บันทึกของคนเดินเท้า
คนขี้โมโห
พระท่านสอนไว้ว่า ละความโกรธเสียได้ จะอยู่เป็นสุข นั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน เพราะความโกรธหรือความขี้โมโหนั้น ไม่เคยให้คุณกับใคร ความโกรธสามารถสร้างความทุกข์ให้ แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในครอบครัว ไปจนถึงเรื่องใหญ่โต ต้องเสียทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่ชีวิตได้ และความโกรธนี้ถ้าเก็บกดไว้ ก็จะกลายเป็นความแค้น อาฆาตพยาบาท และจองเวรได้ ดังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันที่ร้านทำเครื่องเพชรพลอยรูปพรรณ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพา เขตพระนคร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบรุดไปสอบสวน
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าคนเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียวแล้ว พบแต่กองเลือดที่ห้องครัวหลังร้าน กับปืนพกขนาด .๓๘ ตกอยู่หนึ่งกระบอก มีกระสุนอยู่ในรังเพลิงและแมกกาซีน ๔ นัด ปลอกกระสุนที่ยิงแล้ว ๒ ปลอก กับหัวกระสุน ๑ หัว
เจ้าหน้าที่จึงตามไปสอบสวนที่โรงพยาบาล พบคนเจ็บชื่อนายเพชร (นามสมมุติ)อายุ ๒๕ ปี ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าของร้านเพชรพลอยดังกล่าว มีบาดแผลถูกกระสุนปืนขนาด .๓๘ ที่ขมับขวาทะลุซ้าย และได้ความต่อไปว่าผู้ตายมีความเจ็บแค้น นางฮุยผู้เป็นน้องของบิดา ซึ่งต้องการจะยึดร้านเพชรทำให้บิดาคิดมากจนหัวใจวายตายไปเมื่อ ๓ ปีก่อน และผู้ตายได้เก็บความแค้นไว้ในใจตลอดเวลา เพราะนางฮุยผู้เป็นอาได้ไปอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ไม่ได้พบหน้ากัน
บังเอิญวันเกิดเหตุนางฮุยได้มาเยี่ยมบ้าน ขณะนั้นผู้ตายอยู่บนห้องพักชั้นสอง พอรู้ว่าอาผู้หญิงมาที่บ้าน ความแค้นที่เก็บไว้ก็พลุ่งขึ้น จึงคว้าปืนวิ่งออกมาจากห้องนอนหมายจะสังหารให้หายแค้น
แต่ญาติพี่น้องได้ผลักปืนเหไป กระสุนจึงลั่นขึ้นเพดานหนึ่งนัด เมื่อผิดหวังที่จะแก้แค้น ผู้ตายเกิดน้อยใจ จึงวิ่งเข้าไปในครัวหลังบ้าน ปิดประตูแล้วใช้ปืนกระบอกเดียวกัน ระเบิดขมับตนเอง ถึงแก่ความตายดังกล่าว
อีกเรื่องหนึ่งเกิดก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ปีเดียวกัน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวน กรณีมีคนถูกทำร้ายร่างกายมารักษาตัว ปรากฏว่าผู้บาดเจ็บคือนายแก้ว (นามสมมุติ) อายุ ๒๗ ปี เป็นคนงานอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์ ถนนพระรามที่ ๖ ถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมเข้าที่หน้าท้อง ๓ แผลอาการสาหัส
เหตุเกิดเพราะนายแก้วเมา แล้วทะเลาะกับนางพร้อม (นามสมมุติ) คนบ้านข้างเคียง ซึ่งต่างก็เกิดโทสะ และในขณะที่นายแก้วจะเข้ามาทำร้ายร่างกายนางพร้อม นั้น นายแอ๊ด (นามสมมุติ) ผู้เป็นลูกชายของนางพร้อม จึงวิ่งเข้ามาช่วยเหลือแม่ โดยการใช้มีดปลายแหลมจ้วงแทงนายแก้ว แล้วก็หลบหนีไป
ชาวบ้านจึงช่วยกันนำตัวผู้บาดเจ็บ ส่งโรงพยาบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตามหาตัวมือมีดรายนี้ มาดำเนินคดีต่อไป
ย้อนกลับไปอีกรายหนึ่ง เหตุเกิดขึ้นเมื่อ เวลา ๑๕.๐๐ น.วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๕ นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลสยาม ว่ามีผู้นำคนเจ็บเพราะถูกยิงมารักษาตัว แต่ได้ถึงแก่ความตายเสียแล้ว จึงขอให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนตามระเบียบ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจศพและสถานที่เกิดเหตุ ก็ได้ความว่า ผู้ตายเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด ๑๑ ม.ม.ที่หน้าผากและแก้มขวาทะลุด้านซ้าย เหตุเกิดในซอยเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ถนนลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ
ได้พบรอยเลือดกองอยู่ข้างรถเก๋งสีคราม มีรอยถูกกระสุนเข้าที่กระจกด้านหน้าและด้านข้างแตกละเอียด และพบปลอกกระสุนขนาด ๑๑ ม.ม.ตกอยู่ ๒ ปลอก ในบริเวณใกล้เคียง
การสอบสวนต่อมาได้ความว่า ผู้ตายได้ขับรถจากบ้านพัก ถนนประชาชื่น อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เพื่อมาหาพี่น้องซึ่งเป็นนายทหารอากาศ ที่หมู่บ้านนั้น ขณะที่รถของผู้ตายแล่นมาในซอยถึงที่เกิดเหตุ ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งสีฟ้า ภายในรถมีชาย ๒ หญิงหนึ่งแล่นสวนทางมา ทั้งสองฝ่ายได้หยุดรถและเปิดประตูออกมาโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วต่างก็ชักปืนออกมาสาดกระสุนใส่กันเสียงดังสนั่นรวม ๖ นัด ผู้ตายถูกกระสุนล้มฟุบจมกองเลือด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถูกเข้าที่ขาเพียงคนเดียว เพื่อนที่เหลือจึงช่วยลากขึ้นรถหลบหนีไป
ระหว่างนั้น พลตำรวจ ธงชัย ตำรวจสังกัดกองปราบปราม ซึ่งมีบ้านพักอยู่ใกล้เคียง ได้ยินเสียงปืนจึงรีบวิ่งมาดู ก็พบร่างของผู้ตายนอนหมดสติอยู่ จึงช่วยกันกับชาวบ้านหามส่งโรงพยาบาล และถึงแก่ความตายดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ความอีกว่าผู้หญิงที่มากับชาย ๒ คน ระหว่างดวลกันอย่าง ดุเดือดนั้น ได้ตกใจสุดขีดถึงกับเปิดประตูรถออกวิ่งหนีหายไป
เจ้าหน้าที่สันนิษฐานในเบื้องต้นว่า ผู้ตายอาจมีเรื่องขัดผลประโยชน์ ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงมีการจ้างมือปืนมาสังหาร หรือไม่ก็เป็นการขับรถสวนกันในทางแคบ ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมเปิดทางให้กัน จึงเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ใช้ปืนเป็นเครื่องตัดสิน จึงทำให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อายุ ๕๒ ปี ซึ่งยังเป็นโสดไม่มีครอบครัว ต้องถึงแก่ความตายอย่างน่าเสียดาย
เวลาได้ล่วงไปหนึ่งเดือน หลังจากที่นิสิตของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย ได้ยกขบวนเข้าพบรองอธิบดีกรมตำรวจ เร่งรัดให้ดำเนินการสืบจับตัวคนร้ายรายนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว จึงสืบสวนติดตามผลจนได้ทราบว่ารถของผู้ที่เป็นผู้ต้องสงสัยรายนี้ เป็นนายตำรวจคนหนึ่ง อายุ ๓๓ ปี ซึ่งมีบ้านพักอยู่ในซอยที่เกิดเหตุ จึงได้ออกหมายจับและควบคุมตัวมาสอบสวน
ซึ่งผู้เป็นมือปืนได้สารภาพว่า ในวันเกิดเหตุตนได้ไปเยี่ยม ผู้บังคับบัญชาเก่า ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกัน แล้วจึงได้ขับรถออกมาตามซอย พร้อมด้วยเพื่อนหญิงซึ่งเป็นนักร้อง เมื่อรถเลี้ยวมาถึงสามแยกกลางซอย ก็พบกับรถผู้ตายซึ่งขับสวนทางมา ตนก็หลีกทางให้รถของผู้ตายผ่านไปแต่โดยดี แต่ผู้ตายได้หมุนกระจกลงพร้อมกับตะโกนใส่หน้าตนว่า เป็นใครมาจากไหน ใหญ่แค่ไหนจึงขับรถอย่างนี้
ด้วยความไม่พอใจทั้งสองจึงลงมาจากรถ ลงมาโต้เถียงกันข้างล่าง โดยมีหญิงสาวที่เป็นนักร้องห้ามปราม แต่ผู้ตายไม่ฟังเสียงชักปืนออกมายิงใส่ตนก่อนถึง ๔ นัด แต่กระสุนไม่ถูกเป้า
ตนจึงชักปืนประจำตัวสาดกระสุนตอบโต้ไป ๒ นัด เจาะเข้าศีรษะผู้ตาย จนล้มลง
ในกรณีนี้ เมื่อนักข่าวได้ตั้งคำถามแก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวนั้น เป็นอย่างไร ท่านรัฐมนตรีได้ตอบว่า ได้รับรายงานแล้ว ส่วนข้ออ้างของเขามันเป็นเพียงการอ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องของอารมณ์ และกล่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มีสาเหตุเพียงเล็กน้อย ต้องดูผลการสอบสวนของตำรวจ ว่าจะออกมาในรูปใด หากมีความผิดแน่ชัด ก็จะดำเนินคดีทั้งทางอาญา และทางวินัยคู่กันไปด้วย
สุดท้ายปรารภว่า ท่านไม่สบายใจในการพกปืน ของตำรวจหรือพลเรือน เพราะถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็จะไปก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่น
และผลของการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในครั้งนี้ ก็ส่งผลให้อาจารย์ของมหาวิทยาลัยตายไปคนหนึ่ง และทำให้กรมตำรวจต้องขาดนายตำรวจไปอีกคนหนึ่งด้วย ไม่ว่าใครจะผิดใครจะถูกก็ตาม
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นอุทาหรณ์ของการไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เกิดขึ้นในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ปีเดียวกัน เมื่อเวลา ๐๘.๓๐ น. นายร้อยเวร สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลพบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีเหตุฆ่ากันตายที่ริมคลองชลประทาน ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง
เมื่อได้รับแจ้งจึงได้นำตำรวจรุดไปยังที่เกิดเหตุ ก็พบศพชายคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่าคือ นายอบ อายุ ๒๑ ปี อยู่บ้านไม่มีเลขที่ ใกล้คลองชลประทาน สภาพศพถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่อกขวารวมทั้งหมด ๙ นัด นอนตายจมกองเลือดอยู่ ที่ใกล้ศพเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ๑ ปลอก
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ได้ทราบว่า มือปืนรายนี้ชื่อ นายติ๊ก (นามสมมุติ) อายุ ๒๗ ปี มีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นเอง สาเหตุที่ต้องมาฆ่ากันตายในครั้งนี้ เนื่องด้วยเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. หมาของนายอบและหมาของนายติ๊ก ซึ่งอยู่บ้านใกล้กันได้ออกมากัดกัน
ขณะที่หมาทั้งคู่กำลังกัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นั้น เจ้าของหมาทั้งสองได้ออกมายืนดูอยู่โดยไม่ห้ามปราม หรือแยกออกจากกันเสีย จนสุดท้ายผลของการกัดกันครั้งนี้ ปรากฏว่าหมาของนายอบชนะ หมาของนายติ๊กแพ้ นายอบจึงร้องไชโยด้วยความดีใจ
แต่นายติ๊กได้ตะโกนใส่หน้าว่า หมาแพ้แต่คนไม่แพ้โว้ย
นายอบก็โมโหจึงเอาก้อนอิฐก้อนดินขว้างใส่หลังคาบ้านนายติ๊ก เป็นการตอบแทน ส่วนนายติ๊กคงจะเก็บความแค้น ไปนอนคิดอยู่ตลอดคืน จนกระทั่งรุ่งเช้าวันที่ ๓๐ ธันวาคม ทั้งคู่จึงออกมาทะเลาะกันอีก โดยฝ่ายนายติ๊กประกาศว่า เอ็งต้องตายวันนี้ แล้วก็เข้าไปในบ้าน หยิบปืนลูกซองออกมา แล้วตรงเข้าไปจ่อยิงนายอบชนิดเผาขน เปรี้ยงเดียวนายอบถึงกับล้มทรุดลงกองกับเลือดที่ไหลออกมาจนนองพื้น และสักครู่ก็สิ้นใจตาย
ส่วนนายติ๊กเมื่อเห็นผลของการชำระความแค้นของตนแล้ว ก็เผ่นหนีไป ทำให้ตำรวจต้องติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
เรื่องที่เกี่ยวกับสุนัขและเจ้าของไม่ถูกกันนี้ ได้เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว คือเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๐ เวลา ๐๘.๐๐ น. นายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ ได้รับแจ้งจากนายแพทย์โรงพยาบาลพระปิ่นเหล้าว่า มีคนไข้ถูกตีด้วยของแข็งที่ทัดดอกไม้ข้างซ้าย บาดเจ็บสาหัสถูกส่งมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่เย็นวันที่ ๒๑ และคนไข้ได้ถึงแก่ความตายตอนย่ำรุ่งของวันที่ ๒๒ นี้
เจ้าหน้าที่ได้ไปสอบสวนก็พบว่าผู้ตายเป็นชายอายุ ๕๐ ปี มีอาชีพเป็นช่างอบกระจก บ้านอยู่ในซอยโรงแก้ว ถนนตากสิน แขวงบุคคโล เขตธนบุรี บาดแผลถูกตีด้วยแป๊บน้ำ
และได้ความต่อไปว่าน้องสาวของผู้ตายชื่อ นางโง้ว มีอาชีพขายน้ำเต้าหู้ ได้จูงสุนัขออกมาเดินแถวหน้าบ้าน ขณะนั้นได้มี นายรัตน์ (นามสมมุติ) อายุ ๒๔ ปี ขับขี่รถจักรยานสองล้อ มีนายลิ้ม (นามสมมุติตามเคย) อายุ ๑๘ ปี นั่งซ้อนท้ายมา สุนัขของนางโง้วจึงวิ่งไล่งับ ทำให้นายรัตน์ไม่พอใจจึงว่าเลี้ยงหมายังไงให้ไล่กัดคน ทำไมไม่เลี้ยงไว้ทำพันธุ์
นางโง้วก็โกรธจึงเกิดปะทะคารมกันขึ้น นายลิ้มก็โกรธแทนเพื่อน จึงลงจากรถไปตบหน้านางโง้ว
พอดีกับผู้ตายเห็นเหตุการณ์ จึงคว้ามีดดาบวิ่งออกจากบ้านตรงไปหา ผู้ที่ทำร้ายน้องสาวของตน คนทั้งสองจึงหันไปคว้าแป๊บน้ำข้างทาง ตรงเข้าตีผู้ตายหนึ่งครั้งจนล้มฟุบลง แล้วทั้งสองก็กลับบ้านไป
แต่ผู้ถูกตีได้ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงไปจับกุมคนทั้งสองที่บ้านพัก และทั้งสองก็ให้การสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป
ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างของความไม่ควบคุมโทสะของตนเอง ด้วยสาเหตุเพียงนิดเดียว ก็เกิดบานปลายออกไปได้อย่างไม่น่าจะเป็น ทำให้คนหนึ่งต้องเสียชีวิตไปโดยไม่คุ้มค่า
และผู้ที่เป็นคน ขี้โมโหนั้นก็ต้องได้รับโทษตามกรรมที่ก่อนั้นด้วย.
##########
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
10 เม.ย. 49 06:58:31
]