 |
เวียดนาม...เพราะฝันถึง จึงไปหา (ตอนที่ 6)
เตร็ดเตร่ในฮานอย อันโตนิโอ
ย่านเมืองเก่าของฮานอยบริเวณทางตอนเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมเป็นแหล่งค้าขาย เรียกกันว่าย่าน ถนน 36 สาย คือมีถนนตัดไขว้กันไปมาเมื่อก่อนคงนับได้ 36 สายแต่ภายหลังเพิ่มขึ้นมาอีกไม่รู้เป็นเท่าไรแล้ว ถนนดังกล่าวเป็นถนนเล็ก ๆ รถวิ่งได้ทางเดียว รถใหญ่ ๆ อย่างรถบัสหรือรถบรรทุกเข้าไม่ได้โดยเด็ดขาด ขนาดรถตู้หรือแท็กซี่ผ่านเข้ามาแต่ละคันยังเรียกได้ว่าทุลักทุเล การจราจรไม่ได้ติดขัดอะไร แต่ดูผิวเผินเหมือนบ้าคลั่งด้วยเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ที่บีบกันลั่นอย่างกับคนไม่มีมารยาท ในบ้านเมืองเราหากใครบีบแตรกันอย่างนี้คงเข้าขั้นวิกฤต ต้องมีแจกกล้วยอ้อยผลไม้หรือลงมาปะทะคารมแลกหมัดกันนัวอย่างที่เห็นกันได้ออกบ่อย แต่ที่นี่แปลก ใครต่อใครล้วนบีบ ไม่เห็นมีอะไรขวางทางก็บีบ ขวางทางนิดหน่อยก็บีบ จักรยานเขาขับมาดี ๆ ก็ไปบีบไล่เสียอย่างนั้น ทว่าไม่มีใครออกอาการบันดาลโทสะ รู้ว่ามีรถบีบแตรไล่ก็แค่หันมาดูหน่อยแล้วเบี่ยงหนีให้ทาง เจ้าคนบีบก็ไม่ได้ทำท่าออกรำคาญแต่อย่างใด แซงไปด้วยใบหน้าเฉยเมยคล้ายกับว่าเป็นเรื่องราวแสนธรรมดาสามัญที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วบนถนนทุกสายของเวียดนาม
ผมกับต่ายสะพายเป้หาโรงแรมจนมาได้ที่ถนนฮาง บั๊ก ชายหนุ่มร่างผอมสูงแต่งตัวดีหวีผมเรียบแปล้เข้ามาแนะนำตัวว่าชื่อจุม และเชื้อเชิญให้ขึ้นไปดูห้องพัก ในเวลานั้นเราเหนื่อยมาก เดินฝ่าการจราจรอันบ้าคลั่ง ทั้งหนวกหูและเหม็นควันรถตลบอบอวล พอได้เห็นห้องสะอาด ๆ มีเตียงนอนแยกสองเตียงกับห้องน้ำที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นก็แทบจะตกลงในทันที จุมเรียกราคาคืนละ 10 เหรียญ เรามองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา ราคานี้ใช่ว่าจะแพง แต่ก็ไม่ถูกเพราะสภาพของโรงแรมนั้นเก่า เป็นบ้านตึกแถวที่สร้างมานานไม่รู้กี่สิบปีแล้ว ต่ายติเรื่องแอร์ว่าเสียงดังและเก่าเกินไป จุมพยายามอธิบายว่าแอร์ของเขาตอนเปิดเครื่องแรก ๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เดี๋ยวพอสักพักจะเงียบแล้วก็เย็นไปเอง อีกอย่างอากาศในฮานอยไม่ร้อน ยิ่งกลางคืนแทบไม่ต้องเปิดแอร์ด้วยซ้ำ เราต่อรองราคาลงมาเหลือแปดเหรียญ จุมทำเป็นคิดแล้วค่อยพยักหน้าตกลงตามสไตล์พ่อค้าทั่วไปทำกันแถมยังเป็นพ่อค้าชนิดเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเพราะเวลาเช็คเอาท์เขายื่นบิลที่มีจำนวนเงินบวกภาษีอีก 10 เปอร์เซนต์ตามมาด้วย
โรงแรมในเวียดนามแทบทุกแห่งต่อรองราคาได้ ผมเองไปไหนในเมืองไทยไม่เคยต่อค่าห้องพัก แต่ไปเวียดนามครั้งนี้มีงบประมาณจำกัดจึงลองต่อดู เมื่อปรากฏว่าได้คราวต่อไปเลยทำเป็นนิสัย ผมว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเสียด้วยซ้ำเพราะชาวเวียดนามนั้น กับนักท่องเที่ยวแล้วเขาไม่เคยบอกราคาจริงกับเราก่อนสักครั้งเดียว ผมเคยถามราคาน้ำดื่มขวดเล็ก ราคาในเมืองไทยหากเป็นร้านค้าปลีกจะขายกัน 6-8 บาท แต่แม่ค้าชาวเวียดจะคิดชาวต่างชาติหนึ่งเหรียญ! ผมรีบวางน้ำขวดนั้นลงตามเดิมแล้วเดินไปถามอีกร้านหนึ่ง หญิงสาวเจ้าของร้านหน้าตาซื่อ ๆ หยิบขวดน้ำส่งให้ผมแล้วพูดว่า นาม แปลว่าห้า หมายถึงห้าพันด็อง ก็เท่ากับประมาณสิบสองบาท ภายหลังไปเจอถูกกว่านี้ในซูเปอร์มาร์เก็ต เขาขายกันอยู่ที่ขวดละสามพันด็องเท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ร้านค้าปลีกจะขายกันในราคาห้าพันด็อง ต่อรองอย่างไรก็ไม่ได้แล้ว ส่วนเจ้าที่โมเมขายขวดละหนึ่งเหรียญก็ยังมีให้เห็นเป็นประจำ นักท่องเที่ยวฝรั่งที่ไม่ใช่แบ็คแพ็กเกอร์มักเสียทีพวกนี้ ยอมควักจ่ายไม่คิดอะไร ครั้งหนึ่งต่ายเข้าไปบอกกับฝรั่งคนที่กำลังจะซื้อน้ำราคาหนึ่งเหรียญ เขาทำหน้าเหรอหราแล้วรีบส่งขวดน้ำคืนแม่ค้า บ่นอุบอิบเหมือนไม่พอใจแต่ก็หันมายิ้มให้เรา ทว่าเราต้องรีบเดินหนีไปจากตรงนั้นเพราะสายตาของแม่ค้าดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเราเท่าไรนัก
...
ภาพนี้ถ่ายจากในห้องพัก แต่ไม่ใช่ห้องพักที่ไปครั้งแรก มองไปเห็นแต่ฟ้าหม่น ๆ ฝนปรอยลงมาช่วงเช้า อากาศหนาวจัด หายใจออกมาเป็นควัน
จากคุณ :
อันโตนิโอ
- [
3 เม.ย. 49 23:23:04
]
|
|
|
|
|
|