ตอนที่ 4 : เปรตขอส่วนบุญ
เรื่องเล่าในตอนนี้ก็ยังเป็นประสบการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นกับ ปูและมิ้นท์ สองสาวว่าที่แพทย์หญิงสุดเซ็กซี่แห่งหอ 8
จั่วหัวข้อว่าเปรตนี่ก่อนจะเล่าเรื่องต้องขออธิบายก่อนนะครับว่าเปรตที่ว่านี่หมายถึง ผีเปรต จริงๆนะครับ ไม่ใช่หมายถึงพวกลามกจกเปรตแต่อย่างใด และก็ไม่ได้หมายถึงเปรตปลอมๆอย่างเปรตกู้อะไรนั่นด้วย เอ่อ พอพูดถึงเปรตกู้ที่เป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อนแล้ว อดเซ็งในหัวใจไม่ได้ เพราะพอเมื่อทราบว่าในคณะที่ไปดูเปรตมามีหมอไปด้วยแล้วยังดูไม่ออกอีกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ว่ากันมากไม่ได้เพราะบรรยากาศกับความมืดอาจพา (สมอง) ไปก็ได้
คืองี้ครับตอนผมดูข่าว ดูวีดีโอเปรตกู้นั่นน่ะ รุ่นน้องนักศึกษาแพทย์นั่งดูอยู่ด้วยกันมันยังบอกเลยว่า พี่ๆ นี่มัน Marfan s syndrome ใช่ไหมพี่ ใช่เลยครับ กลุ่มอาการมาร์ฟาน เป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่งที่ผู้ป่วยมักมีลักษณะภายนอกที่ผิดปกติคือ ตัวสูง และมีแขนยาวผิดปกติ โดยจะผิดสัดส่วนมากเมื่อเทียบกับส่วนขา และนอกจากนั้นผู้ป่วยจะมีความผิดปกติอื่นๆอีกมากซึ่งคงไม่เขียนต่อล่ะครับ เดี๋ยวมันจะไม่ใช่เรื่องผีๆ เอาเป็นว่าเปรตกู้น่ะปลอมแน่ แต่เปรตที่สองสาวดาวเด่นของเราเจอะเจอนี่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ยังไงท่านผู้อ่านลองรับชมดูนะครับ
ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวของ จ.เชียงใหม่ ซึ่งแน่นอนเป็นหนาวแรกของพวกผมในภาคเหนือ อากาศหนาวมากพอควร มืดเร็ว และอยู่ในช่วงสอบเก็บคะแนนของชั้นปีที่ 1 เทอม 2 ของทุกคณะ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้พอตกเย็นนักศึกษาทั้งหลายต่างรีบกลับหอเพื่ออ่านหนังสือ นั่นรวมถึงกระผมด้วย แต่จริงๆแล้วมันมีเหตุผลอีกอย่างครับ คือช่วงนั้นหากใครอยู่มหาวิทยาลัย ตอนปี 2536 ก็คงพอจำได้ว่ามีข่าวลือหนาหูว่า เปรตอาละวาด มีคนเจอเยอะมาก รวมทั้งเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่วบริเวณ ผมเองก็ได้ยินครับ ลักษณะตอนแรกเป็นเสียงหมา หมาจริงๆครับเห่ากันหลายตัวเหมือนไล่อะไรมา พลัน! มีเสียงวี้ดดดด ยาวๆทะลุกลางปล้องขึ้นมา แล้วไอ้ผมกับรูมเมทสุดเลิฟก็ไม่อาจหาญชาญชัยออกไปพิสูจน์หรอกครับ ยอมรับว่ากลัว แหะๆ อย่างไรก็ตามมีคนเห็นเปรตเยอะจริงๆครับช่วงนั้นทั้งจะๆและไม่จะ นั่นรวมถึง สองสาวที่ผมจั่วหัวไว้แต่ต้น
เย็นวันนั้น ปูและมิ้นท์นั่งทอดอารมณ์ อยู่ที่ระเบียงชั้น 3 ของหอ 8 ดูเวลาก็ประมาณหกโมงเย็น บรรยากาศกำลังสบาย มีแสงแดดยามเย็นอ่อนๆอยู่ทำให้ไม่หนาวนัก ด้านล่างมีคนยืนคุยกันอยู่หลายคน บ้างก็นั่งจีบกัน บ้างก็ยืนรอซาละเปารถเข็นที่มาขายอยู่หน้าหอ บ้างก็นั่งอ่านหนังสือที่ม้าหินข้างล่าง คร่าวๆน่าจะมีคนอยู่ที่ลานชั้นล่างร่วมๆเกือบสิบคน
นี่มินท์ เดี๋ยวถ้าเราสอบเสร็จกันแล้วจะไปเที่ยวไหนกันดี ปูเอ่ยถามผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและรูมเมท
อะไรกัน แหม ! ยังไม่ทันสอบเสร็จเธอก็คิดเรื่องเที่ยวแล้วเหรอยะ มิ้นท์อดไม่ได้ที่จะแซวเพื่อน
อ้าว มันก็ต้องมีคิดกันบ้างสิ เอางี้ไปเที่ยวน้ำตกกันไหม ปูเสนอ
. ไม่มีคำตอบจากมิ้นท์
ว่าไงจ๊ะ ไปไหม คนช่วงนี้คงไม่เยอะนักหรอก เที่ยวสบาย ปูถามอีกเมื่อเห็นเพื่อนเงียบ
ยังคงไม่มีคำตอบจากมิ้นท์
ทีนี้ปูเริ่มสังเกตความผิดปกติของเพื่อน ปูจึงหันไปมองมิ้นท์ตรงๆ
มิ้นท์ในตอนนั้นอยู่ในอาการตกตะลึง อ้าปากค้าง เธอคงเห็นอะไรบางอย่างที่น่าพรั่นพรึงสังเกตได้จากขนที่ลุกชันทั่วทั้งแขนของเธอ
มิ้นท์ เป็นอะไรไป ปูตกใจในท่าทีของเพื่อน
ด .. ด
ดูนั่นสิ มิ้นท์แข็งใจพูด น้ำตาค่อยๆเอ่อล้นมาที่เบ้าตาทั้งสอง มือชี้ไปที่หอฝั่งตรงข้าม
คุณพระมาโปรดเถิด !! ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น เงาคน? เงาคนขนาดใหญ่ 2 เงา ทาบทับอยู่บนตัวตึกตรงข้าม ขอบบนของศีรษะเลยชั้นห้าขึ้นไปอีก ! ปูและมิ้นท์ค่อยๆแข็งใจหันไปฝั่งตรงข้ามของเงาที่ปรากฏ ในใจสับสนว่าอยากเห็นหรือไม่อยากเห็นเจ้าของเงาทั้งสองกันแน่
ไม่มี ! ไม่มีอะไรอยู่ ! ไม่มีเจ้าของเงาหรืออะไรอยู่ตรงนั้น !?
หันกลับไปดูที่ตึกตรงข้าม เงาทั้งสองก็ยังอยู่ที่เดิม !!
มองข้างล่างไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่นใดนอกจากไฟนีออนเล็กที่ชั้นล่างเปิดอยู่ 2 3 ดวง แน่นอนนั่นเป็นเงาที่เกิดจากอะไรสักอย่างที่ยืนบังแสงอาทิตย์
ก่อนที่ทั้งสองจะทำอะไรต่อไป
วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ
ตอนนี้สองสาวรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร รู้กระทั่งใครคือเจ้าของเงาลึกลับ
วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เสียงร้องโหยหวนยังดังต่อเนื่อง
ตอนนี้สองสาวกอดกันแน่นน้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม
วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เหมือนเสียงอันโหยหวนนั้นดังอยู่ข้างหู
ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น มิ้นท์พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า
อย่ามาหลอกกันเลย เดี๋ยวจะทำบุญไปให้นะ
เงียบสงบในบัดดล ไม่มีเสียงร้องโหยหวน ไม่มีเงาลึกลับบนตึกฝั่งตรงข้าม หูแว่วได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่ใต้หอชั้นล่างคุยกัน เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปมา ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หรือมีเพียงสองสาวเท่านั้นที่ได้เห็นและได้ยินสิ่งลึกลับเมื่อสักครู่ !!!
เช้าวันต่อมาทั้งคู่จึงชวนกันไปใส่บาตร ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตและสัมภเวสีแถวนั้นด้วยความหวังว่าจะได้ไม่ต้องมาขอแบ่งบุญแบ่งกรรมกันอีก
นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดในปี 2536 ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยมีใครได้เห็นหรือได้ยินผีเปรตเหล่านี้แล้ว แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเปรตเหล่านั้นไม่ได้อยู่ข้างๆตัวเรา และถ้าหากเปรตมีจริงนั่นหมายถึงคำบอกเล่าที่ว่าถ้าทำไม่ดีต่างๆตายไปแล้วจะต้องรับกรรมโดยต้องเป็นผีเปรตนั้นเป็นความจริง ดังนั้นเราๆท่านๆควรขยันหมั่นทำแต่ความดีเข้าไว้ เวลาตายไปจะได้ไม่ต้องมาปรากฏตัวเพื่อขอส่วนบุญใคร
จากคุณ :
Luckard
- [
27 เม.ย. 49 00:22:01
]