CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    Trip & Love ตามรอยแห่งรัก:ให้ใจบอกรัก ตอนที่ 1 โดย อยากเขียน

    เพราะความรักไม่จำเป็นต้องสื่อด้วยคำพูดเสมอไป
    ผมจึงปล่อยให้หัวใจบอกรัก ได้ยินหรือเปล่าว่ามันกำลังกระซิบว่า ผมรักคุณ

    กรี๊ง....กรี๊ง.....กริ๊ง.....เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนทำให้ตกใจ จึงหยิบขึ้นมาดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อรู้ว่าใครโทรมา “ว่าไรจ้ะคุณดาว” นีรชาพูดเสียงเบา

    “ ก็ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ทำอะไรอยู่ แล้วนี่อยู่ที่ไหน โทรไปหาที่คอนโดก็ไม่มีคนรับ” เอื้อมดาวถามอย่างสงสัย

    “ โห...ดาว...ใจเย็นๆก็ได้พูดเป็นรถไฟด่วนเลยนะ” นีรชาพูดด้วยน้ำเสียงติดเศร้าเล็กน้อย

    “ ก็บอกมาก่อนซิว่าอยู่ไหน...”เอื้อมดาวถามเพราะฟังน้ำเสียงแล้วไม่ค่อยสบายใจ

    “ อยู่บนรถทัวร์ ”

    “รถทัวร์ !!...ไปทำอะไรบนนั้นแล้วจะไปไหน” เอื้อมดาวถามอย่างงงๆ

    “ ภูกระดึง” นีรชาตอบเสียงเบา

    “ ไปทำไมนะ” เอื้อมดาวถามอย่างกังวล เพราะคนอย่างนีรชานะหรือจะไปขึ้นภูกระดึงเป็นคุณหนูขนาดนั้น

    “ ก็อยากไปทำใจก่อนซิไม่อย่างนั้น รชาก็คงไม่กล้าไปงานแต่งของธัน  ดาวก็รู้นี่ว่า รชาคิดอย่างไรกับ ธัน”  พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ก็ขาดหายไปเมื่อมองไปก็เห็นโทรศัพท์ดับสนิท  แบตหมดนี่เอง  เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้ซิแต่ก็ดีจะได้มีเวลาคิดอะไรคนเดียวบ้าง

    หญิงสาวค่อยๆหลับตาลง พลางทบทวนเรื่องราวต่างๆภายในใจ ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อจะลบความทรงจำที่เคยมีให้แก่กันและขอพักใจให้คลายเศร้าลงบ้าง  จะให้ธรรมชาติของขุนเขามาช่วยลบรอยแผลเล็กๆที่อยู่ในหัวใจ  จะได้ไปงานแต่งงานด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใสแสดงความยินดีอย่างจริงใจในฐานเพื่อนคนหนึ่งให้ได้ จึงตัดสินใจมาที่นี่ เพราะที่นี่เป็นที่แห่งเดียวซึ่งจะต้องใช้แรงกายแรงใจอย่างมากเพื่อพิชิตยอดภูกระดึงจะได้ไม่มีเวลามานั่งสงสารหรือเสียน้ำตาให้กับตัวเองมากนักและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เลือกเดินทางมาที่นี่มาจากคำพูดของคนที่รชาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา

    “รชารู้ไหม ภูกระดึง มาจากคำว่าภู และ กระดึง หรือกระดิ่งนะ” คนคนหนึ่งเคยมาเล่าให้ฟัง ตาเขาเป็นประกายเมื่อยามเล่าถึงสถานที่ที่เขาเพิ่งไปมา

    “เพราะเมื่อเล่ากันว่าทุกวันพระวันโกนบนยอดเขาสูงจะมีเสียงระฆังดังมาชาวบ้านศรีฐานเล่าขานกันว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์ ธันเพิ่งไปเที่ยวที่นี่มาล่ะ”


    ในที่สุดเมื่อการเดินทางมาถึงผานกเค้านาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาประมาณตี 4 กว่าๆ รถทัวร์ได้จอดให้คนที่จะขึ้นไปภูกระดึงลงตรงหน้าร้าน ”เจ๊กิม” สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อลงจากรถก็คือความหนาวเย็นของอากาศ มันทำให้ต้องห่อตัวลงและรีบไปเอาเป้ที่อยู่ใต้ท้องรถซึ่งทุกคนกำลังยืนอออยู่แน่นขนัด เพื่อเอากระเป๋าของแต่ละคน

    เมื่อได้เป้แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในร้านซึ่งมีคนจำนวนมากกว่าที่คิด  บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม  ทุกคนมาจากที่ต่างๆ แต่ก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นมิตร ทุกคนที่จะขึ้นภูกระดึงได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำธุระส่วนตัวล้างหน้าแปรงฟันและซื้อของเล็กๆน้อยๆก่อนที่จะเดินทางกันต่อ  หรือบางคนที่ยังนอนไม่เต็มอิ่มก็มานอนพักเอาแรง บ้างก็ท้าทายกันว่าใครจะเป็นคนทำเวลาในการขึ้นให้ถึงยอดภูกระดึงโดยใช้เวลาน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะ  

    เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินไปเลือกซื้อของใช้อีกนิดหน่อยและเดินไปจ่ายเงินให้แม่ค้า

    “สวัสดีค่ะ...จะขึ้นภูกระดึงหรือคะ”  แม่ค้าถามอย่างอารมณ์ดี  

    “ ค่ะ คนเยอะดีนะคะ...ขายดีอย่างนี้ตลอดหรือเปล่า” นีรชาตอบ

    “ ค่ะ ส่วนมากใครที่จะขึ้นภูกระดึงต้องมาลงรถที่นี่  แล้วต่อรถสองแถวทางด้านโน้น” แม่ค้าชี้ไปที่บริเวณจอดรถที่เริ่มมีสองแถวเข้ามาจอดบ้างแล้ว  

    “ ดีจังเลยคะ  ว่าจะถามพอดีว่าถ้าจะไปภูกระดึงจะไปอย่างไรต่อ”

    “ พึ่งมาครั้งแรกซิ  รถสองแถวจะออกอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ   ภูกระดึงจะเปิดให้ขึ้นประมาณ 6 โมงเช้า  ค่ารถก็ไม่แพงคนละ 20 บาท ใครใจร้อนก็เหมาไปได้นะคะคันละ 300 บาทรถก็จะออกให้ทันที”

    “ ขอบคุณค่ะแต่คงไม่รีบ  รอไปเรื่อยๆก็ได้” นีรชาขอบคุณแม่ค้าและเดินออกจากร้านไปหาที่นั่งอ่านหนังสือรอรถไปเรื่อยๆ   จนกระทั่งถึงเวลารถออกก็เดินไปขึ้นรถสองแถวและนั่งรอจนคนขึ้นมาเต็มรถ รถก็ออกในที่สุด มองดูคนที่นั่งรถด้วยกัน ใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้มที่แจ่มใส จนทำให้รู้สึกเบิกบานตามไปด้วย

    จากคุณ : samita - [ 10 พ.ค. 49 12:59:12 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป