CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    การเดินทางที่ไร้จุดหมาย

    ...............................................................................................................................






    ...........ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าเปล่าเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ เป็นวันเสาร์ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) แม้เป็นวันหยุดอันเป็นวันช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนสุดสัปดาห์

    ..........ทว่า...ในห้วงคำนึงถึงบางเรื่องราว กลับมิอาจที่จะหยุดครุ่นคิดคำนึงได้ การอยู่คนเดียวเหมือนกับถูกหลอกหลอนจากความเงียบ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็ไม่ต่างจากอยู่คนเดียว

    ...........เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต
    บางครั้งเรื่องราวบางเรื่องในใจคนเรา นับวันจะกลายเป็นบาดแผลที่กัดเซาะจิตใจให้ลึกลงยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป

    ...........ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก...สิ่งที่ทำได้ก็คือ....การเดินทางไปในที่ใดที่หนึ่ง

    ............แต่ฉันนึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหน แม้มีเส้นทางมากมาย แต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหนดี

    .................ริมทะเล........ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงสมอง ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไป

    ................บางแสน....ฉันกำหนดจุดหมายปลายทาง พร้อมกับบังคับพวงมาลัยมุ่งไปสู่ถนนพระรามเก้า เพื่อจะตรงไปสู่ถนนไฮเวย์

    ................และคลับคล้ายกับได้ยินเสียงคลื่นทะเลก้องกังวานอยู่ในโสตประสาท และอุปทานสัมผัสถึงไอเย็นของทะเลที่สดชื่น






    .............แต่แล้วเมื่อผ่านช่องทางเก็บเงินค่าทางด่วนไปได้สักระยะ ฉันก็หักพวงมาลัยออกซ้ายเข้าสู่ทางที่จะตรงจังหวัดฉะเชิงเทรา

    ................ฉันรู้สึกว่า....ฉันไม่อยากจะสัมผัสกับไอเย็นอันสดชื่นของท้องทะเลเหล่านั้นแล้ว

    ..........ฉันอยากจะขับรถไปเรื่อยๆ

    ............ฉันรู้สึกว่าฉันอยากจะสัมผัสกับบรรยากาศของต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังแห้งกรอบของเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางที่อากาศร้อนในช่วงนี้

    ............บางที...ซากความตายของกิ่งไม้ใบหญ้าอาจจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นกว่าที่จะไปสัมผัสความสดชื่นของบรรยากาศริมทะเล และฟังบทเพลงของลูกคลื่นที่ขับกล่อมเมื่อยามที่มันโถมเข้ามาจูบลูบไล้ชายหาด

    ............ก่อนจะเข้าตัวเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉันเลี้ยวขวาตรงไปยังอำเภอพนมสารคาม

    ................สองข้างทางเป็นท้องทุ่งสลับกับบ้านเรือน ต้นไม้ที่เรียงรายตรงกลางถนนอันเป็นเสมือนเกาะกลางถนนถูกตัดจนเหลือแต่กิ่ง ราวกับจะรอให้มันผลิใบใหม่ในฤดูฝนที่จะมาเยือน

    ................ผ่านอำเภอพนมสารคาม ฉันยังคงขับรถต่อไปอย่างไร้จุดหมาย บางช่วงฉันขับด้วยความเร็วถึงร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ฉันไม่รู้สึกถึงความเร็วหรือช้า

    ...............บางช่วงฉันก็ชะลอความเร็วลงและวิ่งในช่องทางซ้ายเพื่อจะได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทาง

    ................ต้นไม้ใบหญ้าทั้งสองข้างทางที่ผ่านเหมือนพวกมันกำลังอยู่ในช่วงแห่งความซึมเศร้า หม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวา แต่ฉันกับรู้สึกว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเดินทางของฉัน

    .............กระทั่งถึงแยกเขาฉกรรจ์ ฉันเลี้ยวขวาเข้าถนนตัดใหม่ที่จะตรงไปจังหวัดสระแก้ว สองข้างทางเป็นพื้นที่รกร้าง และเป็นพื้นที่ปลูกต้นยูคาลิปตัสของสวนป่ากิตติ

    ...........ถนนเส้นนี้มีแค่สองช่องทาง รถต้องวิ่งสวนทางกัน บางคันวิ่งแซงขึ้นมาต้องคอยหลบลงไหล่ทาง ต้องขับรถอย่างระมัดระวังกว่าเดิมหลายเท่า

    ...........ฉันเคยผ่านถนนเส้นนี้หลายครั้ง จึงพอรู้จังหวะในการขับ....เพียงแต่การมาของฉันในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง

    ................ครั้งก่อนๆฉันท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ เสียงหัวเราะและความสนุกสนานจากการพูดคุยกันดังอยู่ตลอดการเดินทาง

    ...........แต่ครั้งนี้ ฉันมาอย่างไม่มีจุดหมาย และมุ่งไปพร้อมกับความเงียบ

    ...........จากแยกที่ฉันเลี้ยวขวาเข้ามาไม่นานนัก ก็ถึงแนวป่าของต้นสักที่ขึ้นอยู่ทั้งสองข้างทาง ถนนเส้นนี้แคบ รถวิ่งค่อนข้างเร็ว และไม่ค่อยมีบ้านเรือของผู้คน การจอดรถข้างทางเป็นอันตรายมาก

    ..........ชั่วขณะนั้น ฉันเลี้ยวรถเข้าไปข้างบริเวณพื้นที่ว่างของแนวป่าต้นสัก ไกลจากถนนจนไม่ได้ยินเสียงรถ

    .........ฉันอยากจะอยู่ในมุมสงบสักชั่วขณะ

    ............ฉับกดปุ่มบังคับกระจกข้างรถลงทั้งสองข้าง ไอร้อนผะผ่าวอู้เข้ามาจนร้อนวูบ พร้อมกับดับเครื่องยนต์







    ............ต้นสักอายุประมาณสามปีถึงสี่ปีทอดต้นเรียงรายเป็นระเบียบ ใบของมันเป็นสีเหลืออมน้ำตาลประดับอยู่แค่บางกิ่งก้านของแต่ละต้น

    ...............ใบส่วนใหญ่ของมันร่วงลงเกลื้อนพื้นปะปนอยู่กับหญ้าแห้ง รอให้เวลาค่อยๆย่อยสลายซากไปตามวัฏฏะ

    ............ฉันมองลำต้นที่ตั้งตรงเป็นแท่งๆราวแท่งเทียนเรียงรายของป่าสักที่กินบริเวณกว้างอย่างเงียบงัน

    .........ใบแก่ของต้นสักหลุดร่วงจากกิ่งก้านเป็นระยะ และหมุนคว้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนร่อนลงสัมผัสพื้นอย่างแผ่วเบาและเงียบงัน

    .......ฉันเหม่อมองอย่างสงบนิ่ง
    ..........บรรยากาศยามนี้ คล้ายกับว่า โลกทั้งโลกระบายด้วยสีเหลืองปนสีน้ำตาล และสีเทาแต่งแต้มอยู่ทั่วไป ราวกับใครเอาสีไม่กี่สีนี้มาป้ายเอาไว้ แต่เป็นสีสรรที่ไร้ชีวิตชีวา

    ...........ทว่ายามนี้ ฉันกลับรู้สึกว่าบรรยกาศอย่างนี้แหละคือความงามอย่างแท้จริง ฉันอยากจะสงบนิ่งอยู่กับมันสักช่วงเวลาหนึ่ง

    .........อยากเก็บภาพนี้เอาไว้ในห้วงทรงจำ แม้ฉันจะเอากล้องถ่ายรูปติดมาด้วย

    .......แต่ยามนี้ฉันต้องการที่จะให้มันสดสวยอยู่แค่ในความทรงจำเท่านั้น อีกอย่างแม้ฉันจะถ่ายภาพบรรยากาศเหล่านี้เอาไว้ ฉันก็ไม่อาจถ่ายเอาจิตวิญญาณของมันที่ฉันได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งได้

    ...........บางครั้งฉันรู้สึกว่า...ภาพบางภาพมันควรจะอยู่ในความทรงจำเท่านั้น

    .........นั่น...ใบของต้นสักที่อยู่ใกล้ๆฉันร่วงลงมาอีกใบแล้ว มันหมุนคว้างอย่างสวยงามก่อนลงสัมผัสพื้นดิน ....แต่ทุกอย่างยังคงเงียบงัน

    ........บริเวณโดยรอบร้างไร้ผู้คน จะมีก็รถบนถนนที่ฉันมองเห็นอยู่ลิบแต่ปราศจากเสียง

    .............ความหวาดหวั่นบางอย่างผ่านเข้ามาในความรู้สึก

    .................ฉันไม่ใช่คนที่นี่ และขับรถลงมาจอดที่นี่ หากมีใครหรืออาจเป็นคนในถิ่นนี้ผ่านมาอาจจะคิดว่าฉันบ้าก็ได้ ที่จู่ๆก็ขับรถเข้ามาจอดอยู่ในที่เปลี่ยวร้างอย่างนี้

    .........หรืออาจมีคนจี้ก็ได้ ฉันคงกลับตัวและตั้งรับไม่ทันแน่

    ..........แต่ฉันก็เข้ามาอยู่ในนี้แล้ว

    ..........ฉันยังคงนั่งสบนิ่งอยู่ภายในรถ ปล่อยให้เวลาค่อยๆผ่านไป

    ..........จนกระทั่งแสงแดดเป็นมุมเฉียงกับท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงเห็นแสงของมันเป็นมุมเฉียงพุ่งผ่านเข้าไปสู่แนวของต้นสักที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าพุ่งไกลเข้าไปเรื่อยๆตามดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำ ให้รู้สึกถึงความลึกลับมากยิ่งขึ้น

    ............ขณะที่ความกลัวในความปลอดภัยก็ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกที่ละน้อย ราวกับมีบางสิ่งบางอย่าที่ไม่ปลอดภัยคืบคลานเข้ามา

    .............ไม่นานนักฉันก็สตาร์ทเครื่องยนต์ กดปุ่มบังคับกระจกรถทั้งสองข้างขึ้น แล้วค่อยๆขับออกไปช้าๆ

    .........ฉันอดที่จะเหลียวมองอีกครั้งไม่ได้
    ............ต้นสักเรียงรายอย่างสงบนิ่ง ใบแก่ของมันค่อยๆร่วงลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา

    ..........ฉันรู้สึกอาลัยอย่างบอกไม่ถูก...แต่ฉันก็หักพวงมาลัยรถขึ้นสู่ถนน แล้ววิ่งไปข้างหน้า ผ่านป่ายูคาลิปตัสที่ที่สภาพไม่ต่างจากสักที่ฉันเพิ่งจากมาเท่าไรนัก

    ...........หากไม่เย็นเสียก่อน ฉันจะเลี้ยวรถเข้าไป แล้วนั่งมองมันอย่างสงบนิ่งอีกสักพัก

    ..........อยากจะมองดูลำต้นที่เรียงรายแต่สูชะรูดเพราะเป้นไม้ที่โตเร็วของมัน

    ...........แล้วมองดูใบเรียวของมันที่คงเหลืออยู่บนกิ่งก้านไม่มากนัก ค่อยๆร่วงลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน.


    เกรียงไกร หัวบุญศาล
    ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
    ๐๒ :๕๔ นาฬิกา

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 10:13:00

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 09:34:48

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 09:34:04

    จากคุณ : huaboonsan - [ 11 เม.ย. 49 09:33:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป