CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คนใจบุญ

    คนใจบุญ
                                                                             
                       
                           รถโดยสารประจำทางสายนั้นแล่นมาจอดที่สนามหลวง  ด้านกระทรวงยุติธรรม ผมลงจากรถคันนั้นแล้วก็ข้ามถนนราชดำเนิน เดินผ่านถนนผ่ากลาง  เข้าถนนพระจันทร์ที่อยู่ระหว่างวัดมหาธาตุกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลาะเลียบกำแพงสูงใหญ่ มุ่งหน้าไปท่าพระจันทร์ เพื่อลงเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขึ้นท่าพรานนก  

                          สองฟากถนนทั้งด้านวัดและมหาวิทยาลัย ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนา จนแสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องลงมาไม่ถึง  บนทางเท้า ในสมัยที่เทศกิจยังไม่ได้เข้มงวดเหมือนเดี๋ยวนี้ เต็มไปด้วยแผงสินค้าแบกะดิน มากมายหลายสิบเจ้า  

                       ขณะที่ผมกำลังสนใจผู้ซื้อที่ใช้กล้องขยายดูพระบูชาองค์ใหญ่ หน้าตักร่วมคืบอย่างละเอียด ทั้งด้านหน้าด้านหลัง แม้กระทั่งใต้ฐาน

    ก็มีหญิงคนหนึ่ง อายุไม่น้อยแต่ก็ยังไม่แก่ หน้าตาเรียบร้อยแม้ว่าผมเผ้าจะรุงรังอยู่สักหน่อย แต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดา  สะพายกระเป๋าใบย่อม ๆ มีข้าวของบรรจุเต็มจนโป่ง เธอไม่ได้เดินมาเหมือนอย่างผู้คนทั่วไป  

    แต่เธอเคลื่อนที่ด้วยสะโพกและมือทั้งสอง  ดูคล้ายกับว่าจะถัดไป เพราะเท้าทั้งสองข้างบิดเก  ไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างเราทั้งหลาย  

                       ผมเองก็มองเห็นไม่ชัด ว่ามันเป็นลักษณะอย่างไรแน่  เธอเลื่อนตัวมาหยุดอยู่เป็น   ระยะ  ๆ ไม่ได้พนมมือ ไม่ได้พูดจาขอร้องอะไร แต่ใช้สายตามองตรงไปยังดวงตา  ของผู้ที่เธอต้องการจะสื่อความรู้สึกด้วย  

    บางคน ทั้งผู้ขายและผู้ที่กำลังเดินชมสินค้า  พากันเบือนหน้าหลบหลีกสายตาที่ใสซื่อ มีแวววิงวอนนั้น  เสไปทำอะไรอย่างอื่น หรือเดินเลี่ยงหลบไป  

    แต่ก็มีบางคนที่ควักเหรียญบาทใส่ลงในมือข้างที่ว่าง เพราะอีกมือหนึ่งติดอยู่กับรองเท้าฟองน้ำ ที่ใช้รองยันพื้นเวลาเคลื่อนตัวแทนเท้าทั้งสอง  

                       ผมเหลียวไปเห็นเธอโดยบังเอิญ  เพราะอยู่ด้านหลังผมไปไกลพอควร  ผมชะลอการ เดินแวะดูโน่นดูนี่ พลางควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง พยายามหาเหรียญอันเล็กซึ่งเป็นเหรียญบาท  ก็ไม่มีทั้งสองข้าง รวมทั้งในกระเป๋าเสื้อด้วย

    และที่ติดมือขึ้นมาก็คือเหรียญห้าบาท ซึ่งทำให้ผมต้องชะงัก

    ญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่งสอนไว้ว่า

    " เช้าขึ้นให้เอาเหรียญห้าสิบสตางค์  หรือเหรียญบาท หรือมากกว่าก็ได้ ใส่ในกระป๋องหรือกระปุก ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน  เพื่อสะสมไว้ทำบุญ เมื่อมีใครเรี่ยรายผ้าป่า   หรือกฐิน  ก็ให้เขาไปตามสมควร  หรือไม่ก็รวบรวมเอาไปทำบุญใส่ตู้รับบริจาคตามวัด  เพื่อช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟฟ้า  ของวัดนั้น ๆ  เดือนหนึ่งก็ไม่กี่บาท ไม่เดือดร้อนอะไรแต่ได้ทำจิตให้เป็นบุญเป็นกุศลทุกวัน การบริจาคทำบุญหรือทำทาน เป็นการขจัดความโลภให้ลดน้อยลง "  

                       ผมก็เชื่อท่าน แต่สะสมไว้แล้วก็ไม่ค่อยได้เอาไปทำบุญที่ไหน  ใครเรี่ยรายเรื่องอะไร ก็ควักธนบัตรใส่ซองไปทุกที ถ้าเกิดขาดแคลนค่ารถเมล์ หรือค่าโทรศัพท์สาธารณะ  ก็กลับมาควักเอาไปใช้เสียอีก  

    ต่อมาผมจึงตั้งใจของผมเองว่า ไม่ต้องเอาเงินใส่กระป๋องหรือกระปุกก็ได้  แต่พยายามทำทานให้ได้ทุกวัน พบขอทานคนไหน ที่ไหน ถ้ามีเหรียญบาทก็รีบควักให้ไปทันที

    โดยไม่ต้องมัวลังเลว่าพิการหรือเปล่า ไปเช่าลูกใครเขามาอุ้มหรือเปล่า  มีรถตู้ขนเอามาส่งตามจุด เหมือนอย่างที่เขาเล่า ๆ กันหรือเปล่า

                       ให้เพราะอยากจะให้เท่านั้นก็พอใจแล้ว  เขาจะเอาไปทำอะไรก็ช่างเขา  ถ้าเอาไปเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัว ก็เป็นบุญของเขา  ถ้าเอาไปใช้ในทางที่ผิด ก็เป็นกรรมของเขาเอง เราไม่เกี่ยว  

    ผมจึงถือปฏิบัติมาเป็นประจำวัน จนบางครั้งไปแถวศูนย์การค้าใหญ่ ๆ  แค่ขึ้นสะพานลอยฟากนี้ ข้ามไปลงฟากโน้นเพียงเที่ยวเดียว หมดไปเป็นสิบบาทก็เคย  นอกจากเหรียญบาทจะหมดกระเป๋าเสียก่อน

    แต่ก่อนผมก็ให้คนละบาทเดียวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันที่ค่ารถเมล์ขึ้นราคาอีกสองบาททุกสาย และค่าเรือข้ามฟากขึ้นเป็นสองบาท ผมจึงขึ้นบ้างเป็นรายละสองบาทเหมือนกัน

                         แต่ถ้าเป็นประเภทถามหนทางไกล แล้วขอค่ารถหรือค่าข้าวอย่างนี้  ผมก็มักจะโบ้ย ให้ไปขอคนอื่นบ้าง  เพราะผมก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน ทำนองนี้

                       ผมหยุดเดินรอแม่สาวคนที่กระถดตามมาข้างหลัง ด้วยความลังเลว่าจะตัดใจให้     ทีเดียวห้าบาทจะเหมาะสมหรือไม่  กระดากตัวเองว่าถ้าเป็นเด็กหรือคนแก่  ก็เคยให้ทีละบาท สองบาท คราวนี้รู้สึกว่าจะใจบุญเกินไปหน่อยกระมัง

    พอดีเธอก็เลื่อนตัวมาถึง จึงหย่อนเหรียญห้าบาท ที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ลงในมือที่ชูขึ้นนั้น ทำให้เธอต้องเหลียวมามองตามมือของผม  ซึ่งเธอไม่ได้ตั้งใจจะขอ  

    ผมรีบหันกลับแล้วเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม  เพราะไม่อยากประสานกับสายตาที่น่าสมเพชนั้น  

                       ผมเดินมาจนถึงท่าเรือข้ามฟากไปพรานนก ซึ่งเขาเรียกว่าท่าวังหลัง พอผ่านช่องทางที่จะเสียค่าเรือ ที่มีเครื่องกั้นเสียงดังแก๊ก ๆ ผมก็ล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบเงินให้เป็นค่าเรือ แต่กระเป๋ากางเกงว่างเปล่า ล้วงทุกกระเป๋าก็ไม่เจอ

    เพราะมีอยู่เพียงเหรียญเดียว ที่ให้สาวผู้พิการคนนั้นไปแล้ว ชักเกรงใจคนข้างหลัง จึงล้วงหยิบธนบัตร ในกระเป๋าหลังออกมาส่งให้  

    เจ้าหน้าที่หญิงเงยหน้าขึ้นค้อนขวับ แล้วก็ทอนเหรียญบาทมาให้ทั้งหมดเต็มกำมือ

    คราวนี้ผมมีเหรียญ สำหรับให้ทานตั้ง ๔๘ บาทแน่ะครับ.                              
           
                                                                        ##########

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 12 เม.ย. 49 06:25:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป