CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ชินกับชุน ตอน 4

    ตอน  4
     
    ขณะกำลังนั่งรออาจารย์เข้ามาสอนในวิชากฎหมาย   ชุนก็คิดถึงสิ่งที่เขาได้คุยกับชินเมื่อคืน
    ว่า  เวลาที่เราคุยกับใคร  คบกับใคร  เรามักจะซึมซับดึงดูดเอาบางอย่างของกันกัน  หรือคบคนไหนคล้ายคนนั้น  
    เขาคิดว่าการที่เราจะเลือกคบใครนั้น   มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีพื้นฐานของความเป็นตัวเราเอง  เราป็นคนยังไง  ถ้าเราเป็นคนแบบนี้เราก็จะเลือกคบคนแบบที่รายอมรับ  และการที่เราจะรับเอานิสัยหรือความคิดของคนอื่นมา  ก็เพราะเรายอมรับที่จะเอามาทำตามต่างหาก  
    “เฮ้ยคิดอะไรของแกวะชุน”   ต้นเอาศอกมาสะกิดแขนชุน
    ชุนรีบหันไปมองหน้าต้นซึ่งนั่งข้างๆ  
    “เปล่าๆ  ฉันก็แค่คิดอะไรเพลินๆ”  
    “เหม่อเลยนะแกน่ะ”    ต้นทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อน
    “เดี๋ยวตอนเที่ยงคะแนนที่สอบกลางภาควิชานี้ก็ออกแล้ว   ไปดูกันนะ”   ต้นชวน
    “อือ”   ชุนพยักหน้า
    แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน  เสียงคุยกันของนักศึกษาเงียบลง   ทุกคนต่างเลกเชอร์ตามสไลด์ของอาจารย์    ด้วยความตั้งใจ
    “กฏหมายวิสามัญ  แปลว่าอะไรนะ”   เสียงต้นบ่นหันไปถามคนข้างๆ  เพราะจดไม่ทัน  
    “เฮ้ยชุน  กฎหมายวิสามัญแปลว่าอะไร  แกจดทันมั้ยวะ”    ต้นหันมาถามแล้วชะเง้อมองสมุดของชุน
    “อ้าว   ฉันนึกว่าแกเลกเชอร์วิชาที่เรียนเสียอีก  แกเรียนอาร์ตเหรอไง”  ต้นส่ายหน้าแล้วเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไป
    ชุนเงยหน้าหันมามองต้นเมื่อได้ยินเขาถาม  แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป
       “คนเยอะจังว่ะ  มองไม่เห็นเลย”    ต้นบ่นกับชุน  เมื่อเดินมาถึงบอร์ดติดคะแนนสอบ
    “เดี๋ยวฉันดูให้  ฉันตัวสูง”   ชุนเสนอตัว  แล้วเขาก็เดินแทรกเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาที่ออกันอยู่ตรงหน้าบอร์ดนั้น
    “ว่าไง  ฉันได้เท่าไรวะ”   ต้นร้องถามชุน
    ชุนแทรกตัวออกมาจากกลุ่มคนที่แออัดยัดเยียดกันนั้น  
    “แกได้สิบหกส่วนยี่สิบ   มีนสิบสาม”   ชุนบอกแต่น้ำเสียงของเขาไม่ค่อยดีนัก
    “ต้นสีหน้าดีใจ   แล้วแกล่ะ”   ต้นถามเสียงตื่นเต้น
    “ฉันได้เจ็ด”   ชุนตอบ  ต้นสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาไม่พอใจกับคะแนนสอบที่ได้
    “โธ่  แกตกมีนไม่กี่คะแนนเอง  ไฟท์ได้น่า”    ต้นเดินตามมาตบไหล่ชุน  แล้วพูดปลอบใจ
    ชุนหันไปพยักหน้าให้  
    “ฉันไม่เป็นไร”   เขาพูดกับต้น  อยากให้เพื่อนสบายใจ
    “คะแนนวิชาอื่นก็ยังไม่ออก   บางทีแกอาจจะได้วิชาอื่นเยอะก็ได้นะโว้ย”   ต้นออกความเห็น
    ชุนพยักหน้าแล้วยิ้มให้ต้นอีกครั้ง
    ขณะที่กลุ่มเพื่อนนั่งร้องเพลงเฮฮากันอยู่ที่สนามหน้าตึกเรียนในเวลาสองทุ่มครึ่ง
    “นั่นแกจะไปไหน”  ต้นร้องถามชุนเมื่อเห็นเขาลุกเดินแยกตัวออกไป
    “ไม่มีอะไรหรอก   ฉันจะโทรหาพี่ชายน่ะ”  ชุนบอกพลางยกมือให้
    ต้นพยักหน้ารับ   แล้วหันมาสนใจกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังร้องเพลงกันต่อ
    “เสียงนายเหมือนไม่สบายใจเลยนะ”  ชินถาม
    “ชินฉันไม่ชอบเรียนในสิ่งที่ฉันกำลังเรียนอยู่ตอนนี้เลย  แม้ฉันไม่ชอบแต่ถ้าฉันพอเรียนได้  ฉันก็ไม่เครียดหรอกนะ  มันยากมากเลย  นายรู้มั้ยว่าฉันเรียนสิ่งนี้ทำไม  เพราะค่านิยมไงล่ะ  ตอนนั้นฉันก็คิดว่าฉันยังเด็กมากด้วย  อย่างที่นายเคยพูดนั่นแหละว่า  การทำใจให้ชอบอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องที่ยาก  ถ้าเรามีอคติ  มันก็ไม่ตั้งใจแล้ว  พ่อเลี้ยงกับแม่บอกฉันว่า  พ่อรู้ว่าฉันเรียนได้   เหลือเพียงแค่ใจของฉันเท่านั้นเอง  พ่อขอให้ฉันทำใจให้ชอบในสิ่งที่เรียนให้ได้  แต่ยิ่งเรียนไปฉันก็ยิ่งไม่ชอบมากเข้าไปทุกที  มันไม่มีความสุข  มันอึดอัด  เฮ้อ”
     ชุนระบายให้ชินฟัง
     “นายเหนื่อยมากใช่ไหม  ไม่ได้มีนายคนเดียวนะที่เจอกับวิกฤตแบบนี้  ฉันเองก็เคยเจอมาแล้ว  ตอนม.ปลาย    ฉันย้ายจากสายศิลป์มาเรียนสายวิทย์  นั่นก็ค่านิยมเหมือนกัน ฉันปรับตัวไม่ได้  มันยากมาก  คนรอบข้างฉัน  ครอบครัวของพ่อ     เขามองว่าฉันเป็นคนโง่  ฉันถูกที่บ้านห้ามคบเพื่อน  ห้ามเล่นดนตรี  ตอนนั้นไม่มีใครเข้าใจฉัน  ฉันยังคิดเลยว่า  ถ้าเป็นเด็กคนอื่น  คงเสียผู้เสียคน  หลงทางไปแล้ว  แต่ฉันว่าเพราะฉันมีดนตรีนี่แหละ  ฉันถึงไม่ไปทำอย่างอื่น  ฉันเข้าใจนายนะ  นายรู้จักโจ๊กเพื่อนฉันคนนั้นไหม  ตอนเรียนม. ปลายน่ะ  เรียนกับฉันนี่แหละ  มันเที่ยวเก่งนะ  แต่พอสอบมาได้คะแนนโคตรเยอะ  ฉันยังงงเลย  คนเรามันไม่เหมือนกันนะ  ความเก่งของคนเรามันไม่เท่ากัน  นายต้องหาสิ่งหรือวิธีการที่เหมาะสมกับตัวนายเอง  เพราะว่าคนเรามันไม่เหมือนกันนี่แหละ  ฉันถึงแนะนำนายทุกอย่างไม่ได้  นายต้องรู้แล้ว  ตัวเราเองย่อมรู้ตัวเรามากที่สุด  เมื่อคนเราเก่งไม่เท่ากันและเก่งไม่เหมือนกัน  ดังนั้นวิธีการที่เหมาะสมกับแต่ละคนจึงไม่เหมือนกันด้วย  นายจึงต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง  ในบางอย่างเราก็ไม่สามารถเอาจากคนอื่นมาเป็นแบบอย่างได้  ความรู้สึกที่เราต้องอดทน  ขนาดเราเองยังไม่เข้าใจตัวเองในเวลานั้น  ว่าทำไมวะทั้งที่เราก็พยายามมากกว่าคนอื่น   แต่ก็ยังได้น้อยกว่าเขา  แล้วฉันก็ผ่านเวลานั้นมาแล้ว  ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้  อย่างน้อยฉันก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นๆ เห็น นายก็เหมือนกันนายต้องพิสูจน์ตัวเองนะ  เพราะฉันบอกกับตัวเองทุกวันว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้  นายลองบอกกับตัวเองทุกวันบ้างสิ  ว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้  เพื่อเก็บสะสมกำลัง  แรงผลักดัน  หรืออะไรบางอย่าง  ที่มันทำให้เราอยากอยู่ต่อ  เราจะไม่จำว่าวันนี้เราควรทำอะไร  เราจะไม่จำว่าวันนี้เราทำดีแค่ไหน  แม้ทุกวันมันจะเป็นแบบเดิมๆ  ก็ให้บอกกับตัวเองทุกวัน  ฉันอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะฉันบอกกับตัวเองอย่างนี้  คนอื่นเขาจะคิดยังไงก็ช่างเขา  เขาไม่ใช่ตัวเรา  เพราะสุดท้ายคนที่อยู่กับเราก็คือตัวเราเอง   ความท้อ  ความรู้สึกท้อ  นายมีได้  แต่ไม่ว่านายจะท้อแค่ไหน  อย่าให้ความท้อนั้นมาทำลายครึ่งหนึ่งของชีวิตนาย  นายน่ะ  มีกรอบให้เดินอยู่แล้ว  เพียงแค่นายเดินไปตามกรอบนั่น  แต่ระวังนะถ้ากรอบมันหนาเกินไป  มันก็จะบีบนาย  ส่วนฉันเมื่อชีวิตไม่มีกรอบ  ฉันก็ต้องสร้างกรอบให้ตัวเอง  เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่นอกลู่นอกทางจนเกินไป”   ชินบอกกับชุน
    “ถ้านายไม่ชอบจริงๆ  ทำไมไม่เลือกเรียนใหม่ล่ะ”
    “เพราะฉันเสียดายเวลาน่ะ  เกรงใจพ่อเลี้ยงกับแม่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปมากมายกับการส่งเสียฉันเรียน  ฉันเป็นความหวังของพวกเขา  จะให้ฉันเห็นแก่ตัวทำเพื่อตัวเองอย่างนั้น  ฉันทำไม่ได้หรอก”
    “รู้มั้ยสิ่งที่เราบอกว่าทำเพื่อตัวเอง  ฟังดูอาจจะเหมือนเห็นแก่ตัวนะ  แต่จริงๆแล้วเราทำเพื่อทุกคน  ที่ฉันพูดนายอาจจะมองมันไม่ชัดเจนนัก  แต่นายลองคิดดูสิ  นายได้เรียนในสิ่งที่นายชอบ  นายมีความสุขกับมัน  คนรอบข้างนายเขาต้องพลอยยินดีไปกับนายด้วย  ในวันหนึ่งที่นายเรียนจบประสบความสำเร็จ  เขาต้องดีใจ”
    ชุนถอนหาย  แล้วบอกกับชินว่า
    “ฉันได้แต่บอกตัวเอง  ว่าพยายามอดทนเรียนให้จบ  แล้วพอฉันจบมา  ฉันก็จะไปหางานอย่างอื่นทำ  ฉันไม่อยากกลับไปเรียนใหม่  ฉันเสียดายเวลาจริงๆนะ”
    “แม่ไม่มีน้องให้เราอีกใช่มั้ย”
    “ใช่ๆแล้ว  เพราะอย่างนี้ไง”ชุนตอบเสียงค่อย
    “ฉันว่าแล้ว”ชินพึมพำกับตัวเอง
    ชุนได้แต่รู้สึกอึดอัดและสับสนอยู่ในหัว
    “ งั้นนายก็อดทนนะ  อดทนให้มันผ่านไป  นายไม่ควรทิ้งอุดมการณ์ของพ่อเลี้ยงกับแม่นะ  ฉันเข้าใจ”
     ชินให้กำลังใจน้องของเขา  ชุนแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก
    “ฉันจะพยายามอดทนนะ”  
    ชินเองก็หัวเราะเช่นกัน  แล้วเขาก็พูดว่า
    “รู้มั้ยว่านายเป็นคนที่หัวเราะได้เสมอ  แม้ในเวลาที่ทุกข์นะ  ฉันชอบและอิจฉานายก็ตรงนี้แหละชุน”
    “นายรู้มั้ย  คติประจำใจฉันคืออะไร  อย่างของนายก็คือ  วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ใช่หรือเปล่า  ส่วนของฉัน  ฉันคิดเสมอว่า  ฉันไม่อยากอยู่สูงกว่าคนอื่น  และไม่อยากอยู่ต่ำกว่าคนอื่น  แต่ฉันอยากอยู่ในที่ๆคนทั่วไปเขาอยู่กัน  นี่แหละคือคติประจำใจของฉัน  ประโยคมันอาจจะยาวหน่อย”
    “เขาเรียกว่าความพอดีไง”   ชินบอกกับชุน
    “ อย่างคะแนนของนาย ก็ไม่มากกว่าคนอื่น  แล้วก็ไม่น้อยที่สุดไม่ใช่เหรอ  ก็น่าจะพอดีแล้วนะ”
    “ไม่ใช่เลย  มันต่ำกว่าคนอื่นๆเยอะเลย  มันน่าจะได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย”
    ชุนยังคงไม่พอใจ
    “อ๋อ นี่คืออาการของคนที่ที่น้อยใจ   มันน่าจะได้เยอะกว่านี้  นั่นก็คือนายยังไม่พอใจ  นายควรจะภูมิใจกับคะแนน  กับเกรดของนายนะ  เพราะมันคือความสามารถของนาย ถึงมันจะได้น้อยแค่ไหน  มันก็คือคะแนนของนายอยู่ดี  ดีแล้วน่ะ  สิ่งที่นายเรียนอยู่น่ะ  ฉันยังอยากเรียนเลย”
    “ถ้าเป็นนายๆจะทำยังไงเหรอ”   ชุนถามชิน
      “  ที่นายรู้สึกอยู่ตอนนี้  เพราะคำว่าครอบครัวมันค้ำคอนายอยู่ใช่ไหม  แต่ถ้าเป็นฉัน  ถ้าฉันพยายามแล้วมันไม่ไหวจริงๆ ยังไงมันก็ไม่ได้แล้ว  ฉันก็จะบอกกับพ่อเลี้ยง  อธิบายให้เขาฟัง  ซักวันฉันคิดว่าเขาคงเข้าใจเรา  แล้วแผนสองของนายคืออะไร” ชินถามชุน
    “ก็ถ้าเรียนไม่ไหวจริงๆ  ก็ลองสอบอย่างอื่นดูมั้ง”  
    “นายก็คิดถูกแล้วนี่   หัดคิดอะไรเผื่อไว้บ้างก็ดี”
    ความเงียบเข้าแทรกการสนทนาของทั้งสองอีกครั้ง
    “ เท่าที่ฉันวิเคราะห์นายนะ  นายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง  นายฟังคนอื่นมากเกินไป  ขี้กลัว  ขี้ระแวงไปหมด  ชีวิตนายขาดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง  ได้แต่ฟังจากคนอื่น  แล้วนายก็เชื่อเขาไปหมดโดยไม่คิดจะลงมือสัมผัสด้วยตัวเอง  นายเป็นเด็กหัวอ่อนนะ  เชื่อฟังพ่อเลี้ยงกับแม่ดี  ก็ดีแล้วที่นายเป็นลูกที่ดี” ชินพูด
    “มันดูเหมือนฉันอ่อนแอใช่ไหม”  
    “ไม่หรอก  อย่างน้อยบทเรียนครั้งนี้  มันก็ทำให้นายแข็งแรงขึ้น  นายต้องคิดแล้วว่าจะจัดการกับมันยังไงต่อไป  นายต้องรู้แล้ว”
    ชุนเงียบไม่พูดอะไร ชินจึงปลอบเขาว่า
    “เอานะ  สุข  ทุกข์  เศร้า  ดีใจ  เสียใจ ปัญหา  มันก็มีอยู่แค่นี้วนเวียนกันไป  เพียงแต่จะทุกข์น้อย  ทุกข์มาก  ปัญหาน้อย  ปัญหามาก เท่านั้นเอง   ไม่เป็นไรนะ  พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้  เชื่อฉัน”
    “แล้วจำไว้อีกอย่างนึงนะชุนว่า   การที่นายมองอะไรก็ไม่มีค่า   แม้แต่สิ่งที่นายได้ทำลง  นายไม่เห็นคุณค่าของมัน   ไม่ให้ค่ากับมัน  อีกหน่อยนายก็จะมองว่าตัวเองไม่มีค่า    ฉันอยากเตือนนายแค่นี้แหละ   ฝันดีนะน้องชาย”

    จากคุณ : seem - [ 26 เม.ย. 49 09:32:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป