CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    รักอลวน หัวใจอลเวง(ตอนที่ ๒)

    โดย
    -บุตรของเดือนและดาว-

             เช้านี้รักเดียวไม่ต้องเข้าสำนักงาน แต่ต้องโบกรถไปหามัคคุเทศก์มือฉมังที่ชื่อ “ปราบศึก” ตามคำบัญชาของธีระหัวหน้าแผนกจอมดุ  

    “พี่จีนะพี่จี...ไหนว่าจะคอยรับส่งเรา ดูอย่างวันนี้ก็ปล่อยให้ต้องโบกรถอีกจนได้” เธอบ่นกระปอดกระแปดกับตัวเองด้วยความโมโหที่โดนพี่ชายยึดรถโทษฐานที่ชอบขับไปเฉี่ยวชน

             เวลาเกือบชั่วโมงกว่ารถประจำทางจะพารักเดียวไปถึงข่วงประตูท่าแพซึ่งเนืองแน่นไปด้วยบริษัททัวร์ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ป่าหรือทัวร์เมือง  

             เธอหอบเอกสารพะรุงพะรังลงจากรถ ซึ่งทีแรกตั้งใจจะเดินเข้าไปในออฟฟิศทัวร์เบื้องหน้านั้นด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างสาวมั่นในละครทีวี แต่เพราะรองเท้าส้นสูงสามนิ้วที่เธอคัดสรรมาเป็นอย่างดีดันลื่นเมื่อสัมผัสกับพื้นถนนยามเช้าที่น้ำค้างเพิ่งแห้งทำให้เกือบหงายหลัง

             ชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้นละสายตาจากภาพนกพญาไฟบนจออินเตอร์เน็ตแล้วมองดูภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างขำ ๆ จนเมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาเขาจึงพบว่าเธอคือคนที่เขารออยู่

    “สวัสดีค่ะ” รักเดียวก้าวเข้าไปในบริษัททัวร์ตามที่ธีระบอก เธอหยุดยืนแล้วกวาดตาหาเจ้าหน้าที่สักคนเพื่อถามหาคนชื่อปราบศึก ครู่เดียวสายตาเธอก็สะดุดกับป้ายชื่อบนโต๊ะทำงานที่ระเกะระกะด้วยเอกสารกองพะเนินกับสายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ระโยงระยาง เธอรีบเดินเข้าไปกระพุ่มมือไหว้ทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อเขาเงยหน้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์ รักเดียวก็ใจหายวาบ

    “สวัสดีครับ”

    “คุณ...คุณเองเหรอที่ชื่อปราบศึก” เธออุทานชื่อนั้น อ้าปากค้างอย่างตกใจ...ให้ตายเถอะ ทำไม่โลกถึงได้กลมอย่างนี้นะ...รักเดียวอยากเอามือหยิกแก้มตัวเองเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้ฝัน

    “ครับ ผมเอง...ยินดีครับที่ได้เจอกันอีก” เขาฉีกยิ้มกว้าง

    “เชิญนั่งสิ” เขาทำทีต้อนรับขับสู้ ผายมือให้เธอนั่ง เธอจำต้องนั่งลงตรงหน้าเขา พยายามกลั้นใจทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

    “ไหนล่ะครับ เอกสารที่คุณธีระว่าจะฝากคุณมาให้ผม” เขาถามขึ้น ทำให้รักเดียวเลิกคิดว่านี่คือความฝัน เธอรีบหยิบเอกสารจากแฟ้มส่งให้เขาด้วยหัวใจสั่น ๆ เพราะยังตกใจไม่หาย

    “ผมคิดโปรแกรมการเดินทางไว้ให้แล้ว คุณลองเอาไปศึกษาดู ถ้าคุณหรือคุณธีระขัดข้องตรงไหนก็โทรมาบอกผมจะรีบปรับเปลี่ยนให้” เขายื่นเอกสารโปรแกรมการเดินทางที่ว่านั้นมาให้ เธอรับมาอ่านด้วยจิตใจที่ไร้สมาธิ อ่านได้ใจความคร่าว ๆ ว่าโปรแกรมการเดินทางนี้จะเริ่มขึ้นเช้าตรู่ของวันศุกร์...อีกสามวันข้างหน้า...มีโปรแกรมพักที่หมู่บ้านชาวเขาสามวันสามคืน มีกิจกรรมเดินป่าตามเส้นทางชาวเขาตลอดทั้งสามวัน...ตายล่ะ เธอจะเดินไหวได้อย่างไร สมัยเรียนก็เกลียดวิชาพลศึกษาเป็นที่สุด จะยอมออกแรงวิ่งก็เฉพาะตอนตื่นสายกลัวไปเรียนไม่ทันเท่านั้นแหละ...

    “ส่วนเรื่องค่าเสียหายที่คุณยังไม่ได้ชดใช้ให้ผมน่ะ...ผมแจกแจงรายละเอียดเอาไว้แล้ว...นี่ไง” เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ รักเดียวเกือบจะหงายหลังตกเก้าอี้เมื่อไล่สายตาอ่านพบว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอชนท้ายรถเขาเลยสักนิด...เชื่อฟังและทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง ห้ามมีข้อโต้แย้ง ห้ามเถียง ห้ามชวนทะเลาะ และต้องอยู่ในกฎระเบียบที่ผมกำหนดขึ้นตลอดสามวันของการเดินทาง...

    “จะบ้ารึไงคุณ...ฉันไม่ใช่นักเรียนในปกครองของคุณสักหน่อยนะ ทำไมต้องมีเงื่อนไขบ้าบออย่างนี้ด้วย”

    “บ้าบออย่างนั้นหรือ...ถ้างั้นคุณก็ไปหามัคคุเทศก์คนอื่นเถอะ...เรื่องง่าย ๆ แค่นี้คุณยังทำไม่ได้ ผมคงไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยตลอดการเดินทางให้ได้หรอก”

    “อ้ะ...ก็ได้...ก็ได้ ฉันจะอดทนทำตามเงื่อนไขของคุณ ไม่ใช่เพราะฉันกลัวหรอกนะ แต่เพราะไม่อยากเสียเวลาหามัคคุเทศก์คนอื่น” เธอร้อนตัวบอกเขา ทั้งที่ใจจริงก็กลัวสายตาคมกริบของเขาจนมือไม้เย็นเฉียบ

    “อ้อ เหรอ” เขาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พอ ๆ กับรักเดียวที่ตอนนี้ได้แต่กัดฟันกรอดจนกระทั่งโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้นเป็นเสียงเรียกเข้าสุดโรแมนติก จนสามารถลดอารมณ์บูดบึ้งของเขาลงได้

    “ครับผม...อ๋อ ได้สิจ๊ะ...ผมจะรีบไปรับคุณนะ...สวัสดีครับ” น้ำเสียงที่เขากรอกลงไปตามสายนั้นเมื่อเทียบกับตอนที่คุยกับรักเดียว แทบจะเรียกได้ว่า “ฟ้ากับเหว...นรกกับสวรรค์” เลยทีเดียว

             ปราบศึกวางสายจากพลอยสีด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น เพราะเธอเพิ่งชวนเขาทานข้าวเย็นที่บ้าน เขารีบตอบรับโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย ก่อนจะหันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่รักเดียวที่ยังนั่งหน้าบูดอยู่เหมือนเดิม

    “สรุปว่าคุณยอมรับข้อเสนอของผมได้ใช่ไหม” เขาถามเรื่องทียังพูดค้างอยู่

    “ฮื่อ” เธอตอบทื่อ ๆ แอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้...ก็สีหน้าและแววตาเขาในตอนนี้ช่างผิดกับตอนที่คุยโทรศัพท์โดยสิ้นเชิง คงคุยกับแฟนสิท่า ถึงได้จ๊ะจ๋ากันหวานเลี่ยนขนาดนั้น...

    “โอเค งั้นเอาตามนี้ล่ะนะ ถ้าสงสัยอะไรค่อยโทรมาตามเบอร์ที่ให้ไว้ละกัน” เขายักไหล่แล้วหันกลับไปสนใจภาพนกนานาชนิดบนจออินเตอร์เน็ตตามเดิม

    “ก็ได้...ค่ะ” รักเดียวตอบเคือง ๆ รีบเก็บเอกสารใส่แฟ้มลวก ๆ จนมันยับไม่เป็นท่า ปราบศึกมองรักเดียวเดินกลับออกไปด้วยความไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่รับปากธีระว่าจะเป็นมัคคุเทศก์ให้เธอในคราวนี้

             แต่คนที่เห็นจะลำบากใจไม่น้อยไปกว่าเขาก็คือรักเดียว เพราะกลายเป็นว่าเธอต้องยอมอยู่ภายใต้เงื่อนไขบ้า ๆ ของเขาโดยไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย ...อย่างที่ธีระยื่นคำขาดมานั่นแหละ ถ้าไม่ทำงานนี้ เธอก็ต้องกลับไปนั่งเทียนเขียนเหมือนเดิม เขียนได้ก็แต่คอลัมน์กระจอก ๆ ไว้ขัดตาทัพยามฉุกเฉินที่ไม่มีสกู๊ปจะลงเท่านั้น...

    “เวรกรรมแท้ ๆ เลย ทำไมถึงต้องมาร่วมงานกับตาบ้านั่นด้วยนะ ไหนจะกฎระเบียบอะไรนั่นอีก...บ้าชัด ๆ” รักเดียวบ่นอย่างเดือดดาน ใจร้อนรุ่มจนเหงื่อไหลไคลย้อยขณะยืนรอโบกรถประจำทางกลับสำนักงานท่ามกลางแสงแดดอ่อนต้นเดือนธันวาคมที่แสนจะอุ่นสบาย

             พอกลับถึงสำนักงานรักเดียวก็ตรงเข้าไปเคาะประตูห้องหัวหน้าแผนกอย่างกระวนกระวายใจ นอกจากจะนำเอกสารมาให้ธีระแล้ว เธอยังมีเรื่องอยากถามเขาด้วย

    “หัวหน้านึกยังไงคะ ถึงได้ติดต่อมัคคุเทศก์คนนั้นให้รัก” เธอสาดคำถามแรกใส่ธีระด้วยแววตาเอาเรื่อง ก่อนจะยื่นเอกสารที่ได้จากปราบศึกให้เขาในสภาพยับยู่ยี่และไม่เป็นระเบียบ

    “อะไรของคุณฮึ...คุณไม่พอใจมัคคุเทศก์ที่ผมติดต่อให้เหรอ” ธีระถามสีหน้ามึนงง

    “เปล่าหรอกค่ะ...เพียงแต่หัวหน้าแน่ใจเหรอคะ ว่าจะให้เขามาร่วมงานกับเราจริง ๆ แล้วหัวหน้าเอาอะไรมาตัดสินคะว่าเขามีความสามารถพอ”

    “เขาเป็นมัคคุเทศก์เดินป่ามาเกือบห้าปี คุณคิดว่ายังไม่เพียงพออีกเหรอ”

    “แล้วเขาจะไว้ใจได้เหรอคะ...หน้าตาดุอย่างกับมหาโจรอย่างนั้น รักเป็นผู้หญิงนะคะ พี่หนุ่ยกับพี่โอ๋ก็เป็นผู้หญิง เดินทางรอนแรมไปกับเขา...ไม่น่าไว้ใจซะเลย” รักเดียวบอกด้วยน้ำเสียงมาดมั่นและเอาจริงเอาจัง

    “ทำไมจะไว้ใจไม่ได้ล่ะ ผมรู้จักเขาดี ปราบศึกน่ะ...หลานชายผมเอง” ธีระพูดจบรักเดียวก็แทบจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เธอหลุดปากนินทาเขาไปมากมาย เพิ่งรู้ว่าที่แท้เขาก็คือหลานชายหัวหน้าตัวเอง...บ้าจริง ๆ เลย นอกจากโลกจะกลมจนน่าเวียนหัวแล้ว สวรรค์ยังไม่เข้าข้างเธออีกด้วย...

             รักเดียวกลับมานั่งที่โต๊ะทอดสายตามองทะลุกระจกใสแจ๋วไปมองฟ้ามองต้นไม้อย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นฉุดกระชากเธอขึ้นจากภวังค์ความเบื่อหน่ายได้เป็นอย่างดี

    “สวัสดีจ๊ะพลอย” ทันทีที่รู้ว่าเป็นพลอยสีรักเดียวรีบกล่าวทักทายด้วยความรู้สึกแช่มชื่นขึ้น

    “สวัสดีจ๊ะ งานยุ่งอยู่หรือเปล่า ฉันโทรมารบกวนไหมเนี่ย”

    “เปล่าเลยจ้ะ ตอนนี้ว่าง เพิ่งกลับจากติดต่องานข้างนอก หัวเสียชะมัดที่จะต้องร่วมงานกับคนบ้า ๆ แบบนั้น” รักเดียวถือโอกาสระบายความอัดอั้นกับเพื่อนเสียเลย

    “ทำไมเหรอ มีใครหน้าไหนกล้าทำให้สาวสวยอย่างเธอหัวเสียได้”

    “ก็งานใหม่ของฉันนะสิ...ช่างเถอะ...ว่าแต่พลอยมีอะไรหรือเปล่า” รักเดียวไม่อยากสาธยายเพราะมันยิ่งจะทำให้เธอเจ็บใจมากขึ้นไปอีก พลอยสีจึงไม่ได้ซอกแซกอะไรต่อ

    “เย็นนี้ว่างไหม” พลอยสีรีบเข้าเรื่อง

    “ว่างจ๊ะ มีอะไรเหรอ” เธอตอบเสียงสดใส

    “บังเอิญว่าคุณพ่อคุณแม่คิดถึง อยากชวนมาทานข้าวที่บ้าน อีกอย่างหนึ่ง...ฉันอยากจะแนะนำแฟนให้เธอรู้จักด้วย คนที่เคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ไงล่ะ”

    “อ้อ...พ่อสุภาพบุรุษสุดที่รักคนนั้นนะเหรอ...ดีสิ ฉันเองก็เหงา ๆ เบื่อที่จะต้องกินข้าวเย็นกับพี่จีแค่สองคน”

    “ถ้างั้นก็ชวนพี่จีของเธอมาด้วยสิ”

    “ฮื่อ...ก็ดีเหมือนกัน ถึงยังไงพี่จีก็ต้องเป็นสารถีขับรถให้ฉันอยู่แล้ว เพราะช่วงนี้พี่จียึดรถทำโทษค่าที่ฉันชอบเอาไปเฉี่ยวชนน่ะ” รักเดียวบอกขำ ๆ

    “แล้วเจอกันที่บ้านฉันตอนหนึ่งทุ่มนะ”

    “โอเคจ้ะ”

             หลังวางสายจากรักเดียว พลอยสีก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทอดอารมณ์นึกถึงอาหารจานโปรดของเพื่อนและแฟนอย่างมีความสุข

    “อาหารไทย หรืออาหารฝรั่งดีนะ...แต่ปราบออกจะหัวโบราณคงไม่ชอบอาหารฝรั่ง ส่วนยายรักก็ชอบกินพาสต้า เอ้...ทำอะไรให้กินดีนะ” พลอยสีเท้าคางนึกรายการอาหารที่จะทำเย็นนี้พร้อมลงมือจดรายการข้าวของที่จะต้องซื้อเพิ่ม

             หลังหมดชั่วโมงสอนในช่วงบ่ายแก่ ๆ พลอยสีขับรถมาซื้อผักผลไม้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน เธอใช้เวลาไม่นานนักก็ได้ผักผลไม้หลายอย่างตามต้องการ

             เธอเดินยิ้มอย่างอารมณ์ดีกลับมาที่รถ แต่เมื่อพบว่ามีรถยนต์อีกคันจอดขวางอยู่ก็อารมณ์เสียขึ้นมาฉับพลัน เหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วยแต่ก็ไม่มีแม้พนักงานรักษาความปลอดภัยซักคน ก่อนจะกัดฟันลงมือเลื่อนรถคันนั้นเอง

    “คนอะไรจอดรถไม่มีมารยาท” พูดพลางพยายามออกแรงดันรถให้พ้นทาง แต่ไม่มีวี่แววว่ารถจะขยับแม้สักนิด

    “ให้ผมช่วยนะครับ” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะปราดเข้ามาช่วยผลัก ชั่วนาทีเดียวเขาก็สามารถดันรถให้เลื่อนออกไปจนพ้นทาง

    “ขอบคุณมากเลยค่ะ นี่ถ้าไม่ได้คุณช่วย ฉันคงแย่แน่ ๆ มีนัดต้องรีบไปซะด้วย” พลอยสียกมือไหว้ขอบคุณเขาอย่างอ่อนช้อยจนชายหนุ่มอดเขินไม่ได้

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขายกมือเกาหัวแก้เก้อ

             พลอยสีสบตามองดวงตาอ่อนโยนของเขาอยู่เนิ่นนานก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัว แล้วที่ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันกลับขึ้นรถและขับออกไปคนละทิศละทาง เธอนึกโกรธตัวเองที่ลืมเอ่ยถามชื่อผู้ชายคนนั้น แต่เธอจำหน้าตาเขาได้อย่างแม่นยำ ถ้ามีโอกาสเจอกันอีก เธอจะไม่ลืมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อเป็นการตอบแทน...

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 18:58:18

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 49 18:56:56

    จากคุณ : บุตรของเดือนและดาว - [ 11 เม.ย. 49 18:52:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป