CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เรื่องสั้นขนาดย้าว...ยาว

    “รักอลวน...หัวใจอลเวง”
    ตอนที่ ๑

                  รถยนต์คันสวยที่รักเดียวขับมาส่งเพื่อนโลดแล่นอย่างสง่างามอยู่บนถนนโล่งในเย็นวันอาทิตย์ได้พักใหญ่ แต่เพราะความอ่อนเพลียทำให้เธอเผลอหลับในไปเสี้ยวนาทีหนึ่ง แต่แล้วเสี้ยวนาทีนั้นเองที่รถของเธอดันไปชนโครมเข้ากับอะไรบางสิ่ง เมื่อได้สติจึงพบว่ารถของเธอไปจูบท้ายกับรถโฟร์วิลด์เข้าให้แล้ว

                  ชายร่างสูงในชุดซาฟารีลงจากรถและเดินตรงมาที่เธอด้วยท่าทางขึงขัง ยิ่งเข้ามาใกล้รักเดียวก็ยิ่งพบว่าเขาสูงกว่าเธอเกือบฟุต

                  หญิงสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงพลิ้วกับเสื้อเข้ารูปสีสดใสยืนตัวตรงประสานมือไว้ข้างหน้าอย่างสำนึกผิด ปราบศึกมองเธอเพียงปราดเดียวก็เดาได้ทันทีว่า เธอคงเป็นพวกลูกเศรษฐีนิสัยเสียจนชนิดที่ว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทีเดียว

    “นี่คุณขับรถยังไง มีใบขับขี่ไหมเนี่ย” เจ้าของรถโฟร์วิลด์สีน้ำเงินเข้มเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง
    “ขอโทษจริง ๆ ค่ะ...จะโทรเรียกประกันให้เดี๋ยวนี้ล่ะ” รักเดียวบอกนุ่มนวลพลางกดโทรศัพท์เพื่อเรียกประกัน แต่อีกฝ่ายยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
    “อะไรก็เรียกประกัน พวกคุณก็ดีแต่อวดร่ำอวดรวย ขับรถหรูกร่างถนน ไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะได้ใบขับขี่เลยสักนิด” สีหน้าและท่าทีเอาเรื่องของเขาเกือบจะทำให้หญิงสาวสะกดใจไว้ไม่อยู่ นี่ถ้าเขาเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เธอคงต่อยหน้าไปแล้ว
    “นี่คุณ...ฉันขอโทษไปแล้วนะ และฉันก็จะรับผิดชอบโดยการโทรเรียกประกันให้นี่ไงล่ะ จะให้ทำยังไงอีกไม่ทราบ” เธอมองหน้าเขาอย่างท้าทาย
    “ผมมีธุระต้องรีบไปด้วย จะมัวมายืนรอประกันไม่ได้หรอกไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่มีเวลาว่างขับรถชนชาวบ้านเล่นอย่างคุณ”
    “อะไรกันคุณ ขอโทษก็แล้ว พูดดีด้วยก็แล้ว ฉันไม่ใช่เทวดานะที่จะได้เสกให้รถคุณหายบุบได้ทันทีน่ะ” รักเดียวเสียงเข้มขึ้นบ้าง แต่เมื่อเห็นแววตาคมกริบของเขาเธอก็ต้องลดระดับเสียงลง
    “แล้วจะเอายังไงล่ะ”
    “เอาเบอร์โทรคุณมาแล้วผมจะโทรไปตกลงเรื่องค่าเสียหายเอง” เขาตัดบทดุดันและรักเดียวก็รีบควานหานามบัตรยื่นให้เขาอย่างเหลืออด
    “คุณโทรมาตามเบอร์นี้ก็แล้วกันนะ...ฉันไปได้หรือยัง” เธอถามกลัว ๆ เพราะยิ่งอยู่ใกล้เขานานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเธอเองตัวเล็กลง
    “โอเค...ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลานานนักหรอก” ว่าแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไปโดยดี

    กว่าที่รักเดียวจะขับรถพาตัวเองกลับถึงบ้านก็เกือบค่ำ อาบน้ำเสร็จหัวถึงหมอนก็หลับไปอย่างไม่สนใจใคร ขณะที่ปราบศึกยังโมโหอยู่ไม่หาย วันนี้เขาช่างโชคร้ายซ้ำซ้อนเสียจริงเพราะนอกจากจะไม่ได้เจอหน้าพลอยสีและต้องกินมื้อเที่ยงเพียงลำพังอย่างเหงาหงอยแล้วยังต้องมาเจอลูกสาวเศรษฐีขี้โอ่ขับรถชนท้ายเสียอีก

    กลับจากเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว รักเดียวกับพลอยสีก็ถึงเวลาแยกย้ายกันไปลุยงานหนักต่อ รักเดียวเป็นคอลัมนิสต์วารสารการท่องเที่ยว ส่วนพลอยสีเป็นคุณครูของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ที่สองคนรู้จักกันได้ก็เพราะครั้งแรก ๆ ที่รักเดียวเริ่มต้นงานเขียนคอลัมน์การท่องเที่ยว พลอยสีเป็นเจ้าของสถานที่ซึ่งก็คือโรงเรียนอนุบาลสุดหรรษาที่แวดล้อมไปด้วยเครื่องเล่นแสนสนุก ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นในโรงเรียนอนุบาลอื่นนัก

    เช้าวันใหม่ที่อากาศเย็นสบายสมที่เป็นต้นฤดูหนาว ปราบศึกแวะมารับพลอยสีด้วยท่าทางตื่นเต้นเพราะมีความในใจบางอย่างจะบอกเธอ

    “สวัสดีจ๊ะ” พลอยสีเป็นฝ่ายทักขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งรออยู่นานแล้ว
    “สวัสดีครับ” เขาตอบเก้อเขินจนพลอยสีแอบอมยิ้มอยู่ในใจ
    “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูคุณแปลก ๆ นะวันนี้...หรือว่าอากาศร้อน” เธอถามขำ ๆ เมื่อเห็นอาการเลิกลั่กของเขา ขณะที่เขาเองก็ยังหาจังหวะเหมาะบอกรักเธอไม่ได้สักที

    ตลอดหลายปีที่พลอยสีรู้จักกับปราบศึก เธอพบว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษมาก ๆ  เธอเคยเล่าให้รักเดียวฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าปราบศึกเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษสุด ๆ เพราะตั้งแต่คบกันจนทุกวันนี้เขาไม่เคยล่วงเกินอะไรเธอเลยสักนิด แม้แค่จูงมือข้ามถนนยังเขินแล้วเขินอีก สมแล้วที่รักเดียวชอบล้ออยู่เสมอว่าบางทีปราบศึกอาจเป็นเกย์แกล้งมาจีบพลอยสีเพื่อสร้างภาพ พอคิดทีไรก็อดขำขึ้นมาไม่ได้

    “อมยิ้มอะไรฮึ” ปราบศึกถามเก้อ ๆ แก้มยิ่งแดงเรื่อ
    “ก็นึกขำที่เผลอคิดเล่น ๆ ว่าปราบเป็นเกย์นะสิคะ” คนฟังถึงกับสะดุดกึกแทบบังคับพวงมาลัยรถไว้ให้ตรงทางไม่ได้
    “อะไรกันพลอย คุณเอาที่ไหนมาพูด” เขาหน้าซีดด้วยความตระหนก ราวกับกลัวว่าเธอจะเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ
    “ก็ยายรัก เพื่อนสนิทของพลอยบอกว่าผู้ชาย สมัยนี้มักเป็นเกย์เก๊กแมนมาจีบผู้หญิงเพื่อกลบเกลื่อนนะสิ” พลอยสีพูดโดยยกเอาชื่อของรักเดียวมาอ้าง ขณะที่ปราบศึกนึกโกรธเพื่อนตัวแสบของพลอยสีที่มีความคิดแผลง ๆ จนเขาหมดอารมณ์โรแมนติกและไม่มีโอกาสบอกรักพลอยสีอีกตามเคย

    ส่วนเช้าของวันสดใสที่บ้านสวนหลังเล็กของวจีซึ่งมีเพียงเขากับรักเดียวก็เริ่มต้นด้วยความวุ่นวาย เพราะทันทีที่วจีเห็นรอยบุบของรถน้องสาว เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าคราวนี้ต้องเข้มงวดพฤติกรรมการใช้รถของเธอบ้างแล้ว
    “ไม่เอาหรอกค่ะพี่จี...รักไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะที่จะให้พี่คอยรับส่งทุกวันน่ะ” รักเดียวรีบปฏิเสธทันทีที่พี่ชายบอกว่าจะยึดรถคืน
    “ยังจะมีหน้ามาต่อรองอีก รู้ไหมเดือนนี้เราเอารถไปชนกี่หนแล้ว...ลากเข้าศูนย์บ่อยจนช่างเบื่อหน้าแล้วนะ”
    “โธ่พี่จีล่ะก็...อุบัติเหตุนิด ๆ หน่อย ๆ ทั้งนั้นล่ะน่า”
    “ไอ้ที่ไฟหน้าแตก กันชนบุบ ประตูเป็น สีถลอก...แล้วก็อีกสารพัดความเสียหายนี่นะเหรอ ที่เราบอกว่านิดหน่อย” เขาพูดเสียงเข้มแล้วน้องสาวก็ก้มหน้างุดแสร้งทำท่าสำนึกผิด
    “เอาเป็นว่าตลอดอาทิตย์นี้ พี่จะเป็นคนคอยรับส่งเราเอง”
    “โธ่...พี่จี” เธอได้แต่อ้าปากค้างเถียงอะไรไม่ออก เพราะไม่มีเหตุผลอื่นใดมาโต้แย้งเขาได้เลย

    จึงกลายเป็นว่ารักเดียวต้องกลับไปเป็นเด็กมัธยมที่ต้องมีผู้ปกครองคอยรับส่งโรงเรียน แต่ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน ที่นี่เป็นสำนักงานวารสารการท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองไทยต่างหาก

    “แล้วตอนเย็นพี่จะมารับนะ อย่าขึ้นแท็กซี่กลับเองล่ะ มันอันตราย” วจียื่นคำขาด
    “เจ้าค่ะ’เด็ดพี่” รักเดียวแกล้งทำท่าถอนสายบัวล้อเลียนเมื่อลงจากรถ แล้วรักเดียวก็เดินถอยหลังโบกไม้โบกมือให้พี่ชายจนเขาขับรถกลับออกไปด้วยความรู้สึกตลกในท่าทางขำ ๆ ของน้องสาว

    รักเดียวเดินถอยหลังมาชนกับใครคนหนึ่งเขาเพิ่งเดินออกจากประตูสำนักงานไม่ทันพ้นหนึ่งเมตร ร่างบอบบางของรักเดียวเสียหลักล้มลงในอ้อมแขนเขาโดยบังเอิญ

    “อุ๊ย” รักเดียวรีบดันร่างตัวเองออกจากอ้อมแขนอุ่นนั้น เธอมองหน้าเขาแต่เห็นไม่ชัดเจนนักเพราะดวงตาคู่นั้นของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำสนิท
    “ขอโทษค่ะ” เธอกล่าวอ่อนโยนแต่ฝ่ายนั้นไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรด้วย เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

    ทันทีที่รักเดียวเข้าไปถึงโต๊ะทำงาน ไม่ทันจะหย่อนตัวลงนั่งด้วยซ้ำ เสียงโฟนจากอินเตอร์คอมก็ดังขึ้นเพื่อเรียกเธอให้เข้าไปพบหัวหน้าแผนกโดยด่วน

    “อะไรนะคะ...คุณธีระจะให้รักทำสกู๊ปชาวเขาเหรอคะ” รักเดียวถามย้ำ ขณะที่ชายวัยกลางคนร่างอวบอ้วนพยักหน้ายืนยันให้เธอแน่ใจว่าฟังไม่ผิด
    “ใช่...อาทิตย์หน้าคุณจะต้องขึ้นไปหาข้อมูลบนดอย”
    “อาทิตย์หน้า” รักเดียวทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
    “ใช่...ต้องให้เสร็จทันฉบับหน้าด้วย”
    “แต่รักไม่เคยขึ้นดอยเลยนะคะ ถึงจะอยู่เชียงใหม่มาหลายเดือนแล้วก็เถอะ” เธอโอดครวญอย่างหวั่น ๆ เพราะตั้งแต่เรียนจบแล้วหนีตามพี่ชายขึ้นมาทำงานที่เชียงใหม่ก็แสนลำบากมากพอแล้ว เธอเคยคิดว่างานนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวที่ทำอยู่ก็เพียงปั่นต้นฉบับตามภาพถ่ายและเทปที่ทีมงานไปสรรหามาแล้วส่งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯให้ทันกำหนดก็เพียงพอ ไม่คิดเลยว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้
    “คุณไม่ได้ขึ้นไปคนเดียวสักหน่อย หนุ่ยกับโอ๋ก็ไปด้วย” ธีระเอ่ยถึงทีมงานอีกสองคนซึ่งเป็นช่างภาพมือหนึ่ง
    “พี่หนุ่ยกับพี่โอ๋มีญาติเป็นชาวเขาหรือคะถึงได้รู้เส้นทางบนดอยด้วย” เธอโพล่งถามออกไปเพราะไม่รู้จริง ๆ แต่หัวหน้าจอมดุกลับตบโต๊ะปังราวกับว่าที่เธอพูดนั้นกวนประสาทนัก
    “จะบ้าเหรอคุณรัก...ผมติดต่อมัคคุเทศก์ที่ชำนาญทางไว้แล้ว ทำงานนะคุณ ไม่ใช่เล่นขายของ...อยากจะเป็นมืออาชีพก็ลองทำงานนี้ดู ถ้ายังอยากเป็นแค่นักนั่งเทียนเขียนหนังสือล่ะก็...ผมจะให้คนอื่นทำแทน”
    “ไม่นะคะ...อย่าให้คนอื่นทำเลยค่ะ รักอยากทำงานนี้...คุณธีระอยากให้รักทำอะไร รักทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ”
    “โอเค...พรุ่งนี้ผมจะให้คุณไปหามัคคุเทศก์คนที่ผมติดต่อไว้ ลองคุยกันเผื่อว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติม มีปัญหาอะไรไหม”
    “ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ สบายมาก...ไม่มีอะไรที่คนอย่างรักเดียวทำไม่ได้อยู่แล้ว” เธอยืดอกพูดไปอย่างนั้นเองทั้งที่ใจก็หวั่น ๆ เพราะตั้งแต่ทำงานที่นี่มาหลายเดือนก็นั่งเทียนเขียนอย่างที่โดนว่าจริง ๆ

    รักเดียวเดินคอตกกลับออกมานั่งหงอยอยู่บนโต๊ะทำงานรกของตัวเอง ครู่ต่อมามีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าจากใครคนหนึ่ง

    “สวัสดีค่ะ รักเดียวกำลังพูดสายค่ะ” เธอกรอกเสียงอ่อนโยนลงไปตามสาย
    “สวัสดีครับ คิดว่าคุณคงยังไม่ลืมผม” สุ้มเสียงเขาอย่างกับพวกโรคจิต เพราะฟังดูขรึมเข้มเหมือนมีเลศนัยชอบกล
    “ใครคะ...มีธุระอะไรไม่ทราบ”
    “ผมเอง คนที่โดนรถของคุณชนท้ายเมื่อวันก่อนไงล่ะ”
    “อ้อ คุณนั่นเอง...คิดออกแล้วหรือคะว่าจะจัดการกับฉันยังไง จะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่”
    “ใช่...ผมคิดออกแล้วว่าคุณจะชดใช้ค่าเสียหายผมยังไง”
    “ยังไงคะ...รีบ ๆ พูดมาเถอะ ฉันไม่ค่อยมีเวลา”
    “วันนี้ไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันเร็ว ๆ นี้อยู่แล้ว” เสียงจากต้นสายยังเข้มขรึมและแฝงความนัยไว้มากมาย หนำซ้ำยังมีเสียงหัวเราะแหบ ๆ ปะปนมาด้วย รักเดียวไม่ทันได้พูดหรือซักถามอะไรต่อเขาก็วางสายไปดื้อ ๆ
    “บ้าชะมัด...มีอย่างที่ไหนพูดออกมาได้ว่าจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้ แถมหัวเราะในลำคออย่างกับฆาตกรโรคจิต” เธอถอนใจแล้วถอนใจอีกอย่างเบื่อหน่าย ไม่นานก็ยกมือกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม

    เธอเพิ่งจะได้รับงานชิ้นใหญ่ที่ดูจะลำบากไม่ใช่เล่น แล้วยังต้องมาเจอกับคนบ้าประสาทไม่ดีที่คอยตามทวงค่าเสียหายด้วยวิธีแปลก ๆ ...มันจะอะไรกันนักหนาเนี่ย...

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 18:46:28

    แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 49 18:02:13

    แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 49 18:01:37

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 7 เม.ย. 49 18:00:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป