แป๊ะยิ้ม - ธามาดา
================================
บ้านของอรรณนพไม่มีกระจกเงา....
สาเหตุง่ายๆที่ชายหนุ่มไม่อยากให้บ้านของเขามีกระจกเพราะเขาไม่อยากมองเห็นเงาของตัวเอง เงาในกระจกที่มีแต่ใบหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังฉีกแก้มยิ้มไม่หุบ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ต้องการจะยิ้มให้ใครเลยสักนิด
อรรณนพป่วยเป็นโรคประหลาดเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น อาการติดเชื้อไวรัสที่ลามไปถึงใบหน้าทำให้กล้ามเนื้อบริเวณแก้มของเขาผิดรูปทั้งสองข้าง โหนกแก้มและริมฝีปากบิดเบี้ยวชี้ขึ้นด้านบนจนดูเหมือนคนที่กำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อบวกกับเค้าหน้าคนเชื้อสายจีนของเจ้าตัวอีกทำให้เขาถูกล้อเลียนเรื่อยมาว่าเป็นแป๊ะยิ้ม อรรณนพผ่านช่วงวัยหนุ่มมาอย่างคนเก็บตัว โชคดีที่การเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดทำให้เขาไม่ต้องออกไปทำธุระนอกบ้านบ่อยนัก แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็เหมือนกับคนอื่นๆที่ต้องออกจากบ้านไปทำมาหาเลี้ยงชีพเมื่อเรียนจบ
อรรณนพประกอบอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่ประจำชุมสายโทรศัพท์แห่งหนึ่ง โดยลักษณะงานทำให้เขาไม่ต้องพบปะกับใครมากนัก และชายหนุ่มก็พอใจเช่นนั้น ในเวลาทำงานนอกจากเจ้าหน้าที่ประจำชุมสายโทรศัพท์ไม่กี่คนและแม่ค้าส้มตำรถเข็นด้านหน้าสำนักงานที่พวกเขาฝากท้องเอาไว้ประจำแล้วก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นหน้าของอรรณนพอีก แต่นั่นก็เฉพาะแค่เวลาทำงานเท่านั้น ระหว่างการเดินทางไปกลับบ้านกับที่ทำงานเขายังต้องเดินและขึ้นลงรถเมล์หลายต่อ เวลานั้นเองที่คนจำนวนมากจะได้เห็นหน้าอรรณนพ ซึ่งชายหนุ่มเลือกที่จะเดินผ่านสายตาเหล่านั้นไปให้เร็วที่สุด บางวันเขาถึงกับวิ่งเมื่อเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตามากเกินไป แต่นั่นกลับทำให้มีคนมองดูเขามากขึ้น ชายหนุ่มเลือกนั่งรถเมล์ที่เบาะท้ายรถด้านขวา แม้จะอันตรายจากกลุ่มอันธพาลที่อาศัยรถเมล์เป็นเหตุวิวาทหรือจี้ปล้นบ้าง แต่ก็เป็นที่นั่งที่ไม่ค่อยมีใครสนใจที่สุดแล้ว และอรรณนพก็ต้องการเช่นนั้น
วันหนึ่งอรรณนพถูกย้ายไปประจำในสำนักงานอีกแห่ง เพียงแค่ได้ยินว่าสำนักงานนั้นอยู่ย่านไหนชายหนุ่มก็ใจหายวาบ ที่ทำงานใหม่เป็นสำนักงานที่มีพนักงานเยอะ ตั้งอยู่ในย่านชุมชนพลุกพล่านและไกลจากบ้านของเขาชนิดคนละมุมเมืองกันเลย ไม่อยากคิดถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้านผ่านผู้คนมากมายไปกว่าจะถึงที่ทำงาน ไหนจะเพื่อนร่วมงานใหม่ที่มีจำนวนมากกว่าเพื่อนในชุมสายโทรศัพท์เล็กๆในซอยนี้อีกเล่า สรุปแล้วไม่มีวันไหนที่อรรณนพออกจากบ้านไปทำงานแล้วไม่มีทุกข์เลย สิ่งที่เขาชอบที่สุดเห็นจะมีแต่วันหยุด ไม่ใช่เพราะต้องการพักผ่อนนอนกลางวันสบายๆอย่างคนอื่น แต่เป็นเพราะมันคือช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องพบเจอใคร สำหรับอรรณนพแล้ว แค่การเปิดประตูออกไปเซ็นรับจดหมายลงทะเบียนกับบุรุษไปรษณีย์เพียงนาทีเดียวก็ทำให้เขากระอักกระอ่วนเหลือทนแล้ว
อรรณนพไม่กล้าไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ว่าจะมีใครชวนแค่ไหน เขาไม่อยากเห็นรูปถ่ายตัวเองไม่ว่าในอิริยาบถไหนๆ คิดจะลาออกไปหางานทำใหม่ แต่ภาพใบหน้ายิ้มไม่หุบของตัวเองในรูปถ่ายสมัครงานกับอาการอมยิ้มของเจ้าหน้าที่สรรหาคัดเลือกแต่ละบริษัทที่อรรณนพเข้าไปสัมภาษณ์งานก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มรับไม่ได้ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาบอกกับตัวเองว่าใครไม่ได้มาตกอยู่ในสภาพอย่างเขาคงไม่รู้สึกแบบนี้หรอก ซึ่งก็อาจจะจริง
บ่อยครั้งที่เขาร้องไห้ทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ น้ำตาไหลผ่านโหนกแก้มที่รั้งขึ้นสูงลงมาตามริมฝีปากโค้ง เขารู้สึกได้ถึงรสชาติความเค็มของน้ำตาลูกผู้ชายนั้น ดูช่างปนด้วยความขมปร่าของชีวิตที่เลือกไม่ได้เหลือเกิน เคยคิดอยากจะจบชีวิตที่น่าอับอายของตัวเองลง แม้จะเคยคิดสั้นจนเตรียมการพร้อม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำจริงๆ ยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์แรงหลายแผงยังคงถูกเก็บไว้ในลิ้นชักหัวเตียงอยู่อย่างนั้น
วันหนึ่งกลางเดือนกันยายน ฝนตกยาวมาตั้งแต่เช้ามืด จนเย็นย่ำแล้วก็ยังตกอยู่อย่างนั้น ถนนหนทางเจิ่งนองไปด้วยน้ำ คนวิ่งฝ่าฝนไปมาขณะที่รถยนต์บนท้องถนนกลับจอดสนิท เสียงฟ้าร้องคำรามเป็นระยะไกลๆเหมือนจะเยาะเย้ยชีวิตเล็กๆของมนุษย์ในป่าคอนกรีตว่าช่างมีอำนาจน้อยนิดเมื่อเทียบกับธรรมชาติ อรรณนพเดินใจลอยตากฝนช้าๆไปตามทางโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอนแค่ไหน ชายหนุ่มรู้สึกว่าการเดินคนเดียวกลางสายฝนนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่โอกาสที่ทำให้เขากลับบ้านโดยไม่มีใครมอง นับเป็นเวลาแห่งความสุขเล็กๆเสียจริง
เดินออกจากสำนักงานได้พักใหญ่ๆฝนก็เทลงมาหนักกว่าเก่า ม่านพิรุณที่ทิ้งตัวลงมาทำให้มองแทบไม่เห็นตึกรามรอบข้าง รถบนถนนเปิดไฟกระพริบแล่นช้าลง ส่วนคนเดินถนนหลบหายหน้าไปตามชายคาอาคารต่างๆหมดแล้ว อรรณนพเดินตากฝนอยู่ไม่นานก็ยอมแพ้ รีบพาร่างหนาวสั่นเดินลุยน้ำที่เริ่มท่วมขังบนถนนไปยังศาลาริมถนนที่เห็นเป็นเงารางๆตรงหน้า
ศาลาริมถนนสายนั้นไม่อาจเรียกเต็มปากว่าเป็นศาลาได้นัก ค่าที่เป็นเพียงเพิงไม้ที่สร้างขึ้นมาอย่างสุกเอาเผากิน มีไม้แผ่นตอกเป็นที่นั่งพักและหลังคาสังกะสีผุๆพอคุ้มแดดคุ้มฝนได้บ้างเท่านั้น อาจจะเป็นเพียงที่พักของคิวรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งพากันไปหลบฝนที่อื่นแล้ว แต่แรกเมื่ออรรณนพเห็นสภาพของศาลาแล้วก็ลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปหลบฝนในเพิงง่อนแง่นนี้หรือวิ่งไปหาที่หลบฝนอื่นดี แต่สายฝนที่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่วกับสายตาที่มองไปไม่เจอใครอื่นหลบฝนอยู่ในศาลามืดทึมนี้เลยก็ทำให้เขาตัดใจวางกระเป๋าและนั่งลงกอดอกมองฟ้าฝนอยู่อย่างนั้น ห้าโมงครึ่งแล้ว ถ้าค่ำลงแล้วฝนยังไม่หยุดตกจะทำอย่างไร
ขณะที่กำลังยกฝ่ามือขึ้นลูบปัดน้ำบนใบหน้าและนั่งมองม่านฝนอยู่เดียวดายอยู่นั้น พลันอรรณนพก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนแผ่วเบาบนแผ่นไม้ที่เขานั่งอยู่ เมื่อหันมองรอบตัวก็พบว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อยู่ในศาลาแห่งนี้คนเดียว เงาตะคุ่มที่ดูเหมือนรูปร่างเล็กของใครคนหนึ่งซุกตัวอยู่มุมในสุด ผ้าดิบสกปรกมอซอซึ่งครั้งหนึ่งน่าจะเคยเป็นเป็นสีขาวคลุมร่างที่นอนขดอยู่นั้นได้ทั้งตัว กระนั้นก็ยังเห็นความเคลื่อนไหวขยับตัวเป็นระยะใต้ผืนผ้านั้นเหมือนคนนอนหลับเปลี่ยนท่านอนไปมา ไม่นานผืนผ้ามอมแมมนั้นก็ถูกพลิกออก เผยให้เห็นเด็กชายวัยราวสิบขวบคนหนึ่งลุกขึ้นมาเกาแขนขาอย่างขัดใจ คงเป็นเด็กจรจัดที่เร่ร่อนไปตามถนนเมืองกรุงและเข้ามาหลบฝนที่ศาลานี้ ไม่อย่างนั้นก็คงยึดศาลานี้เป็นที่หลับนอนมานานสักระยะแล้ว ความมืดอับชื้นของศาลานี้คงทำให้เด็กชายถูกยุงกัดและรำคาญกับโรคผิวหนังบนแขนขาของตัวเอง อรรณนพนั่งมองเด็กคนนั้นเกาโน่นนี่อยู่นานทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่ามองไปแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เช่นเดียวกับเด็กชายที่เมื่อเกาจนหนำใจแล้วก็หันมามองเขาด้วยสายตากร้านโลกเช่นเดียวกับแววตาของเด็กจรจัดทั่วไป
ยิ้มอะไร
คำแรกที่คุยกับคนแปลกหน้าก็ไม่มีสัมมาคารวะซะแล้ว แถมจี้จุดใจดำปมด้อยของชายหนุ่มอีกต่างหาก จะเมินหน้าหนีไปทางอื่นในเพิงศาลาแคบๆนี้โดยไม่ตอบอะไรก็ใช่ที่ อรรณนพมองหน้าเด็กชายตอบ เปล่า ไม่ได้ยิ้ม
ไม่ได้ยิ้มอะไร ก็หน้ายิ้มอยู่เห็นๆ มีอะไรน่าขำนัก
เสียงของอีกฝ่ายกร้าวขึ้นตามลำดับ คงนึกว่ากำลังถูกมองและยิ้มเยาะอยู่
ไอ้หนู
.. อรรณนพจ้องหน้าเด็กชายนิ่ง ถ้าเธออยากป่วยเป็นโรคหน้าเบี้ยวแบบฉันละก็ เธอจะได้ยิ้มไม่หุบแบบนี้ทั้งวันแน่
เงียบไปพักใหญ่ๆ เขาเด็กชายเริ่มมีแววตาที่ผ่อนคลายลง แต่ไม่นานก็กลับไปหงุดหงิดกับการเกาแขนขาอีก
ยุงมันชอบที่มืดๆอับๆ ผ้าที่เธอห่มแบบนั้นแหละยุงชอบนัก ชายหนุ่มมองผ้าดิบที่เด็กชายใช้โบกไล่ยุงและห่มกันหนาว บนหัวของเด็กคนนั้นมียุงนับสิบบินว่อนวนอยู่
ผมมีผ้าผืนเดียว.... เด็กชายตอบสั้นๆก่อนจะเอนตัวลงนอนขดอีกครั้ง กำลังนอนพลิกตัวและสั่นหนาวอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรทาบทับอยู่บนตัว ลืมตามองอีกทีเห็นเจ้าของใบหน้ายิ้มไม่หุบนั้นยืนอยู่ใกล้ๆ กำลังถอดเสื้อแจคเก็ตของตัวเองมาห่มคลุมให้ เด็กชายเบิกตากว้างลุกขึ้นทันที
ทำอะไรน่ะ
เอาไปห่มเถอะ ฉันให้ อรรณนพขยับเสื้อแจคเก็ตให้คลุมร่างของเด็กให้ได้มากที่สุดแล้วกลับไปนั่งที่เดิม ทว่าเด็กชายกลับหลับไม่ได้เสียแล้ว
ให้ทำไม ให้จริงๆเหรอ
เอาไปเถอะ ที่บ้านฉันยังพอมี
ระหว่างชายหนุ่มและเด็กชายถูกคั่นด้วยความเงียบท่ามกลางสายฝนอยู่นาน ในที่สุดอรรณนพก็เปรยขึ้นกับม่านฝนลอยๆแต่เหมือนจะอยากให้ได้ยินมาถึงผู้ที่หลบฝนอยู่ร่วมเพิง
ตอนฉันยังเด็กๆ ฉันไข้ขึ้นหนักจนไปโรงเรียนไม่ได้ อยู่ๆก็รู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้า นอนอยู่โรงพยาบาลหลายวัน พอลุกขึ้นมาและได้ส่องกระจกของฉันฉันก็พบว่าหน้าตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เฉพาะใบหน้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแม้แต่ชีวิตฉันทั้งชีวิตก็เปลี่ยนไป ฉันถูกเพื่อนๆเยาะเย้ยรังแก ไปเรียนก็มีแต่คนมอง ไม่มีใครชวนไปเที่ยว หลงรักใครก็มีแต่เขารังเกียจ แม้แต่จบออกมาสมัครงานก็ยังไม่ค่อยมีใครอยากรับไปทำงานด้วย จนป่านนี้ฉันก็ยังอยู่ตัวคนเดียวเหมือนเธอ แต่อย่างน้อยตอนฉันอายุเท่าเธอฉันก็ยังไม่ต้องนอนหลบฝนในเพิงแบบนี้
เด็กชายจ้องหน้าเขานิ่ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงของเจ้าตัวรอดไรฟันออกมาแผ่วเบา
....ขอบคุณ
อรรณนพยิ้มรับ เขาไม่ได้ยิ้มเพียงเพราะหน้าบิดเบี้ยวดูเหมือนยิ้มอย่างที่ผ่านมา แต่เขายิ้มให้จริงๆ
ผ้าที่เปียกก็อย่าลืมผึ่งซะบ้าง เอามาห่มทั้งแฉะๆไม่เป็นหวัดหรือโรคผิวหนังก็ไม่พ้นปอดบวม
เขาสังเกตเห็นว่าเด็กชายคนนั้นก็กำลังยิ้มเช่นกัน....
ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ
ชายหนุ่มเอ็นดูเด็กจรจัดขึ้นทุกที เขาควานมือลงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบลูกอมออกมาสองห่อ ยื่นให้เด็กชายตรงหน้าห่อหนึ่ง ซึ่งเด็กชายก็รับไปแกะกินอย่างยินดี
เวลานั้นเองที่การพูดคุยฆ่าเวลารอฝนหยุดในเพิงพักริมทางนั้นกลายเป็นการเยียวยาให้กับคนทั้งสองที่ร้าวรานจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ระหว่างเด็กที่ไม่มีบ้านอยู่กับชายหนุ่มที่ไม่อยากออกจากบ้านไปไหนเลย อรรณนพเรียนรู้จากชีวิตว่าใบหน้าที่เหมือนยิ้มตลอดเวลาของเขานั้นแม้จะเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยต้องการเลย แต่การมีใบหน้าเหมือนยิ้มก็คงจะดีกว่าการที่มีใบหน้าที่ดูเหมือนเกลียดโกรธใครตลอดเวลา และในทางเดียวกันคนที่มีน้ำใจงามกว่าใบหน้าย่อมดีกว่าคนที่ใบหน้างามแต่ไม่มีน้ำใจ ทั้งหมดนี้อรรณนพไม่ได้ทึกทักเอาเอง เพราะเด็กชายจรจัดคนนั้นก็ช่วยยืนยันความคิดของเขา
ผมเคยเดินเช็ดกระจกรถยนต์ที่สี่แยกไฟแดงแล้วเจอรถเบนซ์คันหนึ่งมีดาราคนหนึ่งขับมา ผมจะเช็ดกระโจกเห็นเขาโบกมือไล่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอไฟเขียวเท่านั้นเขาออกตัวเร็วมาก เฉี่ยวผมล้มลงพื้น เห็นเขาชะลอดูนิดหนึ่งแล้วบึ่งรถหายไปเลย ไม่รู้ว่าพี่รู้จักไหม ดาราคนที่ออกข่าวการกุศลบ่อยๆน่ะ เด็กชายบอกชื่อดาราดังคนหนึ่งที่อรรณนพรู้จักดี บทเรียนนี้สอนให้เขารู้ว่าความดีของคนอาจจะไม่ได้อยู่ที่หน้าตา ชื่อเสียง และแม้แต่ข่าวลือเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนๆนั้นเสมอไป
พี่คงไม่ได้อยากจะเป็นคนหน้ายิ้มตลอดเวลาแบบนี้ แต่ผมก็ยังอิจฉาพี่นะ ตั้งแต่ผมจำความได้นี่ผมแทบไม่เคยได้ยิ้มเลย
แต่วันนี้เธอก็ยิ้มแล้วนี่
ก็เพราะพี่ยิ้มให้ผม เด็กชายว่า ถึงจะเป็นยิ้มที่พี่ไม่ได้ยิ้มจริงๆ แต่พี่ก็ทำให้ใครๆที่ได้เห็นอยากยิ้มกับพี่ด้วย จริงๆนะ เวลาผมเดินไปตามถนนแล้วได้เห็นคนโน้นคนนี้มีความสุขผมก็รู้สึกดีไปด้วย ถึงแม้ตอนนั้นผมจะไม่ได้มีความสุขเหมือนเขาอยู่ก็เถอะ
ประโยคหลังสุดเด็กชายเหมือนต้องการจะบอกเขาโดยตรง ถึงพี่จะไม่ชอบหน้ายิ้มนี่ แต่ผมว่าพี่โชคดีนะ ใครๆก็อยากยิ้มได้ แต่ในกรุงเทพฯนี่ผมไม่เห็นใครยิ้มมานานแล้ว ผมยังอยากจะมีสักวันที่ยิ้มได้แบบพี่นะ.....
จากคุณ :
ธามาดา
- [
23 เม.ย. 49 16:55:37
]