CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    จะเด็ด 2549

    ผมไม่เคยคิดมาก่อนหรอกว่าต้องไปสมัครงานเหมือนคนอื่น หลังจากที่ผมยืนหยัดในความฝันของตัวเองมาหนึ่งปีเต็ม การเป็นนักเขียนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ มันซับซ้อนและซ่อนเงื่อนงำทางสังคมเอาไว้มากมาย ผมเริ่มต้นเขียนหนังสือหลังจากเรียนจบปริญญาตรี เพราะความฝันนักอยากเขียนนั้นซึมลึกสู่หับห้องแห่งใจตั้งแต่เรียนปริญญา


    เมื่อเพื่อนทุกคนถามว่าผมจะไปทำอะไร ผมก็บอกเขาออกไปตามตรง --ข้าจะไปเป็นนักเขียน เพื่อนหันมาสบตาผมอย่างห่วงใยแล้วเขาก็พูดว่า –เอ็งต้องหมั่นรดน้ำให้ลำไส้อย่าให้ไส้แห้งตายเสียก่อนล่ะ

    ผมมันเหมือนอัศวินคะนองสงคราม ไม่กลัวทั้งนั้นว่าสงครามจะเต็มไปด้วยลิ่มเลือดที่สาดกระเซ็น หรือหยาดน้ำตาที่ไหลนองทั่วพื้น ขอให้ผมได้กวัดแกว่งดาบไปในดงข้าศึกเท่านั้นผมก็พอใจแล้ว


    แล้วผมก็ได้ทะยานไปในสงครามแห่งวรรณกรรม ด้วยการออกมาเช่าห้องพักราคาพอเหมาะแถวชานเมืองอยู่กับสิ่งที่ตนเองรักและเริ่มต้นเขียนอย่างจริงจัง เรื่องสั้นหลายเรื่องโบยบินออกจากห้องพักของผมไปสู่โต๊ะบรรณาธิการของนิตยสารต่างๆ และหลายเรื่องอีกเช่นกันที่จบชีวิตลงที่ไหนสักแห่ง


    สงครามบนหน้ากระดาษรุนแรงกว่าที่ผมคิดเอาไว้ การต่อสู้และรบราฆ่าฟันโหดร้ายพอๆ กันกับสงครามที่ตะวันออกกลางหรือที่ไหนๆ ก็ตามในโลกใบนี้ ต่างแต่ว่าเราฆ่ากันและกันด้วยความคิด หากมีความคิดและมุมมอง หรือกลวิธีที่ดีกว่า เราจะได้ชัยชนะไปและบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมพ่ายแพ้ในสงครามแห่งวรรณกรรม  

    วันเวลาที่เหลืออยู่คือการรอคอย ผมไม่มีอาชีพอื่นนอกจากเขียนและรอคอย  บ่อยครั้งที่ผมเปิดตามหน้านิตยสารแล้วเจอผลงานของตัวเอง อย่างเก่งก็เดือนละเรื่องหรือไม่ก็หลายเดือนต่อหนึ่งเรื่องมันมักจะเป็นอย่างหลังมากกว่า


    ผมเริ่มอดโซ ผมยาว หนวดเคราเริ่มงอกแทงผิวเนื้อขึ้นมาดำเป็นปื้น เก็บตัวในห้องไม่ต่างผีดิบที่กลัวแสงสว่างจากโลกภายนอก ผมกระซิบบอกตัวเองเสมอว่านี่คือสิ่งที่เอ็งฝันไม่ใช่หรือ เอ็งต้องเรียนรู้และยอมรับในวิถีทางแห่งเกียรติยศนี้ ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายดายโดยเฉพาะค่าต้นฉบับ…

    ผมเฝ้ารอค่าเรื่องจากนิตยสารบางเล่มเพื่อมาหล่อเลี้ยงลมหายใจและกระเพาะที่บีบรัดน้ำเลี้ยงรุนแรง แต่แล้วความหวังก็สลายหายไปผมไม่ได้รับค่าเรื่อง ตั้งใจคิดจะโทรไปถามแต่ก็ไม่กล้าพอ


    แล้ววันหนึ่งผมมีโอกาสไปเจอกับบรรณาธิการที่ผมส่งเรื่องไปลงในวงสุรา ผมตั้งใจจะเอ่ยปากถามค่าเรื่องอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่สุด แต่เมื่อเห็นท่านยิ้มให้ผมด้วยความอารมณ์ดีพร้อมออกปากชมงานที่ผมเขียนมาลง ว่ามีการพัฒนามากขึ้นทั้งรูปแบบและเนื้อหา ---อ่อนี่เอง….เขียนดีขึ้นกว่าก่อนเยอะ มาๆ นั่งก่อนๆ  แล้วท่านก็เชื้อเชิญให้ผมนั่งพร้อมเล่าเรื่องวงการวรรณกรรม

    หลังจากที่ผมฟังเรื่องของท่านจบลง พบว่าความหนักใจของท่านเยอะกว่าผมหลายเท่าตัวนักยิ่งสูงยิ่งหนาวมันเป็นเช่นนี้เอง มีแรงกดดันจากภายในและภายนอกปะทะกันไม่เว้นแต่ละวัน


    หากผมเอ่ยปากถามท่านเรื่องค่าต้นฉบับผมคงไม่ใช่ชายชาตินักวรรณกรรมในวงสุรา ผมรู้สึกเห็นใจท่านและคิดว่าการได้ลงตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารก็เป็นเกียรติมากแล้ว เอาเถอะอดทนอีกนิดชีวิตจะยืนยาวผมบอกตัวเองเช่นนั้น


    การเงินผมไม่ดีนัก ความเป็นนักเขียนอิสระไม่มีสังกัดค่ายก็ไม่ต่างนักมวยงานวัดโอกาสรุ่งและร่วงมีพอๆ กัน ผมมีเงินฝากเหลือติดบัญชีในธนาคาร 79 บาท เหตุที่มันเหลือเพราะไม่สามารถกดออกมาใช้ได้ หากตู้เอทีเอ็มอนุญาตและเห็นใจในวิถีชีวิตของผมคงไม่ดื้อรั้นต่อเงินจำนวนนี้ มันโหดร้ายเกินไปใช่ไหมในวิถีแห่งนักอยากเขียนคนหนึ่ง

    เมื่อผมท้อก็จะกลับมาอ่านหนังสือ อ่านและอ่านเพื่อให้ถ้อยคำของนักเขียนทั้งหลายทั้งปวงปลอบใจผมไม่ให้ท้อถอยต่อสิ่งที่ฝันและมันเป็นเหมือนคำปลอบประโลมที่วิเศษสุดสำหรับการยืนหยัดในสิ่งที่เรารัก


    ผมแปลกแยกจากเพื่อนฝูงมากขึ้น โดดเดี่ยวและเดียวดาย เงียบเหงา เศร้าสั่นในคืนวันอันหนาวเหน็บเพียงลำพัง มองไม่เห็นอนาคตของตัวเองซึ่งมันอาจเต็มไปด้วยกลุ่มควันหรือม่านหมอกแห่งความวิปโยคหรือบางทีมันอาจเป็นม่านหมอกที่กลบซ่อนบางสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเอาไว้ให้ผมเข้าไปค้นพบ

    บางคืนนอนมือก่ายหน้าผากไม่กล้าแม้จะไปงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จทางวรรณกรรมกับเพื่อนบางคนที่มีชื่อเสียงว่าเป็นคลื่นสึนามิลูกหลังที่มาแรงในขณะนี้

    ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่เพราะผมไม่มีเงิน และจะให้ไปกินเหล้าฟรีนั้นไม่ใช่นิสัยของผมเอาเสียเลย อย่างน้อยผมต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของงานเลี้ยง หากผมเป็นส่วนเกินทางที่ดีนอนกินน้ำเปล่าที่ห้องจะดีกว่า


    ปลายฝนต้นหนาวปี 2548 ดูเหมือนผมมีความหวังมากขึ้นเมื่อมีคนยื่นข้อเสนอให้ผมเขียนนิยายยาวลงในนิตยสารลูกทุ่งฉบับหนึ่ง โดยคิดค่าต้นฉบับให้เป็นหน้า หากเขียนได้มากและมีคุณภาพที่ดีพอผมจะมีเงินเก็บเป็นก้อน แค่คิดบรรดาใบห้าร้อย แบงค์พันต่างหลุดร่วงออกมาจากเพดานมันปลิวว่อนร่อนไปทั่วห้อง

    ผมฝันเห็นตัวเองแบกเป้เดินทางไปทั่วประเทศ ซุ่มเขียนงานดีๆ ตามแม่น้ำและหุบเขา หรือไม่ก็ชายหาดที่ไหนสักแห่ง กลางคืนนอนดูดาวฟังเสียงเรไรขับกล่อมดมดอมกลิ่นหอมของดอกดิน

    ตอนเช้าเท้าก็ก้าวต่อไปเรื่อยๆ นั่นคือความฝันสีขาวหากมีเงินสักก้อนและตอนนี้โอกาสนั้นก็ลอยมาถึงในห้องแล้ว ผมหยุดเขียนเรื่องสั้นไว้สักระยะหนึ่ง ปลอบใจตัวเองว่าแม้มันจะไม่ใช่นวนิยายที่ยิ่งใหญ่นักแต่ก็ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อสืบต่อความฝันที่เหลืออยู่

    ผมเริ่มหันมาเขียนนิยายบู๊ หลังจากที่ตัวละครของผมเคยแสวงหาสัจนิยามในสังคมเพื่อสะท้อนและตีแผ่ปัญหาอย่างเอาเป็นเอาตาย  ตัวละครผมเปลี่ยนไปกลายเป็นมาเฟียใช้ปืนคล่องยิงแม้กระทั่งหมาขวางทาง ไม่เข้าใจแม้หยาดน้ำตาบนแววตาของคนทุกข์ยาก  

    ผมไม่รอช้าเมื่อเขียนได้หลายตอนแล้วรีบดิ่งตรงเข้าสำนักพิมพ์ทันที แต่เรื่องของผมก็ไม่ได้ผ่านเสียหนเดียว ผมต้องปรับแก้เนื้อเรื่องบางส่วนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของเรื่องก็ว่าได้ ท่านว่า ---ต้องบู๊แล้วค่อยตลก ไม่ใช่ตลกแล้วค่อยบู๊   หลังจากวันที่ผมได้รับคำวิจารณ์กลับมาถึงห้อง เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวในหน้ากระดาษของผม พระเอกเริ่มยิงแม้กระทั่งเงาของตัวเอง ฝ่าด่านโจรเกือบร้อย แต่ลูกกระสุนไม่เคยโดนแม้ผิวหนังกำพร้า

    บางทีผมก็หัวเราะให้กับพระเอกของตัวเองที่เขาบู๊ได้จี้เส้นดี แต่บางทีผมก็อดสงสารเขาไม่ได้ ที่ไม่ได้ลิ้มลองความหมายที่แท้จริงของชีวิต ผมไม่กล้าให้เขามีจิตสำนึกมากนัก ผมกลัวว่าเขาจะร้องถามในยามที่ผมนอนไม่หลับว่า ทำไมต้องให้เขาฆ่าคนมากมายขนาดนั้น เพื่ออะไรกัน ..

    ผมอยากตอบตัวละครของตัวเองว่าเสียงปืนของเขาจะทำให้ผมมีชีวิตรอด ความกระหายสงครามของเขาจะทำให้ผมมีข้าวกิน แล้วคืนนั้นเสียงปืนของผมก็ดังขึ้นอีกหลายบรรทัด

    ผมเขียนนิยายอยู่ 4 เดือนเต็มๆ เขียนเกือบทุกวัน บางวันตื่นขึ้นมาเขียนจนเที่ยงและบางคืนก็เขียนอยู่จนดึกดื่น เมื่อล้าสมองก็จิบกาแฟกรุ่นหอมสักแก้วและเริ่มเขียนตอนต่อไป  ผมใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่แม่ค้าสาวขายส้มตำหน้าปากซอยจะได้เห็นโฉมหน้าที่ซีดเซียวของผม เป็นสี่เดือนที่ผมต้องต่อสู้กับความฝันและความหวัง

    เขียนจนกระทั่งไม่เหลือเงินสักบาทเดียว อ่อเหลืออยู่ในบัญชี 79 บาทที่คอยยิ้มเยาะเมื่อรู้ว่าผมไม่มีทางที่จะเอามันออกมาใช้ได้ ผมกลายเป็นคนมีหนี้สินจากการหยิบยืมเพื่อต่อชีวิตไปอีกวัน บอกกับเพื่อนรักว่า เอ่อเดี๋ยวข้าได้ค่าเรื่องเมื่อไหร่จ่ายแน่ และเมื่อเขามาทวงเงิน

    ผมก็ตอบเขาไปว่ารออีกนิดกำลังพิจารณาอยู่ เอ็งได้แน่น่า ดีไม่ดีข้าอาจเลี้ยงเหล้าในความใจบุญของเอ็งอีก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนจะรู้สึกอย่างไร เขาอาจผิดหวังในความเป็นมิตรภาพที่มีแต่หยิบยืมฝ่ายเดียวอย่างผม และเขาอยากขากถุยความเป็นนักเขียนของผมก็เป็นได้

    ผมเหมือนนักเดินทางไกลที่ขาดเสบียงและน้ำดื่ม พอขอเขาดื่มสักครั้ง ครั้งต่อไปก็ไม่กล้าที่จะขออีก ด้วยหัวใจที่มุ่งหวังว่าสักวันผมจะพบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าจนได้ สักวันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    ก่อนที่ผมกำลังจะตายดูเหมือนโลกยังเอ็นดูผมบ้าง เรื่องสั้นที่ส่งไปนั้นเกือบปีของนิตยสารที่มีด่านหินที่สุดของยุทธจักรได้ลงตีพิมพ์ ผมยิ้มอย่างปลื้มปีติต่อความสำเร็จที่ตัวเองเฝ้าส่งเรื่องสั้นไปยังนิตยสารฉบับนี้ติดต่อกันยาวนานแต่ไม่เคยได้ลง

    อยู่ๆ ความเพียรพยายามของผมก็ส่งผล หากไม่ท้อและมีความมุ่งมั่นพอไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไรล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ด้วยกันทั้งนั้น มันทำให้ผมยืดเวลาแห่งความตายออกไปได้อีกสักระยะหนึ่ง

    อย่างน้อยผมก็ยังไม่สมควรตายตอนที่พระเอกในนิยายผมกำลังตกมันและระเริงปืน ในหัวสมองของผมอื้ออึงด้วยเสียงปืน!และกลิ่นเขม่าควัน

    จากคุณ : เดอะแหลม - [ 3 เม.ย. 49 16:14:31 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป