บันทึกของคนเดินเท้า
ข่าวน่าคิด
รายการทางโทรทัศน์ใน พ.ศ.นี้ มักจะมีข่าวแปลก ๆ ที่เรียกว่า สะเก็ดข่าว บ้าง เก็บตก บ้าง ข่าวอย่างนี้ก็มีด้วย และชื่ออื่น ๆ อีกบ้าง ทางหนังสือพิมพ์รายวันก็มีเหมือนกัน แต่มักจะเป็นข่าวเล็ก ๆ ในหน้าหลังสุดเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่คัดลอกเอามาเล่าคราวนี้ เป็นข่าวในหน้า ๑ ทีเดียว ไม่รู้ว่าจะอนุโลมเข้ากับข่าวทางโทรทัศน์ที่กล่าวข้างต้นหรือไม่
รายแรกเหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๒๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. มีเด็กชายสามคน พี่น้อง อายุประมาณ ๑๒ ๑๔ ปี คือ ด.ช.ชาติ กับ ด.ช.เกียรติ และ ด.ช.ศักดิ์ ซึ่งคู่แรกเป็นฝาแฝด ได้พากันหนีโรงเรียนไปเที่ยวที่เขาดินวนาหรือสวนสัตว์ดุสิต แล้วก็เดินชมสัตว์ต่าง ๆ ไปตามรายทางจนถึงบ่อจระเข้น้ำเค็ม ซึ่งเรียกว่าตะโขง กำลังนอนผึ่งลมกันอยู่ ๔ ๕ ตัว
บ่อนั้นกว้างประมาณ ๔ เมตร ยาวประมาณ ๖ เมตร และขอบบ่อสูงเพียงเอว ภายในบ่อมีเหรียญบาทจากผู้ที่โยนลงไปเพื่อสะเดาะเคราะห์ มากมาย
ด.ช.เกียรติ เกิดอยากได้เงินมาซื้อขนมแบ่งกันกิน จึงปีนข้ามขอบบ่อเข้าไปหมายจะเก็บเงินเหล่านั้น บังเอิญมีจระเข้ตัวหนึ่งยาวประมาณสามเมตรเหลือบเห็นผู้บุกรุก จึงกระโดดเข้างับแขนหมายจะเขมือบเป็นเหยื่อ
แต่เด็กชายสะบัดหลุดได้ แล้วตะกายมาที่ขอบบ่อ พอดีพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ใกล้ขอบบ่อจึงช่วยดึงตัวข้ามขอบบ่อมาได้ แล้วให้เจ้าหน้าที่สวนสัตว์จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลเพราะได้รับบาดแผลที่แขนเหวอะหวะ
พระอธิการวอน โชติยาโณ ผู้ช่วยเหลือเด็ก ได้เล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับแจ้งความว่า อาตมาเห็นเข้า พอหายจากตกตลึงก็พอดี ด.ช.เกียรติ แกสะบัดมือหลุดจากปากจระเข้ อาตมาเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปฉุดเอาแกออกมาจากบ่อ รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของจระเข้ไปได้อย่างหวุดหวิด ในขณะที่จระเข้ตัวนั้นกำลังตั้งท่าจะพุ่งตัวเข้ามาขย้ำซ้ำสอง
เด็กทั้งสามคนพี่น้องคงจะจดจำ เรื่องที่น่าหวาดเสียวนี้ ไว้เป็นบทเรียนสอนใจจนบัดนี้เป็นแน่
รายต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางนาค (นามสมมุติ) หญิงชราอายุ ๗๙ ปีอยู่บ้านไม่มีเลขที่ ตำบลบางศรีเมือง เขตเทศบาลเมืองนนทบุรี ได้หอบสังขารเข้าแจ้งความกับนายร้อยเวร สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองว่า
ก่อนที่จะนำความมาแจ้งนี้ ได้ถูกชายคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓๐ ปี คนข้างบ้าน ได้บุกเข้าฉุดหมายจะปลุกปล้ำ และข่มขืนกระทำชำเรา ในขณะที่นางกำลังเดินเข้าซอยบ้าน ด้วยความตกใจกลัวจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านใกล้เคียง ชายผู้นั้นจึงตกใจวิ่งหนีไป ตามถนนหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งและลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ก็ออกติดตามจับกุมตัวคนร้ายอย่างกวดขัน แต่ก็ไม่ได้ร่อยรอยประการใด
เมื่อตำรวจสอบสวนต่อไปว่า เหตุใดจึงคิดว่าคนร้ายจะข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายจึงบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันชายผู้นี้เคยบุกเข้าปลุกปล้ำข่มขืนกระทำเชาเราตน จนสำเร็จความใคร่ไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่นางไม่ได้แจ้งความและไม่ติดใจจะเอาเรื่อง
แต่มาคราวนี้ยอมไม่ได้เพราะเป็นการกระทำต่อหน้าประชาชน และเป็นเวลากลางวันแสก ๆ ซึ่งทำให้อับอายมาก เพราะนางก็อายุ แก่มากแล้วไม่น่าจะทำกันเช่นนี้เลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องพยายามสืบสวนติดตาม เพื่อนำตัวชายผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่รู้จัก กาละเทศะรายนี้ มาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวก็คือ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ปีเดียวกัน นายประมุข บ้านอยู่ที่อำเภอสว่างดินแดน จังหวัดสกลนคร ได้รับข่าวทางโทรเลข จากนายประมวลบุตรชายของตน ซึ่งอยู่ที่อำเภอแก่งคอยจังหวัดสระบุรีว่า
อ๋อยถึงแก่กรรมแล้ว
ซึ่งอ๋อยนี้ก็คือบุตรสาวของตน ซึ่งเป็นน้องของนายประมวลนั่นเอง
นายประมุขและนางทองมา ซึ่งเป็นบิดามารดาก็ตกใจและเตรียมการจัดงานศพตามประเพณี แล้วก็พากันเดินทางไปที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ในวันนั้นเอง เพื่อรับศพมาทำพิธีตามประเพณี
แต่กลับพบว่า น.ส.อ๋อย ไม่ได้ตาย แทนที่จะดีใจ นางทองมามารดา ถึงกับช็อคหัวใจวายถึงแก่กรรมไปด้วยความตกใจ
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะนายประมวลได้ส่งโทรเลขที่มีข้อความว่า
อ๋อยถึงแก่งคอยแล้ว
แต่พนักงานโทรเลข ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้ส่งข้อความผิดพลาด นายประมุขกับนายประมวลสองคนพ่อลูก จึงต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลยุติธรรมต่อไป
รายต่อมาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ปีเดียวกัน เวลา ๑๒.๐๐ น. นายบุญสม อายุ ๔๐ ปี ได้พาเด็กชายทุย (นามสมมุติ) อายุ ๘ ขวบ ทั้งสองอยู่บ้านตำบลปรุใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เข้าแจ้งต่อนายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง อำเภอเมือง ให้จับนายจุ้ย (นามสมมุติ) อายุ ๒๙ ปี ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ช.ทุย
เนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม มีคนร้ายลอบเข้าไปโจรกรรมในอู่รถของนายบุญสม สิ่งของที่ถูกลักขโมยไปมีคีมคีบหัวเชื่อมไฟฟ้า ๕ ตัว และหม้อน้ำรถยนต์ รวมราคาทั้งหมด ๔๐๐๐ บาท โดยที่นายบุญสมไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร
แต่ ด.ช.ทุย ได้มาหานายบุญสมที่บ้าน แจ้งให้ทราบว่าคนร้ายรายนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้เป็นบิดาของตนเอง และมีผู้ร่วมมือด้วยอีกคนหนึ่ง จึงรีบมาแจ้งความตามที่ ด.ช.ทุย บอก
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรุดไปจับตัวนายจุ้ยกับเพื่อนได้โดยละม่อมที่บ้านและนำตัวมาสอบสวน ทั้งสองก็ให้การสารภาพตลอดข้อหา นายจุ้ยผู้นี้เคยถูกจับเข้าคุก ฐานลักทรัพย์ชาวบ้านมาสองสามครั้งแล้วไม่เข็ดหลาบ ออกจากคุกก็ประพฤติตัวเช่นเดิมอีก ตำรวจจึงคุมตัวนายจุ้ยกับเพื่อนไว้ดำเนินคดีต่อไป
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวน ด.ช.ทุย เพิ่มเติม จึงได้ทราบว่าการที่มาเป็นพยานให้นายบุญสมครั้งนี้ ก็เพราะแค้นที่นายจุ้ยผู้พ่อทอดทิ้ง ไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู ปล่อยให้อยู่กับยายตลอดมา
และหลังจากโจรกรรมทรัพย์สินมาได้แล้ว ก็บังคับให้ ด.ช.ทุยนำไปขายตามร้านรับซื้อของเก่า โดยเจ้าตัวไม่เต็มใจอยู่เสมอ เมื่อได้เงินมาแล้วก็เอาไปซื้อเหล้ากิน
ครั้นเมาแล้วก็ด่าว่าตนเองกับยายทุกครั้ง สร้างความเจ็บแค้นให้เป็นอย่างมาก
ที่สำคัญก็คือนายจุ้ยนี้เป็นพ่อเลี้ยง เพราะ ด.ช.ทุยเป็นลูกติดแม่ที่มาเป็นเมีย นายจุ้ยเท่านั้น เมื่อได้รับความคับแค้นใจ จึงอาสามาเป็นพยานให้นายบุญสมจับนายจุ้ยดังกล่าว
เรื่องนี้ไม่ทราบว่า เมื่อนายทุยพ้นโทษออกมาคราวนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับ ด.ช.ทุย อีก.
#########
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
28 เม.ย. 49 06:55:47
]