ตอนที่ 7 : รับน้องชนบท
เรื่องเล่าลึกลับที่เกิดขึ้นกับตัวผมและเพื่อนๆ ได้ดำเนินมาหลายตอนแล้วครับ เวลาในเรื่องเล่าตอนนี้นั้น ผมได้ผ่านชั้นเรียนแพทยศาสตร์ชั้นปีที่ 2 แล้ว ตอนนี้ได้ขึ้นชั้นเรียนปีที่ 3 สำเร็จเรียบร้อย ซึ่งภาระของการเรียนในชั้นปีที่ 3 จะไม่หนักสาหัสเหมือนชั้นปี 2 ดังนั้นพวกผมและเพื่อนๆจึงมีเวลาสำหรับทำกิจกรรมมากขึ้น โดยหนึ่งในหลายๆกิจกรรมนั่นคือ รับน้องชนบท
รับน้องชนบท ก็คือการที่รุ่นพี่ปี 3 ต้องพาน้องเข้าใหม่ชั้นปีที่ 1 ไปต่างจังหวัด ที่ๆไกลและกันดารหน่อย เพื่อไปศึกษาและทำความคุ้นเคยกับชีวิตชนบท ซึ่งการไปนี้ก็ต้องประสานกับชมรม พอช. (ย่อว่าอะไรผมจำไม่ได้ แต่เกี่ยวกับ อาสาพัฒนาชุมชนนี่แหละ) ซึ่งประธานชมรมก็ไอ้เพื่อนๆชั้นปี 3 นั่นแหละ อีทีนี้ก่อนจะไปรับน้องได้ ก็ต้องมีหน่วยที่ต้องไปสำรวจหมู่บ้านที่จะไปลงพื้นที่ ที่เรียกว่าไปเซอร์เวย์นั่นแหละครับ แล้วก็ไม่รู้จับพลัดจับผลูยังไงผมผู้เขียนเลยต้องไปร่วมการเซอร์เวย์ในครั้งนี้ด้วย
หมู่บ้านเป้าหมายของพวกเราคราวนี้ เป็นหมู่บ้านหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ( อย่าไปคิดนะครับว่าขึ้นชื่อว่าเชียงใหม่แล้วต้องเจริญไปหมด รอบนอกๆยังมีหมู่บ้านที่ขาดแคลนและประชาชนขาดโอกาสอีกเยอะครับ ) พวกเราเลือกหมู่บ้านนี้เพราะชมรม พอช.เคยไปออกค่ายแล้ว และคุ้นเคยกับพ่อหลวง ( ผู้ใหญ่บ้าน ) เป็นอย่างดี ชาวบ้านมีความเป็นมิตร
เมื่อตกลงใจเลือกหมู่บ้านแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวเพื่อไปเซอร์เวย์ โดยเป้าหมายของการไปเซอร์เวย์คือ ต้องไปคุยกับชาวบ้านแต่ละบ้านเพราะเราต้องเอาน้องปี 1 ไปฝากนอนกับบ้านชาวบ้าน และต้องไปวางแผนทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งต้องเป็นประโยชน์กับตัวน้องๆกับชาวบ้าน และไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ
เช้าวันเดินทาง พวกเรามาพร้อมกันหน้าหอ รถที่จะเอาไปเป็นรถปิคอัพ 2 คันครับ อัดๆกันไป โดยที่ด้านกระบะขนของใช้ ของฝากไปเพียบครับ พวกเราออกเดินทางด้วยความร่าเริงโดยเฉพาะผมถึงกับตื่นเต้นทีเดียวเพราะไม่เคยไปเซอร์เวย์มาก่อน แต่หลังจากกลับมาหากใครชวนผมไปเซอร์เวย์ที่ไหนไกลๆอีกผมคงต้องขอคิดดีๆทีเดียว
ผ่านหนทางอันแสนทุลักทุเลกันมา สุดท้ายพวกเราทั้งหมดก็มายืนอยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านเป้าหมาย ขณะนั้นก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว อันดับแรกสุดก็ต้องไปไหว้และขออนุญาติพ่อหลวงซึ่งก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี โดยที่พักหลับนอนของเราก็คือ โรงเรียนครับ โรงเรียนเดียวในหมู่บ้าน ลักษณะเป็นเรือนชั้นเดียวยกสูงจากพื้นสักครึ่งเมตร มีห้องเรียนประมาณ 6-7 ห้องเท่านั้น พวกเราจึงเลือกเอาห้องหนึ่ง โดยจัดโต๊ะ เก้าอี้ไปชิดผนังแล้วปูผ้านอน
หลังจากอิ่มข้าวเย็นที่เตรียมมาและอาบน้ำเรียบร้อย พวกเราก็มานั่งๆนอนๆประชุมกัน ดวงไฟที่สามารถใช้ได้มีเพียงสองดวงคือ ตรงกลางห้องที่นั่งกันอยู่และบริเวณหน้าบันไดขึ้นโรงเรียน ที่มีแค่สองดวงนั้นก็เพราะเป็นไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟที่พวกเราแบกเอามาด้วย ส่วนตัวหมู่บ้านนั้นไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง มองไปไกลๆก็เจอแต่ความมืดอันแสนน่าหวาดหวั่น
พรุ่งนี้เราจะไปดูแถวๆบ่อน้ำบาดาลกัน เสียงปิงที่เป็นผู้นำทีมอธิบายเพื่อนๆ
อืม ดีเหมือนกันตอนรับน้องเราจะได้พาเด็กๆมาดู แน่นอนเด็กกรุงเทพคงไม่เคยเห็นบ่อบาดาล
ระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินอยู่นั้น
แกรก
แกรก
แกรก
เสียงอะไรบางอย่าง คล้ายคนเดินลากเท้าอยู่เบื้องล่างของโรงเรียน
ทุกคนหยุดพูด มองหน้ากัน
สงสัยพ่อหลวงมาดูมั้ง ปิงพูดพลางลุกไปดู ผมกับไอ้รงค์ลุกไปเป็นเพื่อน
ไม่มีใครอยู่สักคน ข้างนอกมีเพียงความมืดที่เงียบสงัด ได้ยินก็แต่เพียงเสียงหึ่งของเครื่องปั่นไฟเท่านั้น พวกเราอึ้งได้แต่มองหน้ากัน
ใครมาเหรอ ปุย หนึ่งในสาวๆที่เริ่มนั่งชิดจนเกือบจะนั่งตักกันถามออกมา สีหน้าแต่ละคนฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
อ๋อ หมาแถวนี้น่ะสงสัยได้กลิ่นเศษอาหาร ปิงพูดกลบเกลื่อน
ทุกคนกลับมานั่งที่ ปิงยอดหัวหน้าส่งซิกแนลให้ผมกับรงค์ว่าอย่าพูดไปว่าเมื่อกี้ไม่มีทั้งหมาทั้งคน
แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรกัน
พรึ่บ ! ไฟฟ้าดับ แต่หูผมยังได้ยินเสียงเครื่องปั่นทำงานอยู่
แวบ ! ไม่กี่อึดใจไฟก็มา
ตอนนี้ ปุยสาวน้อยร่างเล็กเริ่มร้องไห้ออกมา
เป็นอะไรปุย ฝ้ายเพื่อนสาวอีกคนตกใจที่อยู่ๆเพื่อนรักก็ร้องไห้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เมื่อกี้ ตอนไฟดับ ปุยค่อยๆพูดทั้งน้ำตา
เราเห็น
เห็น เธอค่อยๆชี้มือไปที่ประตูซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่เธอนั่งพอดิบพอดี
เราเห็นเงาใครไม่รู้ ยืนแอบอยู่หลังประตู !!
ทีนี้ทุกคนหันขวับไปมองที่ประตูโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนสาวๆก็โดดใส่กันโดยไม่ได้นัดเช่นกัน
ที่ประตูไม่มีใครอยู่
ปุยคงเหนื่อยจากการเดินทาง รวมทั้งความมืดความเงียบที่หลอกหลอนจินตนาการอาจทำให้มองเห็นภาพผิดๆถูกๆก็เป็นไปได้
แต่ที่กลัวกันมากในตอนนั้น คือ กลัวโจรผู้ร้ายซะมากกว่าภูติผีวิญญาณ ยังไงพวกเราก็รู้ว่า คนน่ะร้ายกว่าผีแน่ๆ
พรึ่บ !! ไฟดับอีกครั้ง คราวนี้เสียงเครื่องปั่นไฟค่อยๆเงียบไปด้วย ทั้งที่น้ำมันไม่น่าจะหมดเร็วขนาดนี้
แอดดด
แอดดด
แอดดด
เสียงฝีเท้าใครสักคนเดินมาทางระเบียงไม้
พวกเราทุกคนพร้อมใจหันไปจ้องมองประตู ข้างนอกมืดสนิทอาศัยก็เพียงแสงจันทร์ข้างแรมที่ส่องให้เห็นบรรยากาศเพียงลางเลือน
สิ่งที่ผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมเห็น
ให้ตายเถอะ มีมือสีขาวซีดค่อยๆโผล่ออกมาจับขอบประตูช้าๆ
หนึ่งข้างและก็สองข้าง
ก่อนที่พวกเราจะหายจากความตกตะลึง
ศรีษะที่ไม่ค่อยมีผมของหญิงแก่คนหนึ่งค่อยๆโผล่ออกมา ลักษณะคล้ายจะแอบดูพวกเรา
ใครน่ะ ยอดหัวหน้าที่ดูจะคุมสติได้ดีกว่าเพื่อนร้องถามพร้อมกับลุกเดินออกไปดูแทบจะทันที ส่วนพวกผมและเพื่อนๆขาแข็งตัวแข็งไปด้วยความตื่นเต้นซะแล้วครับ
ภาพที่ปิงเห็น ยายแก่คนหนึ่งยืนเกาะขอบประตู ดูๆก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ นอกเสียจากบริเวณท้องที่มีไส้และอวัยวะภายในทะลักออกมาเรี่ยราดกองอยู่ที่พื้น เลือดนองเต็มพื้น
เสียงตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์ของปิงทำให้พวกเราได้สติและพร้อมใจกันวิ่งออกไปหาปิงเพื่อนผู้เคราะห์ร้าย ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่อีกแล้วมีเพียงความมืดที่น่าหวาดระแวงเท่านั้น สักพักไฟก็มาพร้อมๆกับชาวบ้านละแวกนั้นพากันวิ่งมาดูเนื่องจากได้ยินเสียงร้อง
สุดท้ายคืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนสักคน โดยเฉพาะหัวหน้าทีมที่มีอาการขวัญหายอยู่ตลอดเวลา โดยมีชาวบ้าน 7 8 คนนั่งคุยเป็นเพื่อนจนกระทั่งเช้า ซึ่งทำให้เราทราบว่าก่อนหน้านี้ 2 3 เดือนมียายแก่ที่ทำหน้าที่เก็บกวาดบริเวณโรงเรียนเดินหาของป่าแล้วตกเขาตาย โดยตอนที่พบศพนั้นชาวบ้านเล่าว่าศพถูกสัตว์ป่ากัดกิน บริเวณท้องถูกลากเอาเครื่องในออกมายาวเป็นทาง !
แน่นอนครับ พวกเราพร้อมใจกันกลับในวันรุ่งขึ้นทันที และเมื่อไปถึงเชียงใหม่พวกเราก็นัดกันไปทำบุญ ทำสังฆทานให้แก่วิญญาณยายแก่คนนั้น
และเมื่อเรากลับไปที่นั่นอีกครั้ง พร้อมเพื่อนๆน้องๆทั้งหลายในการรับน้องชนบทก็ไม่ปรากฏว่ามีใครพบเห็นดวงวิญญาณนั้นอีกเลย
จากคุณ :
Luckard
- [
7 พ.ค. 49 11:36:31
]