CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เ มื่ อ เ ร า ( รู้ ว่ า ) รั ก กั น ___________________ช้ า เ กิ น ไ ป : ตอนจบ

    ความจริง...บอกไว้ว่าเมื่อวานจะมาโพสตอนจบ

    แต่ว่าเผอิญมีเหตุบังเอิญหลายสิ่งหลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นระบบเน็ตเวิร์ค
    ในสำนักงานล่ม พายุเข้า ตาอักเสบ (อันหลังนี่เกี่ยวรึเปล่าเนี่ย?) ก็เลยทำให้
    ไม่ได้แปะตอนจบได้

    วันนี้เลยรีบมาแปะโดยไวค่ะ ^ ^

    สำหรับคนที่เพิ่งมาอ่านกระทู้นี้... ขอแนะนำให้ไปอ่านตอนแรก
    ของเรื่องนี้ก่อนค่ะ

    ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4322655/W4322655.html

    สาเหตุที่ต้องทำอย่างนั้น คิดว่า... น่าจะเป็นเพราะถ้าหากอ่านไม่
    ต่อเนื่องกันอาจจะทำให้อรรถรสในการอ่านเปลี่ยนไปค่ะ

    ถ้าพร้อมแล้ว... ก็ไปอ่านตอนต่อไปกันเลยค่ะ

    =================================

    ‘ความโลภของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด...’


    นั่นเป็นสิ่งที่ฉันประจักษ์กับตัวเองเมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าประตูห้องในอีกสองวันต่อมา...


    ในตอนเช้าหลังจากค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไป ฉันรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว และออกไปข้างนอก
    ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา เพราะบางที... การที่เราไม่ได้พบหน้ากันอีกหลังจากร่วมกัน
    กระทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตไปอาจจะทำให้ความรู้สึกผิดบาปในใจของเราทั้งสองคน
    ทุเลาลงก็ได้

    ฉันเลือกที่จะมานั่งปล่อยจิตใจที่สวนสาธารณะใจกลางเมือง และนั่งเหม่อลอยอยู่ที่นั่น
    นานพอที่ฉันแน่ใจว่า เขาได้ออกจากที่พักของฉันไปแล้ว ฉันจึงกลับไป...

    ในทีแรกฉันแอบหวั่นใจว่าจะเห็นเขายืนอยู่ในห้องหรือไม่ ทั้งที่ในเบื้องลึกของความ
    ต้องการอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา... ฉันพบเพียงโน้ตสั้นๆ ที่เขาเขียน
    แปะไว้ตรงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ฉันดึงกระดาษแผ่นเล็กนั้นมาอ่าน และข้อความใน
    นั้นก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นระส่ำ...


    ‘อยากให้ค่ำคืนยืดยาวออกไปตลอดกาล...’


    ข้อความเพียงแค่ประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งใด น้ำตาไหลรินออกมา
    ไม่ขาดสายหลังจากที่ฉันอ่านข้อความนั้นจบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องนี้ยังติดตรา
    ตรึงอยู่ในทุกส่วนของความรู้สึก ร่างกายของฉันเองก็ยังจำได้ดีถึงสัมผัสของเขา ฉันกอด
    ตัวเองและซุกตัวอยู่บนเตียงและร้องไห้เงียบๆ


    เพราะแม้ว่าจะโหยหาเพียงเท่าไร... แต่มันก็เป็นไปไม่ได้


    ***********************


    ฉันขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนตลอดวันถัดมา ฉันนั่งมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่
    ในมือ ณ เวลานี้ มีหมายเลขโทรศัพท์อยู่สองหมายเลขที่ฉันอยากจะโทรไปหา


    หมายเลขแรกคือเขา...


    และหมายเลขที่สองคือคู่หมั้นของฉัน...


    อาจจะดูเลวที่ฉันนึกอยากจะโทรหาคู่หมั้นเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง แต่อีกใจหนึ่ง
    มันก็อยากจะโทรไปหาเขา เพื่อร่ำร้องบอกว่าฉันต้องการอยู่ในอ้อมกอดเขา อยากอิงแอบ
    แนบชิดกับไออุ่นในร่างกายของเขา และโดยที่ฉันไม่รู้ตัว...


    ฉันก็กดหมายเลขไปหาเขาเสียแล้ว...


    ฉันกลั้นใจฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ด้วยความขลาดกลัว และเมื่อปลายสายรับ ฉันก็รีบ
    กดตัดสายทันที!

    ถ้าหากมองกระจก ตอนนี้ใบหน้าของฉันคงขาวซีดราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้
    ทั้งที่ฉันบอกตัวเองไปแล้วว่าขอให้มันเกิดขึ้นในค่ำคืนเดียวเท่านั้น แต่ยิ่งได้... ฉันก็ยิ่ง
    ต้องการมากไปกว่านี้ ฉันเหยียดยิ้มหยันให้กับตัวเองที่ช่างอ่อนแอกับความต้องการเบื้อง
    ลึกเหลือเกิน...


    และท้ายที่สุด... ฉันก็โทรไปหาคู่หมั้นของฉัน


    “ว่ายังไงครับที่รัก ได้เจอเพื่อนไปกี่คนแล้วล่ะ?” พีททักทายฉันด้วยความอ่อนโยนแบบนี้
    เสมอ

    ฉันฝืนยิ้มให้กับโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่รู้ดีว่าพีทคงไม่เห็นหน้าฉันหรอก “ก็เจอเพื่อนสนิท
    ไปสองสามคนค่ะ”

    “แล้วเพื่อนสนิทที่ว่านี่ รวมเพื่อนคนที่คุณชอบเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ ด้วยรึเปล่า?” คำถาม
    ของเขาทำให้ฉันสะดุ้งวาบ... เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ‘วัวสันหลังหวะ’ มันรู้สึกแบบไหน

    “ก็เจอค่ะ คุณถามถึงเขาทำไมเหรอคะ?” ฉันปรับเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำ
    ได้ แม้ว่าจะหวั่นใจอยู่ว่าเขาคงจะไม่รู้เรื่องอะไรหรอกนะ...

    เขาหัวเราะ “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็ไหนๆ เขาก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณ ผมว่าคุณน่าจะ
    ชวนเขามางานแต่งงานของเราด้วยนะ”

    “ฉันว่าเขาคงไม่สะดวกมามั้งคะ ตั้งอเมริกาเชียวนะ ไหนจะหน้าที่การงานเขาอีกล่ะ?”

    “นั่นสิ... ผมลืมไปเลย”

    พอพีทพูดมาถึงตรงนี้ฉันถึงกับลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะแค่นยิ้มด้วย
    ความสมเพชตัวเอง ที่จะต้องมานั่งโกหกเขาราวกับเด็กที่โกหกพ่อแม่ว่าตัวเองไปทำ
    อะไรผิดมา

    และก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อไป เสียงกริ่งประตูห้องก็ดังขึ้นมาเสียก่อน... คงจะเป็นพนักงาน
    ร้านฟาสต์ฟู้ดที่ฉันเพิ่งโทรสั่งไปก่อนหน้านี้กระมัง

    “เสียงกริ่งนี่ ใครมาเหรอ?” ไม่อยากจะเชื่อว่าโทรศัพท์สัญญาณดีถึงขนาดเขาเองก็ยังได้ยิน

    “คงจะเป็นคนส่งอาหารน่ะค่ะ ฉันเพิ่งโทรไปสั่งก่อนหน้าจะโทรหาคุณนี่แหละ”

    เขาทำเสียงอือเป็นเชิงรับรู้ “แล้วคุณจะอยู่ให้ครบเดือนหนึ่งจริงๆ เหรอ ผมนอนที่นี่
    คนเดียวมันหนาวนะครับที่รัก”

    มันเป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกผิดขึ้นมา ก่อนที่จะเอ่ยปลอบเขา “แค่เดือนเดียวเองค่ะ...
    แต่ไม่แน่ว่าฉันอาจจะกลับไปก่อน”

    เสียงกดกริ่งประตูดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้ฉันต้องลุกไปเปิดประตู

    “ถ้าอย่างนั้นผมไปรับกลับมาไหมล่ะ?”

    “โอ๊ย! อย่าลำบากเลยค่ะ เดี๋ยวถ้าฉันจะกลับไปวันไหน คุณค่อยไปรอรับฉันที่สนามบิน
    ดีกว่านะคะ” ฉันเอ่ยห้ามพีทแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อจะยื่นเงินให้กับพนักงานส่งของ แต่ฉัน
    ก็ชะงักค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร...


    พนักงานส่งของร้านนี้ทำไมหน้าตาเหมือนกับเขาไม่มีผิด...


    “ทำไมคุณเงียบไปล่ะครับ” เสียงปลายสายเรียกให้ฉันกลับไปสนใจกับบทสนทนาทาง
    โทรศัพท์อีกครั้ง

    “เอ่อ...พีทคะ เดี๋ยวฉันขอวางสายก่อนนะคะ ต้องไปหยิบเงินให้กับคนส่งของน่ะค่ะ”
    แม้ปากจะคุยกับโทรศัพท์ แต่สายตาของฉันกลับมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา

    น่าขอบคุณที่พีทเป็นคนพูดง่าย เขาจึงไม่ซักไซ้อะไรกับฉันต่อไป
    “ได้สิจ๊ะ อ้อ...ผมรักคุณนะ”

    คำบอกรักของพีททำให้ฉันลังเลที่จะเอ่ยตอบ เพราะฉันคงเอ่ยบอกเขาได้อย่างเต็มใจถ้า
    หากฉันไม่ได้พบเจอกับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันก่อนหน้านี้...

    “ว่าไงจ๊ะ?” พีทเร่งเมื่อเห็นฉันเงียบไป

    ฉันมองผู้ชายที่ยืนตรงหน้าที่กำลังจ้องมองฉันอยู่เช่นกัน คล้ายกับว่าจะดูว่าฉันจะทำ
    อย่างไรต่อไป

    ในที่สุด... ฉันก็ต้องเอ่ยบอกเขาทั้งที่ใจกลับรู้สึกกับอีกคนมากกว่า

    “ค่ะ... ฉันก็เหมือนกัน”


    ******************************


    “พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟเชียวนะ...”

    เขาถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่ฉันคุยโทรศัพท์เสร็จ โดยไม่รอคำอนุญาตจาก
    ฉัน เขาวางกล่องอาหารที่ฉันสั่งไปไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะไปนั่งเอกเขนกตรงโซฟา

    “ฉันเห็นพนักงานส่งของถือเข้ามาตอนที่กำลังจะเดินเข้ามาในนี้ พอรู้ว่าเขาจะเอาไปส่ง
    ห้องแก ฉันก็เลยจ่ายเงินให้แทน แล้วก็เอามาให้แกนี่แหละ”

    ฉันยังคงยืนอยู่ตรงประตูห้อง “แกมาที่นี่อีกทำไม?”

    เขาหันมามองฉันแล้วเลิกคิ้ว “อ้าว เพื่อนมาหาเพื่อนผิดด้วยหรือไง แล้วอีกอย่าง...
    วันหยุดอย่างนี้ฉันไม่อยากนั่งหง่าวอยู่บ้านคนเดียวหรอก”

    “เพื่อนแกมีแค่ฉันคนเดียวหรือไง” ฉันว่าพลางเปิดประตูเป็นเชิงไล่เขา “แกกลับไปเถอะ
    ฉันว่าตอนนี้เราไม่ควรที่จะมาพบกัน”

    “อย่างนั้นเหรอ?” เขาลุกมาเดินตรงหน้าฉันอีกครั้ง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเขา
    ขึ้นมา ฉันใจหายวาบ...

    “ถ้าอย่างนั้นแกโทรหาฉันทำไม?” แววตาของเขาบอกให้ฉันรู้ว่าเขาเองก็คงรู้สึกไม่
    แตกต่างไปจากฉันเช่นกัน

    ฉันเบือนหน้าหลบสายตาของเขา “ก็แค่โทรผิดเบอร์”

    “หึ โทรผิดเบอร์งั้นเหรอ?” แล้วเขาก็กระชากร่างฉันเข้าไปแนบชิด

    “รู้มั้ยว่าเวลาโกหก แกจะไม่มองหน้าฉัน”

    “อย่าทำอย่างนี้เลย... แค่นี้เรายังทำบาปกันไม่พออีกเหรอ?” ฉันเอ่ยห้ามเขาด้วยเสียง
    ไหวสะท้าน และมือทั้งสองข้างก็ดันอกเขาเพื่อดันตัวเองออกห่าง แต่มันก็ไร้ประโยชน์...
    ก็ฉันสู้แรงเขาได้ที่ไหนล่ะ?

    “เรื่องนั้นฉันรู้ดี... สองวันที่ผ่านมานี่ฉันทรมานแค่ไหนแกรู้มั้ย ไม่ว่าจะไปที่ไหนใจฉันมัน
    กลับมาอยู่ที่นี่... นึกถึงเวลาที่ฉันกอดแกในคืนก่อน...” เขาพูดได้เพียงแค่นั้นเพราะโดน
    มือฉันปิดปากเขาไว้

    “อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย... คืนนั้นมันผ่านไปแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก...”

    ดวงตาของเขาจับจ้องมองหน้าฉันนิ่ง... และเขาคงเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาฉันแน่
    เขายกมือขึ้นกุมมือของฉันที่ปิดปากเขาไว้ แล้วพรมจุมพิตลงบนฝ่ามือของฉัน ความรู้สึก
    ร้อนวาบไหลผ่านจากฝ่ามือเข้ามาสะเทือนถึงหัวใจ...


    ฉันรู้ดี... ฉันกำลังจะแพ้ใจของตัวเอง...


    “เราต่างก็รู้ดีว่าเราต้องการมันมากกว่านั้นไม่ใช่เหรอ?” เขาดึงมือของฉันมาแนบหน้าอก
    ข้างซ้ายของเขา ฉันรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อตรงส่วนนั้นสะท้านเยือก และระรัวด้วยเสียงเต้น
    ของหัวใจ...

    “พอเถอะ... เราหยุดก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไปดีกว่า” ฉันทัดทานเขาด้วยน้ำเสียง
    อ่อนล้าเต็มที

    เขาโอบร่างของฉันแนบแน่น ใบหน้าของเขาอยู่ชิดใกล้จนเราสัมผัสได้ถึงลมหายใจของ
    กันและกัน เขาเชยปลายคางของฉันด้วยนิ้วหัวแม่มือ

    “ทุกอย่างมันเดินหน้ามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว” เขากระซิบชิดริมฝีปากฉัน ก่อนจะแนบ
    ประทับดื่มด่ำจนกระชากมโนธรรมทั้งหมดที่ฉันพยายามเหนี่ยวรั้งไว้ปลิวหายไปหมดสิ้น
    ฝ่ามือร้อนรุ่มลูบไล้ไปทั่วเนื้อตัว ก่อนที่เขาและฉันจะปลดเปลื้องความปรารถนาและ
    ความต้องการของกันและกัน ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า


    ***************************


    ฉันรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ยอมให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นในคืนนั้น... เพราะมันเหมือนกับ
    ยาเสพติดที่เมื่อได้ลองแล้ว เราก็ยิ่งต้องการมันมากขึ้น... มากขึ้นเรื่อยๆ จนหลงลืมทุก
    สิ่งทุกอย่างรอบตัวไปเสียสิ้น


    ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังลุ่มหลงในตัวเขา... เช่นเดียวกันกับเขาที่ลุ่มหลงในตัวฉัน


    เมื่ออยู่ในโลกภายนอก เราดูเหมือนเพื่อนสนิทธรรมดาทั่วไปที่หยอกล้อเล่นกันไปตาม
    ประสา หากแต่เมื่ออยู่ในห้องพักของฉัน เราก็กลายสภาพเป็นคู่รักร้อนแรงที่ตักตวง
    ความสุขซึ่งกันและกันอย่างหิวกระหาย เวลาผ่านเลยไปจนกระทั่งถึงคืนนี้ อีกหนึ่ง
    อาทิตย์ก็จะครบกำหนดที่ฉันจะต้องกลับไป และภรรยาของเขาเองก็จะกลับมา...


    “อย่ากลับไปแต่งงานกับเขาเลย” เขาเอ่ยขึ้นมาในขณะที่กำลังตะครองกอดร่างฉันไว้บน
    เตียง หลังจากไฟรักอันเร่าร้อนแผดเผาเราสองคนจนมอดไหม้ไปแล้ว

    ฉันเงยหน้าที่ซุกซบอยู่กับไหล่หนาขึ้นมามองหน้าเขา “ทำไมถึงพูดแบบนี้”

    วงแขนของเขาโอบร่างฉันให้แนบกระชับ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังจนฉันนึกกลัว
    “ฉันจะหย่ากับแจง”

    คำพูดของเขาทำให้ฉันผุดลุกขึ้นจากเตียงทันที มือทั้งสองข้างของฉันจับผ้าห่มที่พันร่าง
    เปลือยของตัวเองไว้แน่น เช่นเดียวกับริมฝีปากที่เม้มสนิท มโนธรรมและความสำนึกใน
    ผิดบาปไหลบ่าเข้ามาสู่จิตใจทันที

    เขานิ่วหน้าเมื่อเห็นฉันมองเขาเหมือนผีร้ายอะไรสักอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นมาโอบกอดฉันไว้
    แต่ฉันก็สะบัดหนี

    “ไม่เอาน่า... อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”

    “มันไม่ถูกต้องที่จะทำอย่างนั้น... จริงๆ แล้ว มันไม่ควรที่จะเริ่มต้นเลยต่างหาก”

    (มีต่อค่ะ ^ ^)

    จากคุณ : ตัว(Z) - [ 30 เม.ย. 49 15:13:28 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป