CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เมื่อหมอ ... เจอผี ตอนที่ 2 : อาถรรพ์ที่เขาชนไก่

    ตอนที่ 2 : อาถรรพ์ที่เขาชนไก่

    ย้อนไปสมัยเรียนมัธยม เหล่าวัยรุ่นชายทั้งหลายส่วนมากจะมีกิจกรรมหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือการเรียน ร.ด. หรือ รักษาดินแดนนั่นเอง ผมและเพื่อนๆได้เรียน 3 ปีครับ โดยตอนที่จบการศึกษาของแต่ละปีจะต้องออกฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งการฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่นั้นหากใครเคยไปจะรู้ว่า โหด มันส์ ฮา มากๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก โดยเฉพาะตอนปี 3 ที่ต้องไปถึง 7 วัน 6 คืนทีเดียว

    ผมและเพื่อนๆคงจะมีแต่ความเหนื่อยและสนุกแน่ๆ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกเสียก่อน เหตุการณ์ที่ทำให้ผมและเพื่อนถึงกับหวาดกลัวต่อความลี้ลับของป่าเขาทีเดียว


    เช้ามืดวันออกเดินทางพวกเรารวมตัวกันที่กรมการรักษาดินแดนตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพื่อจะเตรียมขึ้นรถบัสที่ครูฝึกจัดเตรียมไว้ให้ ถ้าผ่านการฝึกภาคสนามในปีสุดท้ายนี้แล้วก็ถือว่าเรียนจบกันซะทีสำหรับ ร.ด. ส่วนใครจะติดใจเรียนต่อปี 4 ปี 5 ก็ตามใจเถอะนะ

    กลุ่มที่ไปฝึกคราวนี้ส่วนมากก็มีแต่เด็กโรงเรียนผม จะมีที่อื่นมาปนบ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น

    “ ไงวะเพื่อน เตรียมตัวเตรียมใจรึยัง ” พลเพื่อนเกลอเดินทักมาแต่ไกล ปลุกผมให้ตื่นจากห้วงคิดคำนึง

    “ เออ แล้วมืงล่ะ ” ผมทักกลับไปอย่างสนิทใจ ด้วยความเป็นโรงเรียนชายล้วนก็เลยพูด กูๆมืงๆ กันจนเคยปาก

    “ สบายว่ะ แต่กลัวอย่างเดียว ” พลพูดพลางปลดเป้ทหารลงจากบ่ามาวางไว้ที่พื้น

    “ กลัวอะไรวะ ไอ้พล ” ไอ้ขวดกับไอ้ป่านเดินเข้ามาสมทบ

    “ แม่กูไม่ให้กูใส่พระไป บอกกลัวหาย ” พลตอบพลางเอามือคลำแถวหน้าอก

    “ ห่วงพระแต่ไม่ห่วงลูกฟ่ะ แม่ตู ”

    “ ไม่มีอะไรหรอก พวกกูก็ไม่ใส่ กลัวหายอย่างแม่มืงบอกเหมือนกัน ”ผมปลอบใจเพื่อน  ไอ้เจ้าพลมันเป็นโรคกลัวผีจนใครๆก็รู้กันไปทั่ว

    แล้วมันจะมีเวลาไปกลัวผีเหรอวะนี่ กลัวแต่จะเหนื่อยจนหลับตื่นไม่ทันเรียกแถวน่ะสิ

    ยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อ ครูฝึกก็เป่านกหวีดเรียกรวมพล พวกเราทั้งสี่ต่างคว้าเป้ใครเป้มันวิ่งเพื่อไปเข้าแถวทันที เพราะได้ยินครูฝึกตะโกนหลังเป่านกหวีดว่า “ จับคนช้าห้านาย ” หมายถึงจะเอาห้าคนสุดท้ายมาทำโทษน่ะครับ


    เมื่อพวกเราก้าวลงจากรถบัส ก็ต้องเผชิญความร้อนของ จ. กาญจนบุรี นอกจากนี้แต่ละนายยังได้รับอุปกรณ์ถ่วงเพิ่มน้ำหนัก นั่นคือปืน! ใช่ครับ ปืน รู้สึกจะเป็น H.K.33 ( ตรงนี้ไม่แน่ใจครับเพราะมันนานมากแล้ว ) แล้วการฝึกก็เริ่มขึ้น

    ช่วงแรกก็ฝึกตามปกติครับ วันแรกพื้นฐาน วันที่สอง ยิงปืน เหนื่อยกำลังดี พักทีไรต้องเสียตังค์ซื้อพวกเครื่องดื่มเกลือแร่ทุกที แม่ค้าก็พวกภรรเมียครูฝึกล่ะครับ พอเข้าสู่วันที่สามเหล่าชายชาติทหารจำเป็นก็ต้องทิ้งค่ายพร้อมสัมภาระไว้ที่เต็นท์ เอาไปแต่ของมีค่าติดตัวเท่านั้น ใช่ครับ พวกเราต้องเข้าไปฝึกกลางป่า นอนกลางป่า ในวันที่สาม สี่ และห้า ของการฝึกภาคสนาม

    วันที่สาม ฝึกการเข้าตีกลางวัน วิ่งๆหมอบๆคลานๆ จนหมดวัน

    วันที่สี่ ฝึกตั้งรับครับ หลับอยู่ในหลุมเพาะนั่นแหละครับ สองวันนี้ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยแต่พวกเราไม่กลัว เพราะมีเครื่องดื่มเกลือแร่ตามมาขายถึงในป่า อะโห ! อะไรมันจะการตลาดขนาดนี้ฟะเนี่ย

    วันที่ห้า กลางวันครูฝึกพักเราสบายๆ นั่งสัปหงกฟังแต่เรื่องยุทธวิธี สลับกับตื่นมาหัวเราะแก๊กลามกที่บรรดาครูฝึกหามาเล่าสอดแทรก โดยครูทหารหาญบอกให้เก็บแรงไว้คืนนี้ หลักสูตรในคืนนี้คือ การรบพิเศษ เข้าตีจู่โจมในเวลากลางคืนทำนองการรบแบบกองโจร

    โอ้ววว ฟังชื่อก็มันส์แล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะครับว่าเหตุที่มันไม่ควรเกิด มันก็มาเกิดเอาจนได้สิน่า


    คืนนั้น พวกเราประจำหมู่ของตน ซึ่งหมู่จะถูกรวมไปเป็นหมวดอีกที รู้สึกจะหมู่ละสิบนาย และหมวดละห้าหมู่ครับ พล ขวด ป่าน และผมอยู่หมวดเดียวกันแต่คนละหมู่ แต่ไอ้ทั้งหมวดมันก็รู้จักกันเกือบหมดเพราะเป็นโรงเรียนเดียวกัน

    การฝึกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พรายน้ำบนนาฬิกาบอกเวลา ตี 1  หมวดผมนั่งรวมกันเพื่อรอ หมวดหลังๆที่ยังฝึกไม่เสร็จ เสียงปืนจากด้านหลังยังดังเป็นระยะๆ คงอีกสักพักใหญ่ล่ะกว่าจะได้กลับ

    นั่งเพลินเคลิ้มๆ เจ้าพลที่นั่งติดผมเอาศอกกระทุ้งสีข้างเล่นเอาผมสะดุ้ง
    “ อะไรวะ” ผมถามเสียงกระซิบ เพราะเพื่อนในหมู่ส่วนใหญ่นั่งหลับนกกันอยู่ ตอนนี้เรานั่งคละหมู่กันแล้วครับ เพราะเป็นช่วงสบายๆรอเวลากลับฐาน

    นักศึกษาวิชาทหารอกสามศอกแต่ดันปอดแหกอึกอักไม่ยอมตอบผม

    “ อะไรของมืงวะ ” ผมบ่นพร้อมๆกับหลับพักสายตาสักครู่
    “ เดี๋ยว..ส..ส.สิวะ เมื่อกี้ ก.. ก.. กูเห็นอะไรแปลกๆๆๆ ” น้ำเสียงพยายามจะกระซิบ แต่มันทั้งสั่นทั้งรัว

    “ มืงเห็นอะไรวะ ไอ้พล มืดออกอย่างงี้ มือกูเองกูยังต้องเพ่งเลย ” มันมืดจริงๆนะครับ

    “ กูเห็น เพราะเมื่อกี้กูเอาไฟฉายมาฉายเล่น ” อ้าว ! เวรล่ะอยู่ดีๆเจือกเปิดไฟส่องเล่น

    “ มืงคอยดูนะ กูจะฉายไปที่กิ่งไม้นั่นนะ ” เพื่อนๆแถวนั้นสองสามคนผงกหัวขึ้นมาดูด้วยความสนใจ

    พรึ่บ ! แสงจากหลอดไฟสว่างพุ่งฉายไปยังกิ่งของต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ห่างไปราวสักไม่เกินสิบเมตร

    สายตาทุกคู่ที่ตื่นอยู่มองตามไป
    ไม่มีอะไรที่กิ่งไม้นั้น ไม่มีอะไรนอกจากกิ่งและใบอันเป็นธรรมดาของพฤกษาทั่วๆไป

    “ ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า ตาฝาดแล้ว กลัวจนขี้ขึ้นหัวนี่หว่า” ผมล้อเพื่อนรัก

    “ เดี๋ยวกูจะลดแสงลงมาที่โคนต้น แต่มืงจ้องที่เดิมนะดูดีๆนะเว้ย ” น้ำเสียงสั่นเทาหนักกว่าเดิม

    ลำแสงค่อยๆถูกลดระดับลงมาที่โคนต้น
    ผมจ้องเขม็งไปที่กิ่งไม้เดิม

    พระมาโปรดเถิด !! มีศรีษะขาวๆของคนแก่ค่อยๆโผล่ออกมาจากด้านหลังของกิ่งไม้ใหญ่นั้น

    เฮ้ย ! อุ๊บ ! เสียงใครหลายคนที่มองตามอยู่อุทานออกมา
    เท่านั้นแหละครับ ความโกลาหลก็บังเกิด ไฟฉายที่มีแทบทุกดวงถูกเปิดพร้อมๆกัน นอกจากส่วนใหญ่จะฉายที่ไม้ใหญ่แล้วอีกส่วนยังฉายไปกราดออกสู่ความมืดรอบๆตัวด้วยสัญชาตญาณระวังภัย

    แกรก … แกรก … แกรก เสียงฝีเท้าย่ำใบไม้แห้งดังออกมาจากทางโคนต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า

    โดยมิได้นัดหมาย ไฟฉายทั้งหมด ส่องไปที่ต้นเสียงทันที

    ครูฝึกนั่นเอง พวกเราโล่งอกเป็นกองเพราะการที่ครูฝึกมาแปลว่าการฝึกจบลงแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจะได้กลับฐานใหญ่แล้ว

    “ ไป กลับได้ ฉายไฟกันทำไมเยอะแยะ ” ครูฝึกสั่ง ไม่มีพวกเราคนไหนกล้าเล่าให้ครูฟังเพราะหากเล่าไปแล้วเกิดมีรายการท้าพิสูจน์มันจะยุ่งกันใหญ่

    “ พวกคุณตามหมวดหน้าไปนะ เห็นไหมเขาส่งสัญญาณมาแล้ว ” เบื้องหน้าไม่เกินห้าสิบเมตรมีสัญญาณไฟฉายวนเป็นรูปวงกลม

    “ จำไว้ห้ามฉายไฟโดยไม่จำเป็น คิดซะว่ามืดขนาดนี้ถ้ามีข้าศึกซุ่มอยู่แล้วดันเปิดไฟก็เสร็จโก๋ ”

    “ เดี๋ยวครูจะลงไปคุมหมวดสุดท้าย เพราะครูหมวดนั้นไปส่งนักศึกษาบาดเจ็บแขนเดาะที่โรงพยาบาล พวกเธอเดินตามกลุ่มหน้าดีๆนะ หรือจะไปรวมกันเลยก็ได้ เพราะทุกหมวดจะมีครูฝึกคุมอยู่”

    “ ครับผม ” หัวหน้าหมวดรับคำแข็งขัน พร้อมส่งสัญญาณไฟไปยังหมวดหน้าแล้วออกเดินไปในทันที

    ครูฝึกย้อนกลับไปแล้วเหลือแต่พวกเราเดินท่ามกลางความมืด ไม่มีใครเปิดไฟสักคนเพราะครูสั่งไว้ ขืนเปิดแล้วครูที่ลงไปคุมหลังเห็นเข้าล่ะก็ สงสัยคงโดนทั้งหมวดแน่

    พวกเราเดินตามหมวดหน้าที่เห็นเป็นเงาคนตะคุ่มๆ 40 –50 คน พยายามเดินให้ทันแต่ก็ไม่ทันซะที

    “ สงสัยครูกลุ่มนั้นลงโทษให้วิ่งกลับ โหดชิบเป๋ง ”ไอ้ขวดพูดติดตลก

    เวลาผ่านไปนานมากพวกเรากลับกันไม่ถึงแคมป์เสียที และไอ้หมวดข้างหน้าก็ยังเดินไม่หยุดผมดูนาฬิกาพรายน้ำที่ข้อมือ ตีสามสิบห้านาที

    ถึงทางเลี้ยวลงเขา พวกเราซึ่งอยู่ที่สูงกว่าจึงสามารถมองเห็นกลุ่มนำได้
    ด้วยแสงจันทร์เสี้ยวเดือนแรม แม้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็สะท้อนวัตถุบางอย่างในกลุ่มนำได้

    ดาบ !! ดาบหรือเปล่า ในความมืดเช่นนี้ไม่แน่ใจนัก แต่ทุกคนเงียบกริบ ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด ??

    หัวหน้าหมวดตัดสินใจเปิดไฟฉายส่องทันที พร้อมๆกับเพื่อนแถวหน้าอีกสามสี่คนก็เปิดไฟส่องแทบพร้อมกัน

    ทหารกลุ่มเบื้องหน้าทุกนายถือดาบ ไม่ใช่ปืน เอช.เค. 33 อย่างที่พวกเราแบกกัน อีกทั้งการแต่งกายก็ไม่เหมือนพวกเรา แต่เหมือนที่เคยดูละครจักรๆวงศ์ๆยังไงยังงั้นทีเดียว


    หัวหน้าหมวดตัดสินใจหยุดแถว ท่ามกลางความมืดรอบนอกพวกเราทุกคนเบียดตัวกันเข้ามา

    “ ใจเย็นๆ เพื่อน เราจะหยุดพักตรงนี้ก่อนและจะรอกลุ่มหลังตามมาแล้วกลับพร้อมครูฝึก ” หัวหน้าหมวดแสดงความเป็นผู้นำสมกับที่ได้รับเลือก

    “ เดี๋ยวเราจะนับจำนวนคนกันระหว่างรอ ” ตอนนี้ไม่ได้จัดเป็นหมู่หรอกครับ แต่ก็พอนับกันได้ ขอให้ครบห้าสิบคนเถิด กลัวเหลือเกินว่าจะมีใครหายไป เหลือบตาดูเพื่อนซี้ ไอ้พล ไอ้ขวด ไอ้ป่าน เออ อยู่ครบทุกตัว ผมคิดระหว่างการขานตัวเลขไล่ไปทีละคน

    “ ห้าสิบ ” เสียงสุดท้ายดังขึ้น ผมและใครหลายคนถอนใจโล่ง

    “ ห…ห้าสิบเอ็ด ” เสียงอ่อยๆดังขึ้นท้ายแถว
    ลมหายใจที่กำลังถอนโล่งหยุดกึกกันหมด นั่นรวมผมด้วย

    ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียง  ไอ้แมว เพื่อนข้างห้องผมเอง

    “ มืงนับไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ ” ท่านหัวหน้าตะโกนถาม

    “ ป่าวนะ กูยังไม่ได้นับจริงๆ ไม่ได้มุกนะเว้ย ” ไอ้แมวเถียง
    การนับเริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยใช้วิธีแตะไหล่คนถัดไปพร้อมขานเลข มันมืดมากนี่ครับเลยต้องใช้วิธีนี้

    “ ห้าสิบเอ็ด ” เสียงไอ้แมวดังอีกครั้ง ไม่ใช่มุกตลกแน่เพราะคราวนี้ทุกคนตั้งใจนับตั้งใจฟังกันหมดเผื่อมีใครนับเลขผิด

    เสียงหัวหน้าหมวดสบถเบาๆในคอ “ ไอ้แมวมืงนับย้อนขึ้นมาซิ ” ท่านหัวหน้าของเราร้องสั่ง

    “ หนึ่ง !” ไอ้แมวนับอย่างดีใจมากเพราะไม่ต้องนับเป็นคนสุดท้ายแล้ว

    “ ห้าสิบ ” เสียงคนแถวหน้าสุดนับอย่างยากเย็น ทุกคนเงียบหมดเพราะรู้ว่าหัวหน้าหมวดคือคนสุดท้ายที่จะต้องนับเลขห้าสิบเอ็ด

    ใครกันที่แปลกปลอมเข้ามาในหมู่พวกเรา
    ทุกคนคงคิดเช่นนี้ แต่ไม่มีใครกล้าเอาไฟเปิดส่องหน้าเพื่อนข้างๆหรอก ไม่กล้าแม้แต่จะคิด


    หรือว่าจะเป็นชายแก่หน้าขาวที่ต้นไม้นั่น

    “ เอาล่ะทุกคน ” หัวหน้าของเราเอ่ยหลังรวบรวมสติได้
    “ มีใครทำอะไรไม่ดีบ้างไหม วันนี้”

    ทุกคนเงียบ เงียบรอคำตอบ
    “ สงสัยจะเป็นพวกกูว่ะ ” เสียงอ่อยๆดังขึ้นข้างๆผม ฉิบหายไอ้ขวดกับไอ้ป่าน

    ทั้งสองเล่าว่าตอนระหว่างนั่งรอการฝึกของกลุ่มอื่น ไอ้สองตัวเกิดปวดฉี่เลยพากันไปฉี่หลังต้นไม้ ใช่ครับก็ต้นไม้ที่เราเห็นชายแก่นั่นแหละ

    เสียงสบถดังจากหัวหน้าอีกครั้งคราวนี้ไม่ใช่ในคอแต่หลุดออกมาวิ่งยั้วเยี้ยข้างนอกสองสามตัวเลยทีเดียว

    พวกเราทุกคนเลยนั่งไหว้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาและเจ้าของสถานที่บริเวณนั้น รวมถึงสองพระเอกที่พวกเราเทใจให้เป็นแมนออฟเดอะแมทช์ในคืนนี้ ก็ต้องเข้ามาขอขมาด้วย

    ระหว่างที่ตั้งจิต ตั้งสมาธิขอขมา หูก็แว่วเสียงตะโกนเรียกหา ลืมตาขึ้นมา อ้าว ! แคมป์อยู่ห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตรนี่เอง รอบๆตัวมีไฟฉายหลายดวงเปิดเพื่อค้นหาพวกเรา

    “ เฮ้ย ! มาอยู่นี่ได้ไง ” ครูฝึกงงที่พวกเราห้าสิบคนเดินออกมาจากพงหญ้าข้างแคมป์  ผมได้รับการบอกในภายหลังว่าตรงนั้นน่ะครูฝึกเขาเดินหาเป็นสิบรอบแล้ว ส่วนพวกที่เดินนำมาก่อนก็งงที่จู่ๆพวกเราหายตัวไป นึกว่าตกเขาตายกันหมดเลยระดมคนช่วยกันหานี่แหละครับ


    พวกผมปลอดภัยกันหมด ระหว่างที่จะเดินเข้าแคมป์ หางตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นอีกจนได้

    ชายแก่หน้าขาวคนนั้นเดินตามหลังไอ้ขวดเพื่อนผมอยู่

    นั่นล่ะครับคำตอบของคนที่ห้าสิบเอ็ด !!

    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 49 18:48:35

    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 49 18:47:51

    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 49 18:46:45

    แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 49 18:41:37

    จากคุณ : Luckard - [ 19 เม.ย. 49 18:41:05 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป