CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เมื่อหมอ ... เจอผี !!! ตอนที่ 6 : ตึกกรอสส์

    ตอนที่ 6 : ตึกกรอสส์

    หลังจากที่ผมและเพื่อนๆร่วมชั้นเรียนสอบผ่านชั้นปีที่ 1 มาได้อย่างทุลักทุเล ก็สามารถขึ้นชั้นเรียนปีที่ 2 ของคณะแพทยศาสตร์ได้ครบหมดทุกคน ซึ่งภาษาของนักศึกษาแพทย์จะเรียกว่าสามารถข้ามฝั่งมาเรียนได้  ที่เรียกว่าข้ามฝั่งก็เพราะตอนเรียนชั้นปีที่ 1 นั้นพวกผมต้องเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ในตัวมหาวิทยาลัย ซั่งมีชื่อเล่นๆว่า “ สวนสัก ” และพอสอบผ่านชั้นปีที่ 1 บรรดาคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ อันได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ พยาบาล และคณะสัตวแพทย์  ( คณะสุดท้ายนี้ผมไม่แน่ใจว่าต้องข้ามฝั่งมาเรียนหรือเรียนในตัวมหาวิทยาลัยเหมือนเดิมเพราะสมัยผมเรียนคณะนี้ยังไม่ก่อตั้ง – ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ ) ต้องมาเรียนชั้นปีที่ 2 เป็นต้นไปบริเวณส่วนของโรงพยาบาล ซึ่งแถวๆนั้นมีชื่อเรียกเล่นๆว่า “ สวนดอก ” จึงเป็นที่มาของคำว่า ข้ามฝั่งนั่นเอง


    เมื่อข้ามฝั่งมาเรียนที่คณะแพทย์ได้สำเร็จ ในปีการศึกษาที่ 2 นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องผ่านหลักสูตร มหกายวิภาคศาสตร์ ( Gross Anatomy ) ซึ่งจะเป็นการศึกษาลักษณะภายนอกและภายในของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจะต้องศึกษากับผู้อุทิศร่างกาย ผู้ที่นักศึกษาทุกคนให้ความเคารพโดยจะเรียกท่านเหล่านั้นว่า     “ อาจารย์ใหญ่ ” นั่นเอง ส่วนตึกที่เรียนวิชานี้ก็จะถูกเรียกว่า “ ตึกกรอสส์ ” หรือ
    “ ห้องกรอสส์ ” ครับ


    ห้องกรอสส์ ภายในจะเป็นห้องกว้างๆ มีเตียงสำหรับวางอาจารย์ใหญ่เรียงรายหลายสิบเตียง โดยแต่ละเตียงจะมีระยะห่างพอสมควร เนื่องจากอาจารย์ใหญ่แต่ละท่านจะมีนักศึกษาแพทย์เรียนประมาณ 6 คน ( ไม่ทราบว่าปัจจุบันกี่คนแน่ ) บรรยากาศไม่น่ากลัวเพราะไฟสว่างมากและเรียนกันทีเป็นร้อยคน แต่นั่นแหละครับตอนเรียนตอนกลางวันมันไม่น่ากลัว แต่อีตอนจะสอบมันอ่านหนังสือ ไม่ทันกัน นักศึกษาบางคนก็ต้องมาติว มาดูอาจารย์ใหญ่นอกเวลาเรียนซึ่งส่วนมากก็กลางคืนนั่นแหละครับ เรื่องที่มันไม่ควรเจอมันก็เลยต้องเจ๊อะเข้าให้


    เหลืออีกสามวันจะถึงเวลาสอบเก็บคะแนนแล้ว บรรดานักศึกษาแพทย์ทั้งหลายต่างพากันรีบอ่านรีบท่องหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แน่นอนวิชากายวิภาคนี้จะท่องแต่ตัวหนังสือไม่ได้ต้องมาดูอาจารย์ใหญ่ด้วยถึงจะจำได้ เย็นวันนี้ก็เช่นกันมีนักศึกษาแพทย์กลุ่มใหญ่ชวนกันมาติวที่ห้องกรอสส์ตามปกติ และหนึ่งในบรรดานักเรียนเตรียมสอบก็คือ อั้ม สาวแว่นร่างเล็กประจำชั้นปี


    “ เอ้า ทุกคนยิ้มหน่อย ” อั้มร้องเรียกเพื่อนๆทีกำลังก้มหน้าก้มตาดูอาจารย์ใหญ่
    “ แชะ ” อั้มถ่ายรูปทุกคนที่หันหน้ามาแอ็คท่าทันทีที่ได้ยินเสียงอั้ม ถึงแม้จะต้องรีบติวแต่ยังไงโรคบ้ากล้องก็รักษาไม่หาย
    “ เเกจะถ่ายไปทำไมวะ ห้องกรอสส์เนี่ย ” ฟ้านักศึกษาสาวร่างเล็กอีกคนร้องถามมา
    “ เอาน่า ที่ระลึกน่ะ ” อั้มพูดแล้วพลางเดินไปถ่ายรูปพวกบ้ากล้องกลุ่มถัดไป


    ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว สาวนักเต้นแอโรบิคอย่างอั้มชักอยากไปออกกำลังกายตะหงิดๆ
    “ เพื่อนๆ เรากลับก่อนนะ จะไปเต้นแอโรบิค” อั้มร้องบอกเพื่อนๆ
    “ จะสอบอยู่แล้วจะไปเต้นอีกเรอะ ” หนึ่งในนั้นตะโกนถามมา
    “ เอาน่าๆ คลายเครียดก่อน ”
    “ เออๆ ตามใจ ” คนเดิมตอบออกมาอย่างไม่สนใจนักพลางก้มหน้าดูหนังสือต่อไป
    อั้มเดินลงจากตึกกรอสส์มา ระหว่างทางที่จะถึงที่จอดมอเตอร์ไซค์แม้จะเปลี่ยวแต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะเป็นเวลาเย็น ตะวันยังฉายแสงอยู่


    ตุบ ! แมวดำตัวหนึ่งกระโดดลงจากต้นไม้ริมทางเดินลงมาอยู่เบื้องหน้าอั้ม กลางทางเดินห่างไปไม่เกินสามสี่เมตร ลักษณะเป็นแมวดำปลอดตัวเขื่องทีเดียว ซ้ำยังจ้องตามายังอั้ม นัยน์ตาสีเขียววาววับ

    อั้มไม่คิดอะไร แมวธรรมดาๆนี่เองและที่สำคัญเธอก็ไม่ใช่คนกลัวแมว
    อั้มจึงสืบเท้าไปทางซ้าย เพื่อจะเดินหลีกแมวข้างหน้า

    แมวย่างเท้ามาด้านเดียวกับที่อั้มจะเดินไป

    “ แหม ใจตรงกันจริงนะ ” อั้มคิดติดตลก พร้อมกลับเปลี่ยนใจเดินไปอีกด้าน

    เหมือนเล่นตลก แมวดำตัวนั้นเดินกลับมาขวางอั้มอีกครั้ง นัยน์ตาเขียวคู่นั้นยังจ้องจับที่ใบหน้าของอั้มอย่างไม่ละวาง

    คราวนี้อั้มชักขำไม่ออก สืบเท้าจะเดินเลี่ยงแมวไปทางซ้ายอีกครั้งเป็นทีที่สาม
    นัยน์ตาเขียวยังจ้องเขม็งพร้อมๆกับสืบเท้ามาด้านที่อั้มจะเดินไปอีกครั้ง ครั้งที่สามเช่นกัน

    คราวนี้นอกจากจะตลกไม่ออกแล้ว อั้มก็ไม่คิดจะลองเป็นครั้งที่สี่ ขืนลองแล้วแมวมันเดินมาขวางอีกมิเผ่นป่าราบกลับไปบนตึกให้เพื่อนหัวเราะเล่นเรอะ
    แวบหนึ่งในความคิด หรือว่าเพราะเราถ่ายรูป

    ถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต !!

    แน่นอนรูปที่ถ่ายต้องถ่ายติดอาจารย์ใหญ่ไปหลายท่านแน่ๆ
    อย่างไม่รอช้าอั้มยกมือพนมไหว้ไปทางตึกกรอสส์ ขอขมาโทษหากทำอะไรล่วงเกิน
    หันกลับมาอีกที แมวดำตัวนั้นเดินไปทางต้นไม้ริมทางพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้แล้วกระโดดจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    บังเอิญ ?? หรือว่าไม่ใช่ ??

    อั้มไม่คิดต่อ เดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะขี่ไปออกกำลังกายตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก


    เกือบสองทุ่มแล้ว อั้มเตรียมสมุดหนังสือเพื่อกลับมาท่องหนังสือที่ห้องกรอสส์อีกครั้ง หลังจากออกกำลังกาย อาบน้ำ กินข้าวเสร็จเธอรู้สึกมีสมาธิดีเยี่ยม

    เธอจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่เดิมเมื่อตอนเย็น พลางส่งสายตามองหาแมวดำตัวนั้นถ้าเจออีกเธอกะจะให้มันเดินผ่านไปก่อน ไม่งั้นประสาทเสียแน่
    แต่ก็ไม่มีวี่แววของแมวสักตัว

    อั้มสลัดความคิดที่ก่อให้เกิดความกลัวออกไปจากหัว พร้อมตั้งสมาธิอีกครั้งแล้วเดินไปสู่ห้องกรอสส์ด้วยพลังใจอันเปี่ยมล้น
    “ เพื่อนๆ เรามาอ่านหนังสือด้วยคนนะ ” อั้มเปิดประตูที่ไม่เคยล็อคของห้องกรอสส์เข้าไปพร้อมเอ่ยทักทายตามสไตล์คนอารมณ์ดี

    ความเงียบคือคำตอบ ไม่มีเพื่อนเธออยู่สักคน มีแต่อาจารย์ใหญ่นอนเรียงรายอยู่อย่างสงบนิ่ง

    เธอรวบรวมสติที่เริ่มจะแตก พร้อมกลับก้าวเดินช้าๆไปยังโต๊ะอาจารย์ใหญ่กลุ่มเธอ ซึ่งอยู่เกือบจะในสุด


    อั้มนั่งลงช้าๆ วางกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ไว้บนโต๊ะข้างตัว วางหนังสือไว้บนตัก พร้อมกลับเปิดผ้าคลุมอาจารย์เพื่อเริ่มท่องหนังสือเงียบๆ


    ท่ามกลางความเงียบสงบ สายตาอยู่ที่ตัวหนังสือแต่หัวสมองกลับไปนึกถึงเรื่องเล่าที่รุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่า มีนักศึกษาแพทย์เคยมาท่องหนังสือคนเดียวเหมือนเธอแล้วเกิดนึกชื่อเส้นประสาทเส้นนึงไม่ออก เปิดหนังสือก็หาไม่เจอ พอดีมีชายหนุ่มหน้าตาคุ้นๆเดินเข้ามาในห้องพร้อมบอกชื่อเส้นประสาทให้ ซ้ำยังอธิบายทางเดินกับหน้าที่ของเส้นประสาทให้เสร็จสรรพ นักศึกษาแพทย์ผู้นั้นจึงคิดว่าเป็นรุ่นพี่เดินผ่านมา แต่พอเหลือบไปดูหน้าอาจารย์ใหญ่ โอย ! จะเป็นลม หน้าเหมือนกันเด๊ะ !

    อั้มสลัดหัวอีกครั้งเพื่อให้มีสมาธิ
    และในที่สุดเธอก็ตั้งสมาธิสำเร็จ พร้อมกับท่องหนังสือได้อย่างรวดเร็ว

    สามทุ่มตรง ขณะที่อั้มกำลังอ่านหนังสืออยู่

    พรึ่บ !
    ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด  มืดและเงียบสงัด

    ไฟดับ ตอนนี้อั้มตกอยู่ในความมืดคนเดียว  อยู่คนเดียวพร้อมกับเหล่าท่านอาจารย์ใหญ่ !
    สักพักแสงไฟข้างนอกติด คงเป็นไฟปั่นจากเครื่องสำรอง ที่ส่งมาเลี้ยงไฟตามถนนบางจุด

    อั้มเริ่มใจชื้น ค่อยๆเดินฝ่าความมืดออกมา ระยะทางพอดูเหมือนกันสำหรับความมืดและความหวาดหวั่นขนาดนี้

    อั้มผู้น่าสงสารค่อยๆรวมสติ สืบเท้าอย่างช้าๆ ทีละก้าว ๆ
    “ แกร๊ก ” เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากข้างหลังเธอ บริเวณโต๊ะที่เธอนั่งเมื่อสักครู่

    อั้มสงบใจอีกครั้ง ตั้งใจว่าไม่หันไปดูแน่ สืบเท้าท่ามกลางความมืดต่อไป
    “ ฟืด! พรึ่บ! ” เสียงอะไรบางอย่างพลิกตัวและมีเสียงสลัดผ้าดังออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง
    นอกจากอยากวิ่งเต็มแก่แล้วเธอยังอยากกรี๊ดดังๆอีกด้วย
    “ เฮ้อ !” เสียงใครสักคนถอนหายใจออกมา

    คราวนี้ไม่รอช้า อั้มโกยแน่บทันที รู้ตัวอีกทีมาอยู่นอกห้องกรอสส์แล้ว ตรงนี้ค่อยอุ่นใจเพราะมีไฟสำรองติดอยู่ดวงนึง

    อั้มตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่หอก่อน หนังสงหนังสือไม่อ่านมันแล้ว
    พลัน ! หัวใจดวงน้อยของนักเรียนสาวตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที

    เธอลืมหยิบกุญแจรถออกมา !!

    ทำไงดี เดินกลับไม่เข้าท่าแน่ ไกลไม่หยอกแถมตอนนี้ไฟดับด้วยทั้งมืดทั้งเปลี่ยว ซ้ำเป็นผู้หญิงคนเดียวอีกตะหาก อั้มนึกกังวล ซึ่งจริงๆแล้วเธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธออยู่ในกลุ่มประเภท “ มีใบหน้าเป็นอาวุธ ”

    เอาวะ ! กลับไปหยิบกุญแจรถแล้วรีบกลับหอ อั้มตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

    อั้มเดินไปอยู่ที่หน้าห้องกรอสส์อีกครั้ง รวบรวมความกล้าเพื่อจะเข้าไปหยิบกุญแจ  ซึ่งนั่นหมายถึงเธอต้องเดินผ่านเตียงอาจารย์ใหญ่เข้าไปถึงโต๊ะในสุดแล้วเดินกลับออกมา หวังว่างานนี้คงไม่มีรายการวิ่งอีก

    สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติแล้วเดินเข้าไป

    สายตาของเธอเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนแสงไฟที่ส่องเข้ามา สิ่งนั้นวางอยู่บนโต๊ะเรียนตัวแรกสุดติดประตูทางเข้าที่เธอยืนอยู่

    ว่าที่แพทย์หญิงในอนาคตคว้าหยิบทันที  นั่นคือกุญแจรถของเธอ
    สุดแสนจะดีใจเธอรีบออกจากห้อง ขึ้นรถขี่กลับหอทันที
    ระหว่างทางก่อนถึงหอ ขนอ่อนหลังต้นคอของเธอค่อยๆลุกตั้งชูชัน เมื่อเธอตระหนักถึงความจริงบางอย่าง

    ทำไมกุญแจรถมาอยู่ตรงนั้นได้  ใครเป็นคนหยิบออกมา

    ไม่ใช่เธอแน่ แล้วใครล่ะ ? นอกจาก …

    แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 49 15:13:20

    แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 49 15:10:07

    แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 49 15:08:38

    จากคุณ : Luckard - [ 4 พ.ค. 49 15:03:18 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป