CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เมืองไท จำกัด

    เมืองไท จำกัด

    เรื่องที่จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งสิ้น  
    +++++++++++
    “นานมาแล้วมีคนรวยมากๆ อยู่คนหนึ่งเรียกกันว่ามหาเศรษฐี”

    คุณยายวัยชราเริ่มต้นกล่อมนิทานก่อนนอนให้หลานสาววัยสามขวบฟัง  สิ่งเหล่านี้เป็นกิจวัตรแทบจะทุกค่ำคืนเมื่อมีหลานรักตัวน้อยคอยรบเร้า    

    ดวงตากลมโตของหลานสาวสุกใสเบิกบานด้วยความดีใจ กระชับหมอนข้างรูปหนอนน้อยสีเขียวไว้ในอ้อมกอดบนที่นอนเนื้อนุ่ม  สองแก้มยุ้ยเปื้อนแป้งขาวนวลคลี่ยิ้มเมื่อได้ฟังนิทานเรื่องใหม่ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะทุกครั้งยายมักจะเล่าเรื่องของเจ้าหญิงและเจ้าชายอยู่เสมอ...ครั้งนี้มาแปลก  

    “เรื่องอารายค้า” หนูน้อยถาม

    คุณยายไม่ตอบ ขณะที่เอื้อมมืออันเหี่ยวย่นดึงผ้าห่มให้ แล้วเล่าต่อไปด้วยแววตาบางอย่างว่า มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ผู้คนเกือบทั้งหมด หากนับรวมกันประมาณยี่สิบล้านเสียงเทคะแนนให้ชายคนหนึ่งซึ่งชาวเมืองต่างขนานนามเขาว่า ‘มหาเศรษฐี’ เป็นผู้นำปกครองบ้านเมือง  ด้วยเสียงข้างมากเรียกว่าแทบถล่มทลายที่ได้รับความไว้วางใจ จึงเกิดความฮึกเหิมขึ้นมาในใจของชายผู้นี้อย่างช่วยไม่ได้ในกาลต่อมา  

    ที่มาของคะแนนเหล่านั้นแน่นอนว่ามาจากการโปรยนโยบายหาเสียงของบุรุษที่ราบสูง อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เสียงกร้าวประกาศต่อเหล่าปวงประชาว่า เขาจะเนรมิตให้คนจนหมดประเทศภายในสี่ปี!

    ได้ยินดังนั้น ชาวบ้านระดับรากหญ้าผู้ปลูกกระท่อมปลายนาเป็นที่หลับนอนและหากินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ต่างตื่นเต้นอย่างมีความหวังว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนคนชนชั้นอื่นๆ ในบ้านเมืองบ้าง  และแทบทุกชนชั้นต่างก็เฝ้าจับตามองด้วยความใคร่รู้ เพราะไม่เคยมีผู้นำท่านใดหาญกล้ากล่าวเรื่องท้าทายถึงเพียงนี้

    “รากหญ้าคืออารายคะ?” หนูน้อยสงสัยเกินกว่าจะเข้าใจ

    คุณยายผมขาวโพลนทั้งศีรษะอันมาจากวัยและประการณ์เกือบค่อนชีวิต ลูบเส้นผมดกดำของหลานสาวก่อนตอบ“มันเป็นคำเปรียบเทียบจ้า ว่ากันว่าไม้ใหญ่จะเจริญงอกงามได้ก็ต้องพึ่งพารากฝอยดูดซับหาอาหาร เพราะฉะนั้นรากหญ้าในที่นี้ก็หมายถึงชาวบ้านทั่วไป บ้านใดเมืองใดหากรากหญ้ายังอ่อนแอก็ยากนักที่จะเอ่ยคำว่า ’พัฒนาแล้ว’ ให้แขกบ้านต่างเมืองเขาฟัง ”

    สิ่งที่คุณยายบอกถึงแม้หนูน้อยจะไม่เข้าใจมากนัก แต่ก็ตั้งใจฟัง  เสียงคุ้นเคยของยายแสดงถึงความสนิทสนมมากกว่าพ่อและแม่เพราะมัวแต่ทำงานนอกบ้าน อันเป็นวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ ยายเล่าต่อไปว่า  เมื่อผู้คนตามหัวเมืองต่างๆ รวมถึงคนชั้นกลางในเมืองหลวงต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันเป็นเพียงโครงการขายฝันเท่านั้น

    เสียงซุบซิบนั้นตีวงกว้างราวกับติดปีกไปทั่วเมืองภายในเวลาไม่กี่วันหลังบุรุษที่ราบสูงเข้ารับตำแหน่ง เรื่องนี้มาเข้าหูท่านผู้นำเข้าเอาในวันที่ฟ้าหม่นฮึมครึมด้วยเมฆฝนพอดี ด้วยอารมณ์ร้อนอยู่เป็นนิจผสมปากไวตามนิสัยของคนเอาแต่ใจอยู่แล้ว เลยเกิดอาการ ‘งอน’ ข้าทาสบริพาลอยู่หลายวัน  เจ้าเมืองปิดปากเงียบไม่ยอมเสวนากับใครนานนับสัปดาห์

    ยามต้องเดินทางไปไหนมาไหนท่านผู้นำจะชูป้าย ‘ไม่สร้างสรรค์‘ สำหรับอ้ายอีที่พูดให้ระคายหู  ใครซักถามมากหรือเจาะประเด็นเลียบเคียงจะโดนย้อนกลับมาเสมอว่าไม่มี ‘วิสัยทัศน์’

    ถึงแม้หลายคนจะไม่เห็นด้วย แต่คิดได้เฉพาะในใจเท่านั้น  

    เมื่อไม่มีใครกล้าเอ่ยปากซักถามให้รำคาญรูหู หัวใจท่านผู้นำเลยลำพองฮึกเหิม เดินเชิดหน้าอย่างสง่าเมื่อต้องไปราชการนอกเมืองราวกับเป็นราชสีห์ผู้ปกครองผืนป่าอันกว้างใหญ่จรดแนวขุนเขาแต่เพียงผู้เดียว  แต่ในความเป็นจริง ที่ท่านผู้นำกล้าถึงเพียงนั้นเพราะว่ายามไปไหนมาไหนจะเกณฑ์ทหารมาอารักขาถึงหนึ่งกองพันเสมอ

    ความที่กลัวถูกปองร้ายจากฝ่ายตรงข้าม  ทั้งที่ความจริงแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะกล้าถึงขนาดนั้น      
    เพื่อพิสูจน์และยืนกรานว่าทฤษฏีของตนถูกต้องและไม่ใช่การคุยโตโอ้อวดตามวงสนทนาสภากาแฟซึ่งมักถูกนำมาคุยเป็นของแกล้มน้ำชายามเช้าอยู่เสมอ  ไม่กี่วันหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ท่านผู้นำก็ใช้อำนาจที่เริ่มแทรกซึมมาก่อนหน้านี้ ทั้งในหน่วยงานราชการหรือองค์กรต่างๆ กับความเป็น ‘มหาเศรษฐี’ ของตนในการบริหารบ้านเมือง  นำเงินทองมากมายจากท้องพระคลัง  ถ่ายโอนลงสู่หมู่บ้านตามหัวเมืองต่างๆ อย่างต่อเนื่อง  

    ใครไม่ยอมเปิดทางให้ก็ใช้ ‘อำนาจ’ ของตนบีบคั้นทุกวิถีทาง  จนข้าทาสบริพาลผู้มีสองมือสองขากับสมองธรรมดาแต่ ‘รู้ทัน’ ยากจะต้านทานอำนาจมืดที่มองไม่เห็น

    ใครจะกล้าเสี่ยงเล่นเอาตำแหน่งงานมาบีบคั้นกัน  ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วสำหรับคนที่ต่อต้านนโยบาย  ก็เพื่อนร่วมงานหายไปอย่างไรร่องรอยเสมอ!!

    กลายเป็น ‘เมืองจำกัด’ ทางความคิดไปเสียแล้ว....ท่านผู้นำมักทำตามที่ตัวเองเห็นชอบเพราะบารมีกับอำนาจอยู่ในมือเพียงผู้เดียว    เขามักคิดเสมอว่า สิ่งที่ตัวเองคิดถูกต้องและอยู่เหนือบุคคลอื่นเสมอ  

    คนภายนอกไม่มีใครรู้  บางครั้งหากพลาดพลั้งเผลอเรอมีเรื่องจวนตัวจนปกปิดไม่มิด มักมีหน่วยกล้าตายหวังเอาหน้ามาแก้ต่างให้ ‘นาย’ เสมอ จนมองเหมือนว่าบ้านเมืองกำลังไปได้ดี

    หนึ่งในนั้นคือคำโปรยเมื่อครั้นได้ตำแหน่ง...

    หมู่บ้านละล้าน!!  นั่นคือคำบัญชาเพื่อลบคำครหา...ชาวบ้านดีใจกันยกใหญ่

    เพียงไม่กี่ราตรีหลังคำสั่ง จนเป็นข่าวใหญ่โตเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแคว้นรอบเมือง ไม่นานจากนั้นชาวบ้านต่างก็ได้รับเงินทองเหล่านี้มาทำมาหากินพร้อมกับข้อสัญญาจรดปากกาลงนามเป็นหลักฐานและดอกเบี้ยที่ต้องใช้คืนภายหลัง

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับการบริหารบ้านเมืองกลายเป็นความแปลกใหม่ สร้างความนิยมชมชอบให้ผู้คนในปกครองเป็นอย่างมากราวกับเข้าไปเดินอยู่ในใจของชาว ‘รากหญ้า’ อย่างแท้จริง...ได้ใจไปเต็มๆ  

    นั่นเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านผู้นำ  

    เป็นธรรมดาว่าเงินทองที่ได้มาง่ายก็ย่อมใช้ง่ายเช่นกัน  มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่นำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดผลงอกเงยตามความประสงค์ของโครงการแนวคิดอันแปลกประหลาด...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!

    เมฆหมอกอันเลวร้ายเข้าครอบงำเมืองโดยไม่มีใครรู้ตัว ผู้คนต่างขี้เกียจกันมากขึ้น ด้วยหวังว่าถึงยังไงก็มีเงินมาลงทุนอยู่ดี  การค้าไม่มีกำไรก็ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร เงินทองที่มีก็ใช้จ่ายกับของฟุ่มเฟือย  ครั้นพอถึงครบกำหนดเวลาใช้หนี้คืนในส่วนที่หยิบยืมมา ชาวบ้านส่วนมากกลับไม่มีจ่าย จำต้องพึ่งพาเงินนอกระบบจากเศรษฐีเงินกู้หน้าเลือดในหมู่บ้าน

    เพราะถ้าไม่ใช้คืนจะมีความผิดตามกฎหมาย กลายเป็นคนมีประวัติด่างพล้อย...ชาวบ้านนึกกลัว!

    กลายเป็นว่า เอาเงินมาต่อเงิน สะสมดอกเบี้ยจนบานเบ่งแทบทุกครัวเรือน    

    “แล้วยังไงต่อคะยาย เกิดอะไรขึ้นกับเมืองของ หมา-เฉด-ถี”  หนูน้อยถามเสียงไม่ชัดหลังคุณยายหยุดพักหายใจชั่วคราว หรือไม่ก็ประหวัดย้อนถึงเรื่องราวในนิทานที่จำได้ขึ้นใจ

    “มหาเศรษฐีจ้า ไม่ใช่ หมา-เฉด-ถี ต้องออกเสียงให้ชัดรู้มั้ยจ๊ะ”

    หนูน้อยพยายามเปล่งเสียงตามคุณยายอยู่พักใหญ่ แต่ก็ต้องยอมแพ้ เพราะกี่ครั้งๆ ก็ ‘หมา-เสด-ถี’ เหมือนเดิม

    คุณยายยิ้ม ก่อนเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจังเมื่อเล่าเรื่องต่อไปว่า      
     
    หลังจากเงื่อนไขที่วางไว้ชาวบ้านไม่สามารถทำตามได้ โครงการพักชำระหนี้จึงตามมาหลังจากนั้น  แน่นอนว่าสร้างความนิยมชมชอบในตัวท่านผู้นำขึ้นไปอีก
    เมื่อวางรากฐานความไว้วางใจให้ผู้คนเป็นที่ประจักษ์แล้ว  ท่านผู้นำเลยคิดการใหญ่โดยมีข้าทาสบริวาลผู้จงรักภักดีคอยให้การสนับสนุนและสนองนโยบายตามที่ท่านผู้นำบัญชา

    ‘มหาเศรษฐี’ ไม่รู้จักคำว่า ‘พอเพียง’ ได้ติดต่อแคว้นรอบเมืองให้มาทำการค้าในบ้านเมืองของตน  โดยทำการเจรจากันเป็นการภายในว่า ผลกำไรต้องแบ่งครึ่ง!

    เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนชาวบ้านต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ในที่สุดความอดทนของผู้คนก็ถึงที่สุด มีคนรู้ทันท่านผู้นำอยู่กลุ่มหนึ่งพร้อมกับชาวบ้านที่เดือดร้อนลุกฮือขึ้นมาประท้วงขับไล่การบริหารบ้านเมืองของท่าน ‘มหาเศรษฐี’ หลายเรื่องที่พวกชนชั้นกลางในเมืองหลวงนำมาเป็นหัวข้ออภิปรายโจมตีและชี้ชัดให้ทราบโดยทั่วกันถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง

    หัวข้อร้ายแรงซึ่งยอมไม่ได้คือการ ‘ขายชาติ’ สมคบแคว้นรอบเมือง  พวกเขากลัวว่าสักวันจะไม่มีแผ่นดินให้ลูกหลานอยู่ หากความลับของเมืองถูกนำมาเป็นการค้าเสียหมด เพราะในสมองของชายผู้นี้หวังตีตัวเลขออกมาเป็นเงินตราเพื่อเข้ากระเป๋าแบบคนที่ไม่รู้จักคำว่าพอเท่านั้น

    ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนก่อหวอดทั่วทุกมุมเมือง ต่างพร้อมใจกันโพกผ้าเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ ข้อความในผ้าเขียนเพียงว่า ‘กู้ชาติ’   การประท้วงเริ่มรุนแรงด้วยสำนวนอันเผ็ดร้อนและยาวนาน  ความจริงที่ถูกปกปิดและซ่อนงำถูกเปิดเผยออกที่สาธารณะ หนึ่งในใจความสำคัญว่า  

    ‘ขายชาติ’  เพราะสมคบแคว้นรอบเมืองเพื่อทำการค้าในทางที่สั่นคลอนต่อบ้านเมือง

    ‘โกงกิน’  เพราะนับวันเงินในกระเป๋าของตัวท่านเองและพวกพ้องจะมากขึ้นเรื่อยๆ  โดยหาที่มาไม่ได้

    ข้อกล่าวหาทั้งหมดท่านผู้นำออกมาชี้แจงหน้าชื่นว่าตนถูกใส่ร้าย  ท่านมักหยิบยกเอาเสียงสนับสนุนถึงยี่สิบล้านเสียงสมัยมะโว้มาเป็นไม้ตาย เรียกว่าขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ   เป็นอย่างนี้บ่อยครั้งเมื่อถูกกดดัน  

    หากใครสังเกตจะเห็นได้ว่าราศีของท่านผู้นำหม่นหมองไปตามกาลเวลากับระยะเวลาการประท้วงขับไล่ท่าน  จนต้องว่าจ้าง ‘พ่อหมอ’ จากต่างเมืองมาปัดไล่รังควานตามคำแนะของบริวาลผู้จงรักภักดี

    แต่การณ์หาได้เป็นไปตามไม่  เพราะชาวบ้านที่มาประท้วงต่างขุดคุ้ยเรื่องการบริหารบ้านเมืองมาตีแผ่มากขึ้นทุกวัน  ท่านเจ็บใจและนึกโกรธตัวเองที่ยังไม่แนบเนียนพอ  

    เพื่อรักษาหน้าตาและภาพลักษณ์อย่างราชากับหัวโขนที่สวมอยู่  ในที่สุดท่านผู้นำก็ทนเสียงสาปแช่งต่อไปไม่ไหวเลยประกาศว่าตนเองจะ ‘เว้นวรรค’ ทางการบริหารบ้านเมือง  โดยไม่ยอมทำตามข้อเสนอหรือว่าข้อเรียกร้องของแกนนำกลุ่มประท้วงทั้งหลายว่าให้ ‘ลาออก’

    อำนาจอันหอมหวานกระตุ้นกิเลศด้านต่ำเข้าครอบงำจนลืมตัว ถึงตอนนี้ท่านมหาเศรษฐีผู้ตกอับคิดเสมอว่า เป็นลูกผู้ชายมันต้องมีลาย  แต่กว่าจะลงจากหลังเสือได้ก็แทบเรียกได้ว่าด่างพล้อยไปทั้งตัว!

     สายลมหนาวพัดตรึงลอดช่องบานหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทเข้ามาให้ผ้าม่านพลิ้วไหวแลเห็นดาวพราวแสงเต็มท้องฟ้า  พระจันทร์เสี้ยวรูปเคียวส่องสว่างเรื่อเรือง

    ไม้ใกล้ฝั่งอย่างคุณยายผินหน้าไปมองชั่วแวบหนึ่งคล้ายคิดถึงความหลัง  ชั่วครู่จึงหันหน้ามามองหลานสาวเห็นว่า ตาปรือกำลังจะหลับ  นางเลยเล่านิทานที่ยังค้างคาต่อไปอีกนิดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

    หลังจากมหาเศรษฐีที่ราบสูง ‘เว้นวรรค’ บ้านเมืองก็เกิดความสงบสุขมาตั้งแต่นั้น ถึงแม้จะมีบ้างตามความเคลือบแคลงของใครบางคนว่า ‘เว้นวรรคเพื่อชักใย’ ก็ตาม

    นิทานจบลงแล้วพร้อมกับห้วงนิทราของหลานสาว คุณยายเลยไม่ได้บอกว่านิทานเรื่องนี้ชื่อเรื่องว่า         ’เมืองไท จำกัด’  แต่คุณยายยังมีเวลาอีกมากที่จะเล่าให้หลานสาวฟัง

    สายลมเย็นจากเบื้องนอกลูบไล้ผิวกายอันเหี่ยวย่นให้รู้สึกหนาว  หลังจากจัดความเรียบร้อยให้หลานสาวนอนอย่างสบายที่สุดแล้ว คุณยายลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบาเดินไปที่ช่องหน้าต่างบานนั้น  พลางประหวัดไปถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยยังเป็นสาว  ความทรงจำบางอย่างก็พร่าเลือนไปกับกาลเวลาหากแต่บางอย่างก็กระจ่างชัดในความทรงจำเช่นกัน  

    หนึ่งในนั้นเป็นคำพูดของท่านผู้เฒ่าผู้คลุกคลีวงการบริหารบ้านเมืองมาหลายสมัยได้กล่าวไว้ว่า “ถึงคุณชนะข้าศึก แต่คุณก็แพ้สงครามอยู่ดี” เธอฟังแล้วน้ำตาไหล พลางคิดไปถึงคนรัก

    คุณยายไม่เคยลืมว่าแม้แต่กระดูกของคู่ชีวิตมาถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่พบ!

    ถึงจะจากบ้านเกิดเมืองนอนมาตั้งรกรากในต่างเมืองที่มีหิมะโปรยปรายเพื่อให้ลืมอดีตที่เจ็บปวด แต่ไม่เคยลืมสักครั้งว่าตัวเองเป็นภรรยาของมหาเศรษฐีคนนั้น

    เธอน่าจะเตือนสามี!



    +++++++++++

    แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 49 10:51:33

    แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 49 18:33:09

    จากคุณ : อนงค์นาง - [ 9 เม.ย. 49 18:31:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป