CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    [ค ว า ม จ ริ ง เ กี่ ย ว กั บ ตั ว ฉั น ฯ ] ตอนที่ 8: สิ่งที่ชอบ...กับสิ่งที่เผอิญทำได้ดี (กว่าอย่างอื่น)

    ความจริงเกี่ยวกับตัวฉัน ที่อยากให้คน (ไม่อยาก) รู้
    ตอนที่ 8 : สิ่งที่ชอบ...กับสิ่งที่เผอิญทำได้ดี (กว่าอย่างอื่น)

    =================================================

    ตั้งแต่เล็กจนโตมา หลายๆ คนคงเคยมีความฝันแตกต่างกันไป และหลายคนค้นพบว่าสิ่งใด
    ที่ตัวเองต้องการ และบางคนก็ยังหาไม่เจอเสียที ว่าสิ่งใดกันแน่ที่ตัวเองต้องการ

    ฉันก็เป็นหนึ่งในคนประเภทหลัง เพราะตั้งแต่เล็กจนโตถึงขนาดนี้ ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่า
    สิ่งใดกันหนอ ที่ฉันรักและชอบที่จะกระทำในสิ่งนั้นอย่างแท้จริง สิ่งใดกันหนอที่ฉันใฝ่ฝัน
    อยากจะทำ และสิ่งใด ที่ฉันถึงกับยอมแลกชีวิตเพื่อให้ได้ทำอย่างในสิ่งที่ต้องการ
    แต่จนแล้วจนรอด ผ่านเข้าไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันก็ยังมองหามันไม่เจอสักที...

    ตั้งแต่เด็กๆ แม้กระทั่งฉันเองยังจำความไม่ได้ พ่อเคยเล่าให้ฉันฟังว่า ฉันชอบร้องเพลง
    เอามากๆ ถึงขนาดที่ว่า ร้องเพลงของวง สาว สาว สาว ได้ทั้งอัลบั้ม (แต่ตอนนี้จำไม่ได้
    แล้วว่าร้องยังไงบ้าง) พอเวลาพ่อเปิดเพลงปุ๊บ ฉันก็จะหยิบเข็มขัดของพ่อเอามาแทน
    ไมโครโฟนแล้วทั้งร้องทั้งเต้นอย่างสนุกสนาน (กรุณาอย่านึกภาพตาม เพราะตอนเด็กๆ
    ไม่เหมือนตอนโตเลยสักนิด) จนพ่อคิดไปเอาเองว่า โตขึ้นฉันคงอยากเป็นนักร้อง
    แต่จริงๆ แล้วก็...

    มันไม่ใช่...

    พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอรู้เรื่องรู้ราวอ่านหนังสือเป็น ฉันก็เริ่มอ่านหนังสือการ์ตูน
    (ความจริงแล้วอ่านตั้งแต่ยังอ่านหนังสือไม่เป็นด้วยซ้ำ บังคับให้พ่ออ่านให้ฟัง ฮา...)
    อ่านไปอ่านมา ก็ชักอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูน เป็นจิตรกร ถึงขั้นสละเวลาชั่วโมงเรียน
    คณิตศาสตร์ และ สมุดการบ้าน มาทำหนังสือการ์ตูนแฮนเมดแบบเด็กประถม จนโดนครู
    ฟาดไปก็หลายที แต่ก็ยังไม่เข็ด แต่พอวาดไปวาดมา มันก็ไม่เก่งขึ้นสักที เลยรู้ตัวว่า
    พรสวรรค์คงไม่มีทางด้านนี้แหงๆ

    นักเขียนการ์ตูนกับจิตรกรก็เลยตกไปอีกหนึ่งอย่าง...

    พอเข้าชั้นมัธยม ก็พอดีว่าลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องชาย (ทั้งที่แก่กว่าฉันหกเดือน)
    ได้กีตาร์ตัวใหม่ (ของมัน แต่เก่าของคนอื่น) ที่พี่ชายอีกคนหนึ่งยกให้ ก็เห็นมันเล่นแล้ว
    ดูเท่ดีจัง อยากลองเล่นตามบ้าง ถึงขั้นรบเร้าให้พ่อซื้อกีตาร์แบบไก่กาตัวละแปดร้อยกว่าบาท
    มาหัดเล่นแบบเอาเป็นเอาตาย เล่นแบบไม่มีครูสอน อาศัยชาร์ตคอร์ดที่ติดผนังห้อง
    คลำๆ มั่วๆ ไป จนพอกล้อมแกล้ม ซึ่งๆ ซับ ซึ่งๆ ไปตามเรื่อง จนคิดว่าตัวเองเก่งพอแล้ว
    เลยเอากีตาร์ไปเล่นอวดเพื่อนที่โรงเรียน ปรากฏว่าเจอคนที่เล่นเก่งกว่าหลายขุม เห็นมัน
    เล่นแล้วท้อใจ เล่นมาเป็นปีเป็นชาติ ยังไม่ได้สักกระผีกริ้นของมันเลยสักนิด

    ความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรีก็เลยตกไปอีกอย่างหนึ่ง... เฮ้อ...

    จนกระทั่งช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่น (ตอนนี้ก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะเออ)
    ฉันตามเพื่อนที่ค่อนข้าง...เอ่อ...ค่อนข้างเกเร (บอกอย่างนี้ละกัน จริงๆ แล้วเรียกว่า
    เหลือขอเลยมากกว่า) จนกลายเป็นเด็กมีปัญหาไปพักใหญ่ ไอ้ความฝงความฝันอะไร
    ไร้สาระ ใช้ชีวิตเกกมะเหรกเกเรทะเลาะวิวาทกับชาวบ้านเขาไปวันๆ เลิกเรียนก็ไปเที่ยวห้าง
    (ทั้งที่ไปแล้วก็ไม่ชอบนะ แต่ตามเพื่อนไป)

    จนกระทั่งเขาฮิตเล่นบาสกัน (สมัยนั้นพี่แว่น สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล กำลังดังเลยแหละ)
    ไอ้เราก็บ้าตามกับเขาไป เล่นไปเล่นมา แม้ว่าความสูงจะผ่านเลยเกณฑ์มาตรฐานมานิด
    หน่อย แต่ก็เล่นได้ไม่เวิร์ค เพราะทักษะทางกีฬาที่ใช้มือไม่ค่อยมี (มีแต่ประเภทใช้เท้า)
    ก็เลยเลิกล้มความอยากจะเป็นนักบาสไป แล้วก็ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเหมือนเดิม
    จนกระทั่งพ่อทนไม่ไหว จับมาเรียนปวช.ที่เชียงรายในคณะศิลปกรรม สาขาถ่ายภาพ
    (ทั้งที่จริงๆ แล้วกำลังจะเรียนการพิมพ์หรือไม่ก็สถาปัตย์ ที่เทคโนฯ เชียงใหม่)

    ตอนเรียนปวช. ก็โอเคนะ เทอมแรกๆ ได้เรียนถ่ายภาพ เรียนวาดรูป เรียนอะไรต่างๆ
    นาๆ ที่เป็นพื้นฐานทางศิลปะ เหมือนกับว่าไอ้ความ(อยาก)ฝันที่เคยมีตอนเป็นเด็กๆ
    มันจะกลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งเรียนไปเรื่อยๆ ผลงานก็ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ดีและไม่แย่
    ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย หรือภาพวาด เลยเรียนแบบไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ เรียนแบบซังกะตาย
    ไปวันๆ จนกระทั่งตามเพื่อนไปห้องซ้อมดนตรีในวันหนึ่ง...

    เมื่อก่อนเคยเห็นแต่คนเล่นกีตาร์ตัวเดียวเปล่าๆ ก็เลยรู้สึกเฉยๆ (อารมณ์แบบ เชอะ...
    ชั้นก็เล่นได้) พอมาเห็นเขาเล่นแบบเต็มวง มีกีตาร์ลีด กีตาร์คอรัส เบส กลอง
    และคีย์บอร์ด แล้วรู้สึก โอ้โห...มันเล่นกันเป็นวงแล้วสนุกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
    เลยนึกสนุกขอร้องเพลงกับเพื่อนเสียเพลงหนึ่ง เลยจับพลัดจับผลูไปเป็นนักร้องประจำ
    วงสมัครเล่น (เมื่อเลิกเรียน) ไปเสียอย่างนั้น แต่ฟอร์มวงกันไปไม่ทันเท่าไหร่ เจ้ามือเบส
    ก็ดันติดยาเสียจนไม่มาเรียนหนังสือหนังหา สุดท้าย...วงสมัครเล่น (เอง) ก็เลยไปไม่รอด
    ล่มไปเสียกลางคันก่อนได้ไปประกวดที่ไหน

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดว่าตัวเองแน่อยู่นะ (บอกแล้วว่าเลี้ยงตัวน่ารังเกียจไว้) เลยไป
    เปรี้ยวจนกระทั่งพี่ชายที่รู้จักกันคนหนึ่งชวนไปเป็นนักร้องประจำบาร์เบียร์แห่งหนึ่งใน
    ตอนช่วงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่เผอิญผู้ปกครองเห็นว่า ถ้าร้องเพลงในบาร์เบียร์
    ก็ควรจะร้องเพลงคันทรี ไอ้ตัวฉันก็ไม่ชอบเลยสักนิด เพลงคันทรีอะไรกัน เชย...
    (สมัยก่อนคิดแบบนั้นจริงๆ นะ) ไม่เห็นสนุกเลย แต่ก็จำใจทนร้องไปได้สักพัก (ไอ้สักพัก
    ทีว่านี่ราวๆ อาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหละมั้ง) จู่ๆ ก็มีแขกขี้เมาคนหนึ่งตะโกนด่ามาว่า

    “ร้องเพลงเอี้ยไรวะ ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย”

    ได้ยินแค่นั้นก็เลยเสียเซลฟ์ไปพักใหญ่ถึงขั้นไม่ฟังเพลง ไม่ร้องเพลง ไม่เล่นกีตาร์
    และอะไรทุกๆ อย่างเกี่ยวกับดนตรีไปราวๆ สองปี ซึ่งก็พอดีว่าทำตามความฝัน (ของพ่อ)
    ด้วยการไปเรียนเป็นครูด้านโสตทัศนศึกษา เรียนไปก็งั้นๆ เพราะว่าครอบครัวย้ายตาม
    พี่สาวฝาแฝดที่เผอิญฟลุค (จริงๆ แล้วไม่ฟลุคหรอก มันเก่งอ่ะ) สอบติดนิติฯ ที่มอชอ
    ก็เลยเหลือฉันคนเดียวที่อยู่เชียงราย ที่เผอิญสอบติดมหาวิทยาลัยของที่นั่น และใช้ชีวิต
    แบบคนเดียวอย่างสุดโต่ง (สุดโต่งจริงๆ นะ แต่ในทางที่ไม่ดี...) แล้วก็เผอิญได้ไปเจอ
    รุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นเว็บมาสเตอร์ เลยไปขอวิชามาลองหัดทำเว็บไซท์ดูบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่
    อยู่ดี...

    พอย้ายมาเรียนอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ฉันก็จับพลัดจับผลูไปเล่นเทควันโด เล่นไปเล่นมา
    ก็ไปเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย (เห็นมั้ย ไอ้พวกที่ใช้เท้านี่ถนัดนักล่ะ) บ้าเล่น
    จนกระทั่งเดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพราะกระดูกเท้าแตกบ้าง กล้ามเนื้อ
    อักเสบบ้าง และอื่นๆ อีกมากมายตามประสากีฬาเจ็บตัว แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง
    ฉันก็อิ่มตัวกับการเป็นนักกีฬา และประจวบเหมาะกับประสบอุบัติเหตุรถชนทำให้
    เส้นเอ็นที่หัวเข่าขาดจนเล่นไม่ได้พอดี ก็เลยเป็นอันต้องเลิกเล่นไป

    จนกระทั่งมีงานมีการทำแล้ว... ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่

    ฉันลองทำลองเรียนรู้อะไรมามากมายหลายอย่าง เปรียบเหมือนอาหาร ก็คงเป็นจับฉ่าย
    ซึ่งก็หมายถึง ทำเป็น (เกือบ) ทุกอย่าง แต่ถ้าจะให้เอาดีจริงๆ ทำไม่ได้เลยสักอย่าง
    เพราะสิ่งที่ฉันทำได้ มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในแต่ละช่วงของชีวิต พอทำไปได้
    สักพัก ก็เลิกทำไปเสียเฉยๆ พูดแล้วเหมือนคนจับจด ทำอะไรแล้วไม่ค่อยจะรอด
    แม้กระทั่งตอนนี้เองก็เถอะ ฉันยังคงพยายามเสาะหาต่อไปว่าสิ่งที่ฉันชอบคืออะไร
    แต่ว่าพอได้มาทำงานแล้ว ฉันก็ได้พบกับบางสิ่งที่ฉันเผอิญทำได้ดีกว่าทุกๆ อย่างที่ฉัน
    เล่ามาทั้งหมด...

    มันเหมือนกับเป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวฉันมาตั้งแต่เกิด แต่ฉันไม่เคยใส่ใจ แม้กระทั่ง
    ในขณะที่เรียนเกี่ยวกับสิ่งนี้ฉันก็ทำผลงานออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งก็คือ...

    ‘การถ่ายภาพ’

    ตั้งแต่ฉันลืมตาขึ้นมาดูโลก สิ่งที่ฉันคุ้นเคยที่สุดก็เห็นจะเป็น ‘กล้องถ่ายรูปของพ่อ’

    สมัยตอนเป็นเด็กๆ พ่อของฉันเคยทำอาชีพช่างภาพให้กับพวกนักท่องเที่ยวชาว
    ต่างประเทศอยู่หลายปี และพ่อก็ชอบถ่ายรูปเอามากๆ ชนิดที่ว่า เมื่อก่อน ในบ้านจะมี
    ตู้เก็บหนังสือตู้หนึ่งที่พ่อเอาไว้สำหรับเก็บอัลบั้มภาพ และฉันก็ชอบเข้าไปเมียงๆ มองๆ
    เวลาพ่อถ่ายรูปตามประสาเด็กอยากรู้

    พอโตขึ้นมาในช่วงวัยรุ่นพ่อก็สอนให้ฉันใช้กล้องเป็น เจ้ากล้องยี่ห้อ Pentax รุ่น K1000
    เป็นกล้องถ่ายภาพตัวแรกของฉันที่ใช้หัดถ่ายตามประสาเด็กๆ

    เมื่อก่อนฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพ่อจึงสอนใช้กล้องแบบนี้ แทนที่จะใช้กล้อง
    คอมแพค (หรือที่หลายๆ คนเรียกว่ากล้องปัญญาอ่อน) เพราะกว่าจะถ่ายได้แต่ละรูป
    ไหนจะต้องปรับโฟกัส วัดแสงให้พอดี ขึ้นชัตเตอร์ แฟลชก็ใหญ่ แล้วยังพกไปไหนมา
    ไหนลำบากอีก กล้องเล็กๆ ยังใช้ง่ายกว่ากันเยอะ แต่พอได้มาเรียนตอนอยู่ปวช. ฉันก็ได้
    เรียนรู้ว่า กล้องที่ลำบากๆ แบบนี้แหละ มันถึงได้ภาพสวยๆ ออกมา

    แต่ด้วยความที่ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กเกเรอยู่ เลยไม่รู้ว่า ไอ้ที่เรียนๆ มาในตอนนั้นมันมีค่า
    แค่ไหนสำหรับตอนนี้...

    ด้วยหน้าที่การงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ ทำให้ฉันซึ่งเป็นคนเดียวที่เคยร่ำเรียนทางด้าน
    ถ่ายภาพมาโดยตรงต้องรับผิดชอบหน้าที่ในส่วนของการถ่ายภาพไปโดยปริยาย
    ซึ่งก็ต้องใช้การปรับตัวเล็กน้อยสำหรับการถ่ายภาพสำหรับการทำงานในแบบโฆษณา
    แล้วเผอิญว่ารูปที่ถ่ายมามันโอเคพอที่ใช้งานได้ ฉันก็เลยค่อนข้างแปลกใจว่า
    ไอ้สิ่งที่ฉันแทบจะไม่เคยสนใจนั้น ทำไมมันถึงเผอิญทำได้ดี และใช้หากินได้

    แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่ ‘เผอิญทำได้ดี’ ก็เลยทำให้ผลงานของฉันออกมาครึ่งๆ กลางๆ
    ไม่สวยมาก และ ไม่แย่มากจนกระทั่งทนดูไม่ได้

    แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่ทำได้ดีนี้ก็สำคัญสำหรับฉันมากเกินกว่าจะละทิ้งมันได้

    เหมือนกับการเขียน ฉันไม่เคยคิด ไม่เคยฝันว่าตัวเองจะขีดๆ เขียนๆ อะไรได้เป็นเรื่อง
    เป็นราวกับชาวบ้านเขาขนาดนี้ แต่เมื่อทำแล้วมีคนอ่านฉันก็ดีใจ และสิ่งที่นอกเหนือ
    จากนั้นฉันถือว่าเป็นกำไร

    แต่ถึงอย่างนั้นสองสิ่งที่เผอิญทำได้ดีนั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันทำเหมือนกันก็คือ…

    แม้ว่าจะเผอิญทำได้ดี แต่ฉันก็ตั้งใจทำด้วยใจ แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ชอบที่สุด แต่ในเมื่อเรา
    ทำได้ดี ก็ไม่ควรจะละเลยความสามารถนี้ไป

    เพราะคงน่าเสียดายแย่ ที่เราจะทิ้งของมีค่าที่อยู่ในตัวเราให้หล่นลงข้างทางโดยไม่ใยดี

    และสิ่งที่สูญเสียนั้นคือ ‘โอกาส’ ที่ไม่รู้ว่าจะผ่านเข้ามาอีกเมื่อไหร่ หรือบางที...อาจจะไม่
    มีอีกเลยก็ได้

    เพราะฉะนั้น... ในตอนนี้ ฉันขอทำในสิ่งที่ ‘เผอิญทำได้ดี (กว่าอย่างอื่น)’ ไปก่อน
    แล้วค่อยหา ‘สิ่งที่ชอบ’ ไปด้วยคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ...

     
     

    จากคุณ : ตัว(Z) - [ 24 เม.ย. 49 14:08:58 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป