.............บทที่ 1.................
ในกาลนั้น อิสรวงศ์ผู้เป็นใหญ่แห่งฉิมพลีนครต่างคร่ำครวญโหยไห้ หทัยแตกแหลกเป็นผุยผง ดวงเนตรมองนครทั้งนครที่กำลังถูกกลื่นกินด้วยเปลวคลื่นร้อนแรงแห่งอัคคีราช เหล่าปัจฉามิตรโหมยิงธนูไฟเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กำแพงสีขาวบริสุทธิ์กลับแดงฉานด้วยหยาดโลหิตของทหารหาญนับร้อยนับพัน เสียงร้องอย่างเจ็บปวดและตื่นกลัวดังไปทั่วทั้งนคร เหล่าอาณาประชาราษฎร์ต่างร่ำร้องเรียกหากัน พญามัจจุราชถือเคียวดำใหญ่เดินกระชากดวงวิญญาณเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาราวกับเป็นเกมอันน่าหฤหรรษ์ เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของปีศาจร้ายดังก้องเยาะเย้ยความโง่เขลาของเหล่ามนุษย์
ดวงเนตรที่เหม่อมองผู้คนเบื้องล่างเจ็บช้ำ เสียงคร่ำครวญเหล่านั้นบาดลึกถึงดวงหฤทัยที่ร้าวรานให้เจ็บปวดมากขึ้น เจ็บเกินกว่าจะทนได้ อับอายจนกระทั้งไม่กล้าแม้แต่จะมองสบเนตรกับผู้ใด ค่อยๆถอยห่างออกมาให้ไกลภาพเหล่านั้น ร่างสูงโปร่ง สง่างามค่อยๆพยุงวรกายดำเนินลงจากหอคอยช้าๆ
เปิดประตูออกไปคือลานกว้างพื้นเป็นดินเหนียวอัดแข็ง กาลก่อนเคยเป็นลานซ้อมเพลงอาวุธ เหล่าทหารหาญฟาดฟันดาบใส่คู่ซ้อม เสียงปะทะดาบดังกังวาน เพลงปลุกใจดังกระหึมกึกก้อง รวมเป็นเสียงเดียวกันราวกับประกาศความหยิ่งผยองแห่งตนให้ทุกผู้ทุกคนรับรู้
ซ้อมเพลงดาบไม่กี่ชั่วโมงก็เหนื่อยหอบ ตอนต่อสู้ก็มัวแต่คิดเรื่องโน่นเรื่องนี้ทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้า ระวังเถอะ ถ้าเจ้าพ่อทรงทราบเจ้าจะถูกว่ากล่าวเช่นการณ์ก่อน
ฮึ! ใครจะไปฟ้องเล่า ท่านพี่หรือท่านอาจารย์ สุรเสียงแหลมใสนั้นตวัดขึ้นอย่างไม่พอใจ เก็บดาบเข้าฝัก พร้อมทั้งตวัดชายภูษาโพกเกล้าสีดำที่ปลิวล้อลมขึ้นปิดวงพักตร์ขาวสะอาด เห็นเพียงดวงเนตรคม ซึ่งบัดนี้เป็นประกายกล้า
แต่ถึงจะเป็นใครก็เถอะ ข้าก็ไม่กลัว ตอนนี้ข้าเหนื่อยข้าจะพัก ตรัสจบก็เสด็จออกจากลานอย่างรวดเร็ว
เจ้าขี้งอนราวกับอิสตรี เสียงตรัสปนสรวลยังติดตามมาเบื้องหลัง
ข้าเป็นอิสตรี!
งั้นหรือ...ไหนเจ้าลองร้อยมาลัยมาให้ข้าชื่นชมสักพวงซิ คงจะงดงามสมกับความเป็นสตรีเพศของเจ้า นิ่งไปครู่ ระบายปัสสาสะยืดยาว คงงดงามเกินกว่าจะหาคำใดเปรียบปานเสียแล้ว
เจ้าพี่! วรองค์นั้นหันขวับกลับมารวดเร็ว ชักดาบออกจากฝักในท่าเตรียมพร้อม คนร่างสูงโปร่งอีกองค์ ประทับยืนถือดาบด้วยท่าทางผ่อนคลาย ริมฝีปากบางได้รูปนั้นแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ไหนเจ้าบอกว่าเหนื่อย?
ใช่ซิ! ข้าร้อยมาลัยได้ไม่งาม ปักผ้าไม่เป็น ทำอาหารไม่ได้เรื่อง แต่...เพราะอะไรเล่า ไม่ใช่เพราะข้าต้องมาเล่าเรียนสิ่งเหล่านี้หรอกหรือ ผู้หญิงอื่นๆ ทั่วหล้าล้วนแล้วแต่นิ่มนวล ข้ากลับกระด้างแข็งกร้าว พวกเธอเหล่านั้นใช้เวลาว่างรังสรรค์สิ่งงดงามประณีต ข้ากลับต้องนั่งอ่านตำรับตำรา ฝึกหัดเพลงอาวุธเพื่อใช้ห่ำหั่นผู้คน ข้า...ข้า... เสียงใสๆ นั้น สั่นเครือ ดวงเนตรเอ่อนองด้วยน้ำพระเนตร
บางครั้งข้าสับสนว่า ข้าเกิดเป็นหญิงหรือชายกันแน่
วรองค์สูงโปร่งเสด็จเข้ามาโอบกอดน้องนางอย่างรักใคร่ จูงไปประทับใต้ร่มไม้ริมลานกว้าง อ่อนโยนและนิ่มนวล
เจ้าเป็นผู้หญิงเรื่องนี้เป็นสิ่งแน่นอน และประสูติภายใต้เศวตฉัตร ดังนั้นเจ้าจึงเป็นเจ้าฟ้า ฟ้าที่อยู่เหนือผู้อื่น ฟ้า...ที่สามารถมอบความช่ำเย็น หรือความเร่าร้อนให้แก่ปวงราษฎร์ เจ้าจะเป็นฟ้าที่ปกป้องผู้อื่นได้ ก็ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆให้จัดเจน จำไว้...ในเมื่อเจ้าคือฟ้า เจ้าจึงไม่สมควรโง่เขลากว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะจะถูกเรียกขานว่าเจ้าฟ้าอีกต่อไป
ไม่เหมาะก็ไม่เห็นเป็นเช่นไร ข้าไม่เห็นเจ้าฟ้าหญิงทั้งหลายต้องทำเช่นข้า
คนนั่งข้างๆแย้มยิ้ม มองพักตร์แสนงอนนั้นอย่างเอ็นดู เพราะหากข้าสิ้นชีวิตเมื่อใด องค์ยุพราชองค์ต่อไปก็คือเจ้า
ไม่ได้ข้าไม่ให้ตาย!
เจ้าพูดราวกับผู้ลิขิตความตาย ผู้คนใต้หล้าล้วนร่วงโรยไปเมื่อถึงกาลเวลาแห่งตน ข้าก็เช่นเดียวกัน"
ไหนเจ้าพี่บอกว่า พวกเราเป็นฟ้า แล้วใยจึงอยู่ใต้ฟ้า
วรองค์สูงโปร่งสรวลอย่างอารมณ์ดี จับศีรษะคนข้างๆโยกไปมา
เหนือฟ้ายังมีฟ้าไงเล่าน้องข้า
ดวงเนตรคมเหม่อมองไปไกลสุดลานกว้าง ค้นหาผู้ซึ่งภูมิใจความเป็นฟ้าแห่งตน เจ้าฟ้าชายพันธรังษี องค์ยุพราชแห่งอิสรวงศ์ทั้งปวง บัดนี้เจ้าพี่คงบรรทมอยู่ ณ แห่งใดแห่งหนึ่งอย่างสงบสุข ไม่ต้องรับทราบความทุกข์ระทมจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอีกต่อไป บางครั้งการดับสิ้นอาจเป็นสุขกว่าการดำรงอยู่ก็ได้กระมั้ง
พวกเราแพ้แล้วพะยะค่ะ เสนาบดีเฒ่า ผู้รับราชการมาเนิ่นนานกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงกล่ำฉายแววเจ็บช้ำ มือที่ทาบอยู่ที่อกกำแน่นมากยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหวีดร้อง และเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งนอกกำแพงปราสาท
เรารู้แล้ว
พวกข้าพระองค์ ขออัญเชิญให้พระนางเสด็จหนีก่อน
ไม่! เรายอมอยู่อย่างผู้แพ้ดีกว่าจะให้ใครๆ ประณามเราว่า ตาขาวขลาดกลัว เมื่อทุกข์ก็จงทุกข์ด้วยกันเถอะ
วรองค์บอบบางในชุดเกราะ มองผู้คนมากมายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างหยิ่งผยองในศักดิ์แห่งตน
เราคือ ขัตติยนารีราช เราจะไม่ยอมหลบหนีเพราะกลัวตาย
และเพราะพระนางคือ รานีองค์ต่อไป จึงควรดำรงพระชนม์ชีพอยู่ เพื่อเป็นหลักชัยในการกอบกู้แผ่นดิน
เจ้าจะให้เราหนี?
ถอยเพื่อตั้งรับต่างหากพระเจ้าค่ะ
ไม่! เราไม่ทำ ดำรัสสุรเสียงก้องกังวาน
ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์ก็ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ
ยังไม่ทันรู้องค์ องครักษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็เข้ามาประชิดกาย ปิดพระนาสิกด้วยผ้ากลิ่นประหลาด เพียงสูดแรกของลมหายใจ เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หมดสิ้น วรกายโคลงเคลงทรุดลง ดวงเนตรที่มองเสนาบดีเฒ่าอย่างแค้นเคืองค่อยๆปิดเข้าหากันอย่างฝืนไม่อยู่
ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกาย
เสียงผู้คนนับร้อยนับพันกล่าวขึ้นพร้อมกัน ซึมทราบเข้าไปยังโสตประสาท รับรู้หากไม่สามารถขยับกายได้ น้ำพระเนตรไหลรินด้วยความอดสูใจ
ความทุกข์หาใช่เกิดขึ้นเพราะห่วงตนเองไม่ หากความทุกข์กลับเกิดขึ้นเพราะความห่วงใยผู้เป็นที่รัก ชะตากรรมของผู้แพ้เป็นสิ่งที่ขัตติยราชทุกคนทราบดี ความพ่ายแพ้คือสิ่งที่น่าอดสู ผู้คนที่ทนเผชิญหน้ากับมันไม่ได้ ย่อมต้องเลือกดับสูญด้วยน้ำมือแห่งตน ก่อนจะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำศักดิ์แห่งตน
(ยังมีต่อ.......)
จากคุณ :
w_panda
- [
21 เม.ย. 49 21:57:42
]