยก Puban ไปยึดหัวสะพานตะวันตกของแม่น้ำเหลือง
เดือนต่อมา โจโฉนำทัพจากด่าน Tong ไปทางเหนือเพื่อข้ามแม่น้ำเหลือง ทัพใหญ่ข้ามแม่น้ำก่อน และโจโฉรั้งอยู่อีกฝั่งกับทหารเสือสองสามร้อยคนทางฝั่งตอนใต้เพื่อระวังหลัง ม้าเฉียวนำทัพหนึ่งหมื่นคนเข้าโจมตี ลูกธนูพุ่งใส่ดั่งสายฝน แต่โจโฉก็ยังนั่งอยู่ในเกี้ยวไม่เคลื่อนไหว
เคาทูมาช่วยโจโฉทางเรือ บรรดาฝีพายล้วนแต่ถูกลูกธนูสังหาร แต่เคาทูใช้มือซ้ายถืออานม้าคอยคุ้มครองโจโฉ ส่วนมือขวาก็พายเรือไป ขุนพล เต๋งฮุย ปล่อยม้าและสัตว์เลี้ยงเพื่อรบกวนการไล่โจมตี เหล่าศัตรูเสียเวลากับการไล่ต้อนฝูงสัตว์ โจโฉจึงสามารถข้ามแม่น้ำไปได้
จาก Puban โจโฉข้ามแม่น้ำเหลืองไปทางตะวันตก แล้วจัดเตรียมทางเพื่อลงใต้ไปตามสายน้ำ ทำให้ม้าเฉียวและคนอื่น ๆ ถอยทัพเพื่อไปป้องกันปากแม่น้ำ Wei
โจโฉส่งทหารจำนวนหนึ่งไปแกล้งลวงว่าจะโจมตี ในขณะที่ลอบส่งทหารเดินเรือไปที่ Wei เพื่อสร้างสะพานจากแพ ในคืนนั้นโจโฉส่งทหารหน่วยหนึ่งไปสร้างขวากหนามป้องกันทางตอนใต้ของแม่น้ำ ม้าเฉียวและพวกเข้าโจมตีค่ายในตอนกลางคืน แต่ทหารที่ซุ่มอยู่ก็เข้าโจมตีพวกม้าเฉียวพ่ายแพ้ไป
ม้าเฉียวจึงนำทัพมาตั้งค่ายทาง Wei ตอนใต้และส่งคนนำสารไปเสนอว่าจะยกดินแดนตะวันออกของแม่น้ำเหลืองให้เพื่อแลกกับการสงบศึก แต่โจโฉไม่ยินยอม
ในเดือนที่เก้า โจโฉนำกองทัพทั้งหมดข้ามแม่น้ำ Wei ม้าเฉียวและพวกท้าสู้กับเขาหลายครั้ง แต่โจโฉไม่ยอมสู้ด้วย พวกเขายังเสนอที่ยกดินแดนให้และพร้อมที่จะส่งตัวประกันไปเมืองหลวงหลายครั้ง กาเซี่ยงจึงพูดว่า เราน่าจะแกล้งที่จะยอมรับข้อเสนอพวกเขา โจโฉถามเขาว่าทำไม
เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน กาเซี่ยงตอบ
ข้าเข้าใจแล้ว โจโฉพูดขึ้น
หันซุยขอเข้าพบโจโฉ ทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนในอดีต และตอนนี้พวกเขาขี่ม้ามาคุยกันครู่หนึ่ง ทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการศึกแต่อย่างไร เพียงพูดรำลึกถึงเรื่องราวอดีตในเมืองหลวง จับมือและหัวเราะยินดี เหล่าทหารจากตะวันตกและพวกชนเผ่าต่าง ๆ มาสังเกตพวกเขา โจโฉหัวเราะแล้วพูดกับพวกเขาว่า พวกเจ้าอยากเห็นท่านโจโฉหรือ เขาก็เหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหล่ะ เขาไม่ได้มีสี่ตาสองปากซะเมื่อไหร่ ก็แค่ฉลาดกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาแยกจากกัน ม้าเฉียวและพวกถามหันซุยว่า พวกท่านคุยเรื่องอะไรกัน
แค่รำลึกความหลังกันเท่านั้น หันซุยตอบ ทำให้ม้าเฉียวและคนอื่น ๆ สงสัยในตัวเขา
สองสามวันต่อมา โจโฉส่งจดหมายให้หันซุย ในจดหมายมีข้อความขีดฆ่าเปลี่ยนแปลงมากมายเหมือนกับว่าหันซุยเป็นคนแก้จดหมายนั้นเอง ทำให้ม้าเฉียวและพวกพากันสงสัยในตัวหันซุยมากขึ้น
แล้วโจโฉก็ยอมต่อสู้กับพวกเขา โจโฉส่งทหารเคลื่อนที่เร็วเข้าต่อสู้อย่างประปราย เมื่อพวกเขาสู้กันไประยะหนึ่ง โจโฉก็ให้ทหารม้าเสือของเขาเข้าโจมตีด้านซ้ายขวาของทัพศัตรูและทำให้พวกม้าเฉียวพ่ายแพ้ไป ทัพโจโฉสังหาร เซงหงีลิขำ และคนอื่น ๆ หันซุยและม้าเฉียวหนีไปมณฑลเลียงจิ๋ว เอียวฉิว หนี ไป อันติ้ง
ขุนนางของโจโฉถามเขาว่า เมื่อพวกเรามาถึงนั้น ศัตรูรักษาการณ์ด่าน Tong แต่พวกเขาไม่ระวังเส้นทางตอนเหนือของ Wei ท่านไม่ได้เดินทัพผ่านโฮต๋องเข้าโจมตี Pingyi แต่ท่านกลับหยุดอยู่ที่ด่านพักหนึ่งแล้วค่อยข้ามขึ้นเหนือ ทำไมถึงทำเช่นนั้น
ศัตรูเฝ้าระวังด่าน Tong โจโฉกล่าว ถ้าข้าผ่านไปโฮต๋องทันที พวกเขาจะต้องส่งทหารไประวังหลังเพื่อป้องกันการข้ามแม่น้ำของทัพเรา แล้วข้าจะไม่สามารถข้ามมาฝั่งตะวันตกได้
ข้าจึงเสริมทัพเผชิญหน้ากับศัตรูในด่าน ศัตรูทั้งหมดจึงต้องมาสนใจทางใต้ แล้วการป้องกันทางตะวันตกของแม่น้ำก็จะเบาบางลง แล้วใช้แม่ทัพแค่สองคน (ซิหลงและจูเหลง) ก็สามารถที่จะยึดที่นั่นได้
เมื่อพวกเขายึดที่นั่นได้แล้ว ข้าจึงนำทัพของข้าข้ามไปทางเหนือ มีเพียงทัพของสองหัวเมืองที่ป้องกันข้าศึกจากการขัดขวางการเคลื่อนทัพของข้าไปยังฝั่งแม่น้ำตะวันตก
แล้วข้าก็ใช้เกวียนบรรทุกสัมภาระมาเป็นรั้วเพื่อป้องกัน สร้างทางเดินทัพลงใต้ กลยุทธเพื่อให้มั่นใจว่าข้าจะไม่ถูกโจมตีและทำให้ทัพเราดูอ่อนแอในสายตาศัตรู
ข้าข้ามแม่น้ำ Wei และสร้างป้อมที่แข็งแรง และเมื่อศัตรูมาถึง ข้าก็ไม่ออกมาสู้รบ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทำให้พวกเขาไม่สร้างค่ายหรือป้อมเพื่อป้องกัน ทำเพียงเสนอยกดินแดนให้ ข้าใช้คำพูดสัญญาให้พวกเขาพอใจ นี่คือเหตุผลที่ข้าแกล้งทำเหมือนยอมรับข้อตกลงของเขาเพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจและไม่ทันระวัง แล้วเราก็รวมทัพเราเข้าโจมตี มันเหมือนสายฟ้าฟาดอย่างเร็วจนไม่มีเวลาเอามือมาป้องหู
แผนการสงครามนั้นมีมากมายไม่หมดสิ้น
ก่อนหน้านั้น เมื่อกลุ่มผู้นำในด่านแต่ละกลุ่มมาต่อสู้กับทัพโจโฉ สีหน้าโจโฉยินดียิ่งนัก เหล่าขูนนางจึงถามเขา โจโฉอธิบายว่า ดินแดนภายในด่านนั้นกว้างใหญ่นัก ถ้ากลุ่มโจรกบฏแต่ละคนก่อกบฏขึ้นตามหัวเมืองและทำให้เราต้องโจมตีพวกเขา คงต้องใช้เวลามากกว่าสองปีถึงจะปราบพวกเขาได้ทั้งหมด เวลานี้พวกเขาจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน แม้ว่าทัพของพวกเขาจะอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่มีใครฟังคำสั่งจากใคร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีที่ผู้นำและสามารถจัดการได้ในคราวเดียว นี่ทำให้การศึกครั้งนี้ง่ายขึ้น ข้าเลยรู้สึกยินดี
ในฤดูหนาว เดือนที่สิบ โจโฉขึ้นเหนือจากฉางอันไปโจมตี เอียวฉิว เขาล้อมเมือง อันติ้ง แล้ว เอียวฉิว ก็ยอมแพ้ โจโฉมอบตำแหน่งให้เขาตามเดิมและให้เขาอยู่คอยดูแลคนของเขา
ในเดือนที่สิบสอง โจโฉกลับจาก อันติ้ง เขาทิ้งแฮหัวเอี๋ยนรักษาค่ายที่ ฉางอันและตั้งที่ปรึกษา เตียวเจ ให้ดูแล เกงเตียว เตียวเจ รับคนที่อพยพมาและเลี้ยงดูอย่างดี บุรณะเมือง ประชาชนจึงรักเขา
เมื่อหันซุยและม้าเฉียวก่อกบฏนั้น บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ของฮองหลงและ Pingyi ได้เข้าร่วมกับพวกเขา มีเพียงชาวเมืองโฮต๋องที่ยังภักดี เมื่อโจโฉต่อสู้กับม้าเฉียวและพวกที่ริมฝั่งแม่น้ำ Wei เสบียงอาหารถูกลำเลียงจากโฮต๋อง และหลังจากม้าเฉียวและพวกพ่ายแพ้ ยังมีเสบียงอาหารเหลือมากกว่าสองแสนกระสอบ โจโฉจึงเพิ่มเบี้ยหวัดให้ Du Ji เจ้าเมืองโฮต๋องเป็นสองพัน Shi (ซึ่งเทียบเท่ากับเสนาบดีทั้งเก้า)
หวดเจ้งเป็นขุนพลที่ปรึกษากองทัพของเล่าเจี้ยง แต่เล่าเจี้ยงกลับไม่เคยสนใจสิ่งที่เขาแนะนำเลย แล้วเขาเองยังถูกคนของหวดเจ้งที่อพยพมาสู่จ๊ก ด้วยกันเกลียดชัง หวดเจี้ยงเสียกำลังใจว่าเขาไม่สามารถเชื่อมั่นในความทะเยอทะยานของเล่าเจี้ยง
เตียวสง นายทหารคนสนิทของมณฑล เอ๊กจิ๋ว เป็นเพื่อนสนิทกับหวดเจ้ง และเชื่อมั่นในความสามารถของเขา และเขายังเชื่อว่าเล่าเจี้ยงเองก็ไม่ชื่นชมตัวเขา เขาจึงไม่พอใจเล่าเจี้ยงอยู่เงียบ ๆ
เตียวสงแนะนำเล่าเจี้ยงเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ เล่าเจี้ยงถามว่า ข้าควรส่งใครไปเป็นฑูตดี แล้วเตียวสงก็แนะนำหวดเจ้ง เล่าเจี้ยงจึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้หวดเจ้ง แต่หวดเจ้งขออนุญาตปฏิเสธหน้าที่นี้ ดังนั้นเล่าเจี้ยงจึงเชื่อว่าเขาเหมาะสมที่จะไปเพราะว่าเขาไม่เต็มใจไปแต่เพราะต้องทำตามคำสั่ง
เมื่อหวดเจ้งกลับมา เขาบอกกับเตียวสงว่า เล่าปี่เป็นคนที่มีความคิดใหญ่โตมากมาย ทั้งสองจึงวางแผนอย่างลับ ๆ เพื่อเชิญเล่าปี่มาครองมณฑลนี้
จากคุณ :
kazama
- [
24 มี.ค. 49 19:28:48
]